ตอนที่ 121 นี่ยังไม่ยอมแพ้อีกเหรอ

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 121 นี่ยังไม่ยอมแพ้อีกเหรอ

แม้แต่ลูกชายและลูกสะใภ้ของป้าหูยังต้องทำงานกับพ่อแม่ แล้วจะให้ไปหางานใหม่ให้คนอื่นได้อย่างไร แถมยังต้องเป็นงานประจำอีก

ลูกสะใภ้ป้าหูเอ่ยเสียงเบา “เอ่อ…มันคงเป็นไปได้ยาก เราขอเปลี่ยนเงื่อนไขได้หรือเปล่า?”

แม่ของหลานชายทั้งสองเริ่มเสนอขึ้น “ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นก็จ่ายมาให้เราคนละ 500 หยวนก็พอแล้ว”

ป้าหูได้ยินแบบนั้นก็โกรธมาก “แล้วทำไมฉันต้องจ่ายขนาดนั้นหา”

แม่ของหลานชายทั้งสองเองก็ไม่พอใจเช่นกัน “นี่ยายแก่ มีสิทธิ์อะไรมาเอาเปรียบลูกชายฉัน ลืมไปแล้วเหรอว่าให้ลูกฉันต้องออกจากงานเพราะใครน่ะหา แม้แต่ที่สถานีตำรวจเธอก็ยังเอาแต่โบ้ยความผิดทั้งหมดมาที่ลูกฉัน เป็นคนยังไง เห็นแก่ตัวไร้มนุษยธรรมขนาดนี้ ถ้าไม่มี 500 หยวนก็ไม่ต้องมาคุยกันแล้ว ออกไปเลยไป!”

ลูกชายและลูกสะใภ้ต่างก็รู้ดีว่าป้าหูเป็นคนบงการ แต่หล่อนปัดความรับผิดชอบทั้งหมดให้กับหลานห่าง ๆ ทั้งสองคน

ป้าหูไม่สนใจแล้วว่าจะมีคนจำนวนมากอยู่รอบ ๆ ในตอนนี้ หล่อนปล่อยให้ความโกรธครอบงำ แล้วโวยวายออกมา

แต่ถึงอย่างนั้นปัญหาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะได้รับการแก้ไข

หลังจากกลับมาถึงบ้าน ลูกชายกับลูกสะใภ้ก็บังคับให้ป้าหูเอาเงินบำนาญทั้งหมดออกมารวมเข้ากับเงินออมส่วนตัวและไปหยิบยืมคนอื่น ๆ มาเพิ่ม

จนสุดท้ายครอบครัวป้าหูก็จ่ายเงิน 500 หยวน เพื่อแลกกับความปลอดภัยของหยางหยาง

ป้าหูต้องสูญเงินบำนาญทั้งหมด หญิงชราเอาแต่ร้องไห้อย่างขมขื่นอยู่ที่บ้านถึงสองวัน

ในช่วงเวลาที่แสนวุ่นวายของบ้านป้าหู หลินม่ายก็ง่วนอยู่กับงานของตัวเอง

แม่ครัวสาวไม่เพียงแต่ใส่กะปิลงไปในซาลาเปาและเกี๊ยวเท่านั้น แต่ยังเติมมันลงไปในซุปไชเท้ากระดูกหมู และข้าวผัดไข่ด้วย ไม่ว่าจะเติมลงไปในเมนูไหนกะปิก็ช่วยให้อาหารอร่อยและมีรสชาติแปลกใหม่เฉพาะตัวจนใครกินก็พากันติดใจ

แม้ว่าป้าหูจะมีแผนสกปรกมากมายมาใช้เพื่อพยายามจะเอาชนะ แต่หลินม่ายก็ยังยืนหยัดอยู่ได้เพราะมีกะปิช่วยเติมความอร่อย ร้านของเธอก็ยังขายดีวันดีคืน

ฟางจั๋วหรานอยู่เวรทั้งคืนแล้วมากินมื้อเช้าที่ร้านของหลินม่ายก่อนจะกลับบ้านเพื่อเข้านอน

กว่าคุณหมอหนุ่มจะตื่นขึ้นมาฟ้าก็มืดลงอีกครั้ง กระเพาะอาหารส่งเสียงร้องประท้วงด้วยความหิว

มองดูนาฬิกาที่โต๊ะก็พบว่าเป็นเวลาหกโมงเย็น ไม่แปลกเลยที่จะหิวขนาดนี้

ชายหนุ่มเข้าไปในห้องน้ำจัดการล้างหน้าล้างตา ก่อนจะเข้าไปในครัว ทำบะหมี่ไข่ลวกสองชามให้ตัวเอง

อยู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา

ฟางจั๋วหรานขมวดคิ้วเล็กน้อย เดินผ่านน้องนั่งเล่นไปที่ประตูหน้าห้องแล้วเปิดออก พบว่าเป็นหวังหรงที่ยืนรออยู่ด้านนอก

ในมือของหล่อนมีกระติกน้ำร้อนกับกระเช้าผลไม้ในใหญ่เมื่อเห็นหน้าเขาก็พูดออกมาอย่างร่าเริง “พี่ชาย รับไปหน่อย มันหนัก”

ฟางจั๋วหรานรับของในมือของหล่อนมาถือพร้อมกับถามอย่างเฉยเมย “มาทำไมอีก?”

ริมฝีปากที่ฉาบด้วยลิปสติกของหญิงสาวเริ่มขยับเอ่ยตอบ “ฉันก็ช่วยอะไรได้ไม่มาก พี่ไม่ได้ไปบ้านคุณย่าเพื่อพักผ่อนบ้างเลย ฉันกลัวพี่จะไม่ได้กินอะไรดี ๆ ก็เลยต้มซุปไก่มาให้ เผื่อจะได้กินบำรุงร่างกายซะหน่อย”

สุดท้ายแล้วหล่อนก็เข้าไปในครัว เอาจานชามบนโต๊ะอาหารมาเทซุปไก่จากกระติกลงไปแล้ววางลงบนโต๊ะให้ชายหนุ่ม ฟางจั๋วหรานรับมาซดขณะที่ยังร้อน ๆ

ชิมคำเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นซุปฝีมือคุณย่า

คนไม่เคยเข้าครัวอย่างหวังหรงไม่มีทางทำซุปไก่แบบนี้ได้

หญิงสาวนั่งลงตรงข้ามเขา เท้าคางมองชายหนุ่มที่หล่อนหลงรัก

“ฉันได้ยินมาจากคุณลุงกับคุณป้าว่าปีนี้พี่ 28 แล้ว อายุก็ไม่ใช่ว่าจะน้อย น่าจะต้องคิดเรื่องแต่งงานได้แล้ว”

ระหว่างที่พูดแบบนั้นก็ลอบสังเกตปฏิกิริยาของเขาไปด้วย

เมื่อเห็นว่าฟางจั๋วหรานไม่ได้ตอบอะไรจึงเริ่มพูดต่อ “พี่คิดว่าจะแต่งงานกับผู้หญิงแบบไหนเหรอ?”

ชายหนุ่มเหลือบมองหล่อนนิดหน่อยแต่ก็ยังคงเงียบแล้วกินซุปต่อไป

เขากินซุปที่คุณย่าทำมาตั้งแต่เด็กและมันก็อร่อยมาก ๆ แต่พอได้กินอาหารที่หลินม่ายเป็นคนทำแล้วลองเทียบกันดูก็มักจะต้องคิดว่า อาหารที่เคยกินมายังห่างไกลกว่านั้นมาก

หวังหรงรอคำตอบจากเขาไม่ไหวเลยเริ่มเข้าประเด็น “ถ้างั้นเป็นฉันได้ไหม?”

แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นความเฉยเมย “ฉันปฏิเสธเธอมาหลายรอบแล้ว นี่ยังไม่ยอมแพ้อีกเหรอ?”

หญิงสาวบ่นขึ้นมาบ้าง “ทำไมฉันต้องยอมแพ้ด้วย เราเป็นคู่รักวัยเด็กที่เติบโตมาด้วยกันนะ เป็นคู่ที่ฟ้าประทานเลย”

ชายหนุ่มส่ายหน้าไปมา “ฉันไม่เห็นจะคิดแบบนั้นเลย”

“ถ้างั้นพี่เต็มใจจะทำตามที่คุณลุงคุณป้าบอกด้วยการกลับบ้านไปแต่งงานกับผู้หญิงที่ตัวเองไม่รู้จักงั้นเหรอ”

ใบหน้าเล็ก ๆ ละเอียดละออของหลินม่ายกลับปรากฏขึ้นในใจของเขา “เป็นห่วงแค่เรื่องของตัวเองเถอะ ฉันจะแต่งงานกับผู้หญิงที่ฉันรู้จักแล้วก็รักเธอด้วยหัวใจแน่นอน”

ชายหนุ่มใช้ชีวิตมาแล้วหนึ่งในสามของอายุขัยน่าจะได้

ที่ผ่านมา เขาเคยทุ่มเททั้งหัวใจให้ผู้หญิงคนหนึ่ง แต่เธอกลับทิ้งเขาไปเพื่ออนาคตที่ดีกว่าโดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมามอง

ชั่วชีวิตที่เหลืออยู่ ถ้าจะต้องเลือกใช้ชีวิตกับผู้หญิงสักคน เขาจะต้องมอบความรักให้กับคนที่พร้อมจะอยู่ด้วยกันอย่างดี ไม่อยากจะต้องผิดหวังอีกต่อไปแล้ว

หวังหรงเหมือนมีบางอย่างอยากจะพูดต่อแต่เสียงโทรศัพท์กลับดังขึ้นเสียก่อน

ฟางจั๋วหรานลุกขึ้นไปที่ตู้เล็ก ๆ ที่มีโทรศัพท์วางอยู่เพื่อรับสาย

เป็นสายจากโรงพยาบาลบอกให้เขารีบไปที่นั่นทันที มีผู้ป่วยหลอดเลือดหัวใจตีบต้องได้รับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน

คุณหมอหนุ่มไม่ได้อยู่กินซุปต่อ รีบหยิบกุญแจแล้วออกไปทันที โดยฝากให้หวังหรงล็อคห้องก่อนกลับให้ด้วย

ถนนเจี่ยเฟิงที่คึกคักในตอนกลางวันกลับเงียบเหงาในตอนหนึ่งทุ่ม

หลินม่ายนั่งอยู่ที่หน้าร้าน สอนหนังสือให้โจวฉายอวิ๋นและโต้วโต้วไปพร้อมกัน

โจวฉายอวิ๋นที่เป็นผู้ใหญ่กำลังตั้งใจเรียนอย่างจริงจัง

ส่วนเด็กน้อยอย่างโต้วโต้วกลับไม่ชอบเรียนหนังสือ เธอมักจะแอบเล่นไปด้วยอยู่ตลอด เมื่อเห็นว่าฟางจั๋วหรานเดินผ่านมาก็รีบส่งเสียงเรียกเอาไว้ “คุณอาคะ” แถมยังวิ่งออกไปหา อ้าแขนสองข้างให้เขาอุ้มขึ้น

แต่คุณอาของเธอกลับยิ้มแล้วปฏิเสธ “อากำลังรีบไปผ่าตัดคนไข้น่ะ ยังไม่มีเวลาเล่นกับหนูตอนนี้”

ชายหนุ่มเปลี่ยนไปคุยกับหลินม่ายด้วยเหตุผลที่แวะมาแทน “มีอะไรง่าย ๆ ให้กินไหม”

หลินม่ายได้ยินแบบนั้นก็รู้ทันทีว่าชายหนุ่มยังไม่ได้กินข้าวและเขาคงต้องการอะไรติดไปกินที่โรงพยาบาล

เธอเอ่ยต่ออย่างรู้สึกผิด “ไม่มีอะไรเหลือเลย แต่พอจะทำบะหมี่ให้ได้นะ”

ในบ้านยังมีเส้นบะหมี่ น่าจะเป็นอะไรที่ทำได้ง่ายที่สุดในตอนนี้

“งั้น ไม่เป็นไรดีกว่า คนไข้ไม่น่าจะรอไหว” คุณหมอหนุ่มรีบจากไปอย่างรวดเร็ว

หลินม่ายมองตามแผ่นหลังของเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเข้าครัว

ถึงไม่มีเวลากินตอนนี้ แต่หลังผ่าตัดต้องหิวมากแน่ ๆ

ในครัวยังมีต้นหอมเหลืออยู่ หญิงสาวจึงวางแผนจะทำเกี๊ยวนึ่งไส้ต้นหอมและไข่ให้เขา

เกี๊ยวนึ่งไส้มังสวิรัติสามารถกินแบบเย็นได้ และยังมีคุณค่าทางอาหารที่ดีอีกด้วย

โจวฉายอวิ๋นตามเข้ามาในครัวได้ซักพักก็แนะนำให้หลินม่านทำซุปเพื่อกินกับเกี๊ยว

ด้วยส่วนผสมที่มีจำกัดหลินม่ายเลยใช้หัวไชเท้าที่เหลือจากซุปกระดูกหมูมาเคี่ยวซุปไชเท้า

เป็นวิธีอันชาญฉลาดในการปรุงอาหารเวลาที่ไม่มีแม้แต่ข้าวสวยเหลืออยู่ในครัว

หลังจากนึ่งเกี๊ยวและต้มซุปหัวไชเท้าเรียบร้อย หลินม่ายก็เอาอาหารไปให้ฟางจั๋วหราน

ศัลยแพทย์หนุ่มกำลังทำหน้าที่ของเขาอยู่ในห้องผ่าตัด หลินม่ายจึงนั่งรออยู่ด้านนอก

คืนนี้โหมวตานเองก็มาเข้าเวร หล่อนรู้เช่นกันว่าคุณหมอฟางเข้าไปผ่าตัดโดยที่ยังไม่ได้กินอะไรและจะออกมาหาอะไรกินหลังงานเรียบร้อย

หล่อนจึงไปที่ร้านขนมเพื่อซื้อพวกขนมปัง เค้ก และอย่างอื่นอีกนิดหน่อยมารอให้เขากินหลังเสร็จจากการผ่าตัด

เมื่อเห็นว่าหลินม่ายมาที่โรงพยาบาลพร้อมกับกล่องอาหารและหม้อใส่ซุปขนาดใหญ่ก็เดาได้ทันทีว่าคงเอามาให้ฟางจั๋วหราน สีหน้าของพยาบาลสาวเคร่งขรึมขึ้นโดยทันที

แต่ถ้าหล่อนไล่หลินม่ายกลับไปตรง ๆ แล้วอาจารย์ฟางรู้เข้าคงได้มีปัญหากันแน่

โหมวตานกลอกตาแล้วเดินเข้าไปหาหลินม่ายด้วยท่าทางเป็นมิตร “เตรียมอาหารมาให้อาจารย์ฟางเหรอคะ ฝากไว้ที่ฉันได้นะคะ เดี๋ยวอาจารย์ฟางผ่าตัดเสร็จแล้วฉันจะเอาไปให้เขาเองค่ะ คุณจะได้กลับบ้านไปพักผ่อน”

แต่หลินม่ายรู้ดีว่าโหมวตานมองเธอเป็นศัตรูหัวใจ

หลังจากผ่านเรื่องของหลินเพ่ยและอู๋เสี่ยวเจี๋ยนมาก่อนในชาติที่แล้ว เธอก็มีประสบการณ์ในการมองเรื่องเหล่านี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ที่แน่ๆ เขาไม่เลือกเธอแล้วกันนังหรง นางในใจของเขาออกจะชัดขนาดนั้น

คิดจะเอาอาหารของม่ายจื่อไปเททิ้งล่ะสิ ดูออกนะ

ไหหม่า(海馬)