ตอนที่ 138 คำนับปีใหม่ เปลี่ยนสถานการณ์ (4)
เจี่ยนเหล่าไท่จวิน ยังคงเคลิบเคลิ้มอยู่ในตำนานรักผีเสื้อ ชั่วขณะหนึ่งยังไม่อาจถอนตัวเองออกมา “หลานโยว หลานเป็นอะไรไป มีอะไรก็พูดกันดีๆ”
เจี่ยนชิงโยวคุกเข่าคำนับ พูดด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “ท่านย่า ความจริงชิงโยวมีใจให้ซินอี้หมิง คุณชายใหญ่แห่งตระกูลซินเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ!” เจี่ยนเหล่าไท่จวินเริ่มจากเห็นเจี่ยนชิงโยวคุกเข่า แล้วยังก้มคำนับ คาดคิดแล้วว่าเรื่องที่จะพูดย่อมไม่ธรรมดา คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องรักใคร่ของชายหญิง อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
เจี่ยนชิงโยวนึกถึงคำพูดของมั่วเชียนเสวี่ยตอนที่เล่าตำนานรักผีเสื้อ ‘เมื่อยามมีชีวิตไม่อาจครองรัก เช่นนั้นขอฝังในหลุมศพเดียวกัน!’ เหยียดตัวตรง แววตาหนักแน่น “ชิงโยวจะแต่งงานกับคุณชายใหญ่ตระกูลซินเพียงผู้เดียวเจ้าค่ะ”
ชั่วขณะหนึ่งเจี่ยนเหล่าไท่จวินสับสนเล็กน้อย “นี่มันเรื่องอะไรกัน หรือว่าพวกเจ้าลอบมีสัมพันธ์กัน หลานเล่าความจริงทุกอย่างให้ย่าฟังเดี๋ยวนี้” โยวเอ๋อร์โตมากับนาง หนึ่งปีที่อยู่ห่างกับนาง ก็อยู่ในเมืองหลวง แล้วจะไปข้องเกี่ยวกับบุรุษตระกูลซินได้อย่างไร ทั้งยังจะแต่งงานกับเขาเพียงผู้เดียวเท่านั้น!
เจี่ยนชิงโยวคุกเข่าอยู่บนพื้น เหยียดตัวตรง เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย “ท่านย่า ชิงโยวไม่กล้าปิดบัง วันนั้นตอนที่ชิงโยวไปสวดขอพรให้ท่านย่าที่วัดหันซาน… เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้ นับตั้งแต่นั้นหลานก็คิดถึงเขาอยู่ร่ำไป”
“เจ้า…เจ้าทำให้ย่าโมโหยิ่งนัก” เจี่ยนเหล่าไท่จวินตบโต๊ะ “ตำราสอนหญิงที่ย่าสอนเจ้าตั้งแต่เล็ก เจ้าเอาไปไว้ที่ใดหมดแล้ว จึงไม่สงวนตนเช่นนี้ เสียแรงที่ย่า…แฮ่กๆ…”
เจี่ยนเหล่าไท่จวินสำลักเพราะความโมโห จึงไอสองสามที
เหลียงหมัวมัวที่อยู่ข้างๆ เห็นเหล่าไท่จวินโมโหเช่นนี้ จึงรีบเข้าไปพยุงตัวนาง พร้อมกับยื่นมือตบหลังเหล่าไท่จวินเบาๆ เพื่อปรับอารมณ์ให้นาง “เหล่าไท่จวินอย่าเพิ่งโมโหเลยเจ้าค่ะ สุขภาพร่างกายสำคัญ”
เหลียงหมัวมัวเพิ่งฟังตำนานรักผีเสื้อจบ สงสารตอนจบของตำนานรักผีเสื้อ จึงมีใจพูดเข้าข้างเจี่ยนชิงโยว “คุณหนูใหญ่วางตัวดีมาโดยตลอด สถานที่เช่นนั้น พบเจอคุณชายตระกูลซินเวลาเช่นนั้นบางทีอาจจะเป็นลิขิตสวรรค์ก็ได้เจ้าค่ะ”
“ลิขิตสวรรค์? แม้สวรรค์จะลิขิตให้พวกเขาได้เจอกัน แต่เมื่อเจอบุรุษอื่น นางก็ควรรีบปลีกตัวออกห่าง แม้เขาจะช่วยพยุงนาง นางก็ควรกล่าวขอบคุณแล้วรีบไปจากที่นั่น ไม่ใช่เดินเข้าไปฟังเขาเป่าขลุ่ย ทั้งยังร่ายรำอะไรด้วยกันอีก…”
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นเจี่ยนเหล่าไท่จวินคล้ายจะเข้าสู่ระบบศักดินาเก่าที่ไร้หนทาง ด้วยเหตุนี้จึงพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านย่าเจี่ยนพูดผิดแล้วเจ้าค่ะ เชียนเสวี่ยกลับรู้สึกว่าชิงโยวกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก บุพเพมนุษย์สวรรค์เป็นผู้ลิขิต ไม่แน่ นี่อาจจะเป็นบุพเพระหว่างชิงโยวและคุณชายซินก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเพียงมีความรักใคร่ต่อกันทว่าไม่ได้ทำสิ่งใดเกินงาม แล้วจะเป็นการทำลายศีลธรรมอันดีงามได้อย่างไรเจ้าคะ”
“บุพเพ?”
“เจ้าค่ะ บำเพ็ญเพียรสิบปีได้นั่งเรือลำเดียวกัน บำเพ็ญเพียรร้อยปีได้นอนหนุนหมอนร่วมกัน บำเพ็ญเพียรพันปีหมื่นปีจึงจะได้ครองรักกันจนแก่เฒ่า ฟังจากที่ชิงโยวพูด คุณชายซินคนนั้น ก็มีใจให้นางอย่างมาก เหตุใดเหล่าไท่จวินจึงไม่ช่วยตำนานรักผีเสื้อในชีวิตจริงให้สมปรารถนาล่ะเจ้าคะ”
เจี่ยนชิงโยวคำนับอีกครั้ง “ท่านย่าได้โปรดช่วยให้หลานสมปรารถนาด้วยเถอะเจ้าค่ะ!”
“หนิงเหนียงจื่อ เรื่องเล่าของเจ้าช่างเล่าได้ดีจริงๆ! ดีจริงๆ !” วาจาหนักแน่น ทว่าน้ำเสียงกลับคาดคั้น
เส้นเลือดบนมือของเจี่ยนเหล่าไท่จวินปูดนูนขึ้นมาเล็กน้อย มีชีวิตมานานหลายปี หากนางคิดไม่ได้ว่าเรื่องเล่านั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของเจี่ยนชิงโยว ก็คงมีชีวิตมาโดยเปล่าประโยชน์แล้ว
เจี่ยนเหล่าไท่จวินพูดกับเจี่ยนชิงโยวที่คุกเข่าอยู่บนพื้นเสียงเหี้ยม “ดี! ดีจริงๆ! ตอนนี้เจ้ารู้จักใช้เล่ห์เหลี่ยมกับหญิงชราเช่นย่าแล้ว”
“ชิงโยวไม่กล้าเจ้าค่ะ”
“เจ้ายังจะพูดอีกหรือว่าไม่กล้า ลอบให้ของและรับของ ลอบตัดสินใจเรื่องใหญ่ในชีวิต ตอนนี้ยังแต่งเรื่องและร่วมมือกับคนนอกมาหลอกย่า…”
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นเจี่ยนเหล่าไท่จวินยิ่งอยู่ยิ่งโมโห พูดเสียงดัง “เรื่องเล่าตำนานผีเสื้อนี้ชิงโยวไม่เคยฟังมาก่อนเจ้าค่ะ ไม่เกี่ยวข้องกับชิงโยว เหล่าไท่จวินได้โปรดอย่าตำหนิชิงโยว เรื่องเล่านี้เชียนเสวี่ยแต่งขึ้นเองด้วยความเหลวไหลหรือไม่ มีเรื่องนี้จริงหรือไม่ เชียนเสวี่ยคิดว่าเหล่าไท่จวินย่อมรู้ดีแก่ใจ เพียงแต่ตอนจบไม่เหมือนกันก็เท่านั้น”
เรื่องราวที่ได้จากเจี่ยนชิงโยวเมื่อคราวก่อนและการคิดหาเหตุผลของตนเอง บวกกับเอ่ยถึงหมอประหลาดก่อนหน้าๆ นั้น สีหน้าของเจี่ยนเหล่าไท่จวินหวั่นไหวเล็กน้อย แล้วคิดถึงสีหน้าเสียใจของเจี่ยนเหล่าไท่จวินตอนที่ได้ฟังตำนานผีเสื้อ มั่วเชียนเสวี่ยกล้าตัดสินใจว่า ตอนหนุ่มสาวเจี่ยนเหล่าไท่จวินคนนี้และหมอประหลาดต้องมีเรื่องอะไรที่ไม่อาจให้ผู้อื่นรู้…
เป็นจริงตามนั้น คำว่ารู้ดีแก่ใจ ทำให้เจี่ยนเหล่าไท่จวินเงียบ
นานครู่หนึ่ง นางผายมือ “ข้าเหนื่อยแล้ว พวกเจ้าออกไปก่อน”
เจี่ยนชิงโยวยังคงอ้อนวอน มั่วเชียนเสวี่ยดึงตัวเจี่ยนชิงโยวแล้วน้อมทำความเคารพ จากนั้นเดินออกไป
เมื่อเดินมาถึงประตู เสียงของเจี่ยนเหล่าไท่จวินดังขึ้นจากด้านหลัง “พิธีวิวาห์ระหว่างชิงโยวและคุณชายวั่น ข้าจะพิจราณาใหม่ แต่เรื่องระหว่างนางกับคุณชายซิน ข้ายังต้องคิดให้ถี่ถ้วน หารือกับบิดามารดาของนางก่อน การแต่งงานคือเรื่องใหญ่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ!”
เจี่ยนชิงโยวหันหลังกลับไปคุกเข่าขอบคุณที่หน้าประตู “ขอบคุณท่านย่าที่ช่วยให้หลานสมปรารถนา!”
สีหน้าของเจี่ยนเหล่าไท่จวินซับซ้อน “ออกไปเถอะ ย่าเพียงหวั่นไหวเพราะเหลียงซานปั๋วและจู้อิงไถ จึงคิดเผื่อเจ้า สำหรับเรื่องที่ว่าจะช่วยให้เจ้าสมปรารถนาได้หรือไม่ ต้องดูว่าคุณชายตระกูลซินนั้นคู่ควรกับเจ้าหรือไม่”
คนที่นางอยากจะช่วยให้สมปรารถนาไม่ใช่ชิงโยว แต่เป็นการเติมเต็มชีวิตวัยแรกแย้มของนางที่ถูกกลบฝังไปแล้ว
แน่นอน นางต้องพิจารณาดูว่าพิธีวิวาห์นี้ตระกูลเจี่ยนจะได้ประโยชน์อะไร ยิงปืนนัดเดียวต้องได้นกสองตัว
มั่วเชียนเสวี่ยพยุงเจี่ยนชิงโยวเดินในสวน ด้านหน้ามีสาวใช้สองคนเดินเข้ามาบอกว่าคุณหนูห้าเชิญหนิงเหนียงจื่อไปนั่งเล่น
เจี่ยนชิงโยวนึกถึงตอนกลับมาเมื่อคราวก่อน เรื่องที่น้องสาวทั้งสองคนวางตัวไม่เหมาะสม นางได้ตำหนิพวกนางทั้งสองแล้ว ครุ่นคิดเล็กน้อย คราวนี้ เจี่ยนชิงหวาจะหาเรื่องสร้างความเดือดร้อนให้มั่วเชียนเสวี่ยหรือไม่ นางจึงคิดช่วยมั่วเชียนเสวี่ยปฎิเสธ ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยเพียงแค่ยิ้มบางๆ บอกกับสาวใช้ที่มารายงาน “ในเมื่อคุณหนูห้าเชิญข้า เช่นนั้นพี่สาวคนนี้โปรดนำทางข้าไปหน่อย”
ขณะพูดนางก็ปล่อยมือเจี่ยนชิงโยว เตรียมจะเดินไปกับสาวใช้ เดิมที นางคิดว่าคุณหนูตระกูลใหญ่ที่ไม่ได้ออกเรือน ปกติไม่ค่อยได้เจอบุรุษ ความรู้สึกที่มีต่อหนิงเซ่าชิงเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบ กลับเรือนย่อมลืม คิดไม่ถึงว่านางกลับเป็นคนดื้อดึง อยากจะรู้นักว่าผู้ที่ปรารถนาในตัวหนิงเซ่าชิงยามอยู่ต่อหน้าตนจะทำหน้าตาเช่นไร
เจี่ยนชิงโยวเดินตามอยู่ด้านหลังจะไปพร้อมกับมั่วเชียนเสวี่ย แต่มั่วเชียนเสวี่ยปฏิเสธ คิดถึงแววตานั้น หากเจี่ยนชิงโยวไปด้วย คงจะไม่สะดวกเท่าใด แต่ว่า แม้นางจะปฏิเสธไม่ให้เจี่ยนชิงโยวไปด้วย แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีของนาง สุดท้ายให้ไต้ฉินติดตามและคอยปกป้องอยู่ด้านหลัง
วันนั้นหลังจากเจี่ยนชิงหวากลับมาก็นั่งอยู่ในเรือนของตน นึกถึงบุรุษเดินหมากผู้นั้น และนึกถึงมั่วเชียนเสวี่ย
ครั้งแรกที่เจออาภรณ์ของสตรีคนนี้ ดูใหม่เพียงเจ็ดส่วน ทั้งยังเป็นสีน้ำเงินเข้ม ไม่อาจเทียบกับความงดงามของผ้าต้วนที่ตนสวมได้
ครั้งที่สองที่เจอนาง ชุดของนางใหม่ขึ้น ทว่ายังคงเป็นสีน้ำเงิน เพียงแต่กลายเป็นสีฟ้าอ่อนๆ ปิ่นเรียบบนผม เกรงว่าอยู่ในฝูงชนคงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
มือคู่นั้นแม้จะเรียวยาว ทว่าหยาบกร้าน ไม่อาจเทียบกับมือที่อ่อนนุ่มของตนได้ รูปโฉมก็ไม่งดงามทัดเทียบตน…
ครุ่นคิดไปมา เปรียบเทียบไปมา ยิ่งรู้สึกสงสารหนิงเซ่าชิง รู้สึกว่าสตรีต่ำช้าเช่นนี้อยู่ข้างกายบุรุษที่บริสุทธิ์โดดเด่นได้อย่างไร