ตอนที่ 137 คำนับปีใหม่ เปลี่ยนสถานการณ์ (3)
เพราะถึงอย่างไร สิ่งที่คนโบราณไม่ชอบที่สุดก็คือการให้และรับโดยไม่เปิดเผย สิ่งที่ดูถูกที่สุดคือการลอบมีสัมพันธ์กัน
เพื่อทำลายความคิดของเจี่ยนชิงโยว เจี่ยนเหล่าไท่จวินเลือกลงไพ่ตามหลักเหตุผลทั่วไป เช่นนั้นทุกอย่างก็จะเป็นไปตามคาด
แต่เมื่อถึงเวลานั้น ก็อยากจะแก้ไขสถานการณ์ อยากเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตก็เป็นไปไม่ได้แล้ว
เจี่ยนชิงโยวเห็นแววตาของมั่วเชียนเสวี่ย มองด้วยความสงสัย พวกนางสองคนตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือ เริ่มจากทำให้ท่านย่าอารมณ์ดี หลังจากนั้นค่อยบอกว่านางมีใจให้ผู้อื่นแล้ว ส่วนมั่วเชียนเสวี่ยคอยพูดสนับสนุนอยู่ข้างๆ
มั่วเชียนเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า เจี่ยนชิงโยวมีความสามารถโดดเด่นเหนือผู้คน เป็นสตรีที่ชาญฉลาด แต่ว่า คนเรามักโง่เขลายามมีความรัก มั่วเชียนเสวี่ยลืมข้อนี้ไปเสีย
มั่วเชียนเสวี่ยไม่สนใจแววตาของเจี่ยนชิงโยว ยิ้มแล้วพูดแสดงความยินดีต่อเจี่ยนเหล่าไท่จวิน “เหล่าไท่จวินช่างวาสนาดียิ่งนัก มีหลานสาวกตัญญูเช่นนี้”
พูดจบ หันไปส่งสายตาให้เจี่ยนชิงโยว “ชิงโยวอยากจะกตัญญูก็ใช่ว่าต้องรีบร้อน วันนี้ยังอยู่ในช่วงฉลองเทศกาลตรุษจีน ร้านอาหารของเชียนเสวี่ยก็ยังไม่เปิด แล้วจะสอนได้อย่างไร”
“ใช่ ชิงโยว ย่ารู้ดีว่าหลานกตัญญู เรียนทำขนมไม่ได้รีบร้อน เจ้าลุกขึ้นเถอะ”
เจี่ยนเหล่าไท่จวินลุกขึ้นจะพยุงเจี่ยนชิงโยว เจี่ยนชิงโยวไม่กล้ารบกวนให้เจี่ยนเหล่าไท่จวินออกแรง เหยียดตัวลุกขึ้นจากพื้นแล้วรีบพยุงเหล่าไท่จวินให้นั่งลง มั่วเชียนเสวี่ยเห็นเช่นนั้น ก็รีบลุกขึ้นแล้วเข้าไปช่วยเจี่ยนชิงโยวพยุงเหล่าไท่จวินนั่ง
พยุงเหล่าไท่จวินลงนั่ง มั่วเชียนเสวี่ยพูดขึ้นอีก “แบบนี้ดีหรือไม่เจ้าคะ เชียนเสวี่ยเล่าเรื่องเล่าให้ท่านย่าฟังก่อน ให้ท่านย่ามีความสุข แสดงควทมกตัญญูต่อท่านย่าแทนชิงโยว ดีหรือไม่เจ้าคะ” เรื่องเล่านี้ นางเตรียมเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
“เจ้าเล่าเรื่องเล่าเป็นด้วยหรือ” เจี่ยนเหล่าไท่จวินได้ยินว่านางจะเล่าเรื่องเล่า หนังตาที่หลุบลงเบิกกว้างขึ้นในทันที นัยน์ตาทอประกายความสุข “ฉลาดเป็นกรด เจ้าแพรวพราวเสียจริง เห็นมากยังไม่เท่าใด หลังจากไป๋อวิ๋นจวีมีนักเล่านิทานข้าเองก็เคยไปฟังหลายครั้ง เล่าได้ดีจริงๆ”
ยุคสมัยนี้ ยังไม่มีละคร มีเพียงในโรงขับร้องที่จะมีการร้องเล่า ความครื้นเครงมีน้อยจนน่าสงสาร
มั่วเชียนเสวี่ยพูดด้วยความถ่อมตน “เรื่องเล่านี้เชียนเสวี่ยแต่งขึ้นเอง หากเชียนเสวี่ยเล่าได้ไม่ดี ท่านย่าเจี่ยนโปรดอย่าตำหนิ”
เจี่ยนเหล่าไท่จวินร้อนใจอยากจะฟังเรื่องเล่า จึงยิ้มแล้วพูด “ได้ๆ ข้าไม่เอาความเจ้า เช่นนี้ได้แล้วกระมัง รีบเล่าเถอะ”
มั่วเชียนเสวี่ยกระเอมไอแล้วเริ่มเล่า “ว่ากันว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีที่แห่งหนึ่งเรียกว่าบ้านสวนตระกูลจู้ บ้านสวนตระกูลจู้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ จู้หยวนวั่ยมีบุตรีนามอิงไถ รูปโฉมงดงาม ร่ำเรียนกลอนกวีของมู่ปานเจาและไช่เหวินจีตามพี่ชายตั้งแต่เล็ก เจ็บใจที่ในบ้านเกิดไร้อาจารย์ที่ดี จึงใคร่อยากจะออกเดินทางไปหังโจวเพื่อไปตามหาอาจารย์และร่ำเรียน…”
มั่วเชียนเสวี่ยเล่าถึงเรื่องที่เหลียงซานปั๋วกับจู้อิงไถ[1]พบกัน ร่วมกันร่ำเรียน อยู่เคียงกันไม่ห่าง…ดวงหน้าของเจี่ยนเหล่าไท่จวินและเจี่ยนชิงโยวเปี่ยมไปด้วยความปรารถนา
เจี่ยนชิงโยวนึกถึงตอนที่ตนได้พบเจอกับซินอี้หมิง นึกถึงอ้อมกอดนั้น นึกถึงดอกท้อที่ผลิบาน
ทว่าความคิดของเจี่ยนเหล่าไท่จวินข้ามผ่านเวลา กลับไปยังเมื่อหลายสิบปีก่อน เมื่อครั้นตอนที่นางออกท่องยุทธภพแล้วได้พบกับหมอประหลาด…
ตอนนั้น นางเป็นเพียงหญิงสาวแรกรุ่น เป็นช่วงที่กำลังผลิบาน ในตอนนั้น เขาเองก็เป็นเพียงชายหนุ่ม ผู้ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน นางดื้อดึง เขาดื้อด้าน
ครั้งแรกที่นางออกท่องยุทธภพ ไร้ประสบการณ์ แม้จะปลอมตัวเป็นบุรุษ ทว่าถูกพวกคนโฉดมองออก เกือบจะตกหลุมพรางคนต่ำทราม โชคดีที่ได้เขาคอยปกป้องตลอดทาง นางจึงกลับมาถึงเรือนอย่างปลอดภัย
ทั้งสองหวนคิดแล้วตกอยู่ในภวังค์ ทว่าก็ยังคงฟังอย่างจดจ่อ มั่วเชียนเสวี่ยเล่าถึงตอนที่เหลียงซานปั๋วส่งจู้อิงไถกลับเรือนแล้วยากจากกัน
เล่าถึงตรงนี้ มั่วเชียนเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะหยุดชะงัก เล่าเรื่องได้อย่างมีศิลปะ ให้เวลาในการครุ่นคิดและจินตนาการ
“ต่อจากนั้นเล่า”
“ต่อจากนั้น เหลียงซานปั๋วไปหาจู้อิงไถหรือไม่ ทั้งสองได้แต่งงานและอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขหรือไม่”
เจี่ยนเหล่าไท่จวินและเจี่ยนชิงโยวร้อนใจอยากจะรู้ตอนจบ มั่วเชียนเสวี่ยหยิบชาขึ้นมาจิบ จิบคำเล็กๆ แล้วเป่า หลังจากนั้นก็จิบชาคำเล็กๆ ต่อ
“แน่นอนว่าในตอนหลังเหลียงซานปั๋วไปหานาง ทว่าไม่ได้แต่งงานและอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข”
“เพราะเหตุใด”
“เพราะชาติตระกูลของเหลียงซานปั๋วไม่ดี จู้หยวนวั่ยปรารถนาให้จู้อิงไถแต่งงานกับคุณชายหม่าที่ชาติตระกูลคู่ควรกับตระกูลของตน”
“ทำเช่นนั้นได้อย่างไร”
“จู้หยวนวั่ยสมควรตาย หลังจากนั้นเล่า หรือว่าจู้อิงไถยอมแต่งงานออกเรือนกับบุรุษอื่น แล้วเหลียงซานปั๋วไม่รู้จักคิดหาวิธีหน่อยหรือ”
“คิดหาวิธีแล้วเจ้าค่ะ ท่านย่าเจี่ยนอย่าเพิ่งรีบร้อน”
มั่วเชียนเสวี่ยวางถ้วยน้ำชาในมือลง กระเอมไอ แล้วเริ่มเล่าต่อ “…แต่งงานและอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข สิ่งเหล่านี้ล้วนกลายเป็นเรื่องเพ้อฝัน… ทั้งสองนัดเจอกันที่ศาลา น้ำตานองหน้า เศร้าโศกที่ต้องบอกลา ตอนจากกัน ทั้งสองกล่าวคำสาบาน เมื่อยามมีชีวิตไม่อาจครองรัก เช่นนั้นขอฝังในหลุมศพเดียวกัน!”
แววตาของเจี่ยนเหล่าไท่จวินและเจี่ยนชิงโยวมีน้ำตา คนที่ฟังเรื่องเล่าไม่ได้มีเพียงเจี่ยนเหล่าไท่จวิน แต่ยังมีเหลียงหมัวมัว และพวกหงอวี้สาวใช้คนสนิท พวกนางต่างฟังจนน้ำตาไหลอาบแก้ม
“ซานปั๋วทุกข์ระทมจนล้มป่วย ไม่นานหลังจากนั้นชีวิตก็ม้วยมลาย เมื่ออิงไถได้ยินว่าซานปั๋วตาย จึงสาบานจะตายร่วมกับเขา นางเตรียมที่จะไปไว้อาลัยเหลียงซานปั๋วที่หลุมฝังศพแล้วจะตายตามเขาไป ทว่าราวกับฟ้าดินรับรู้ นางเพิ่งไปถึงหน้าสุสาน ฝนฟ้าคะนอง ฟ้าผ่าลงมาจนสุสานแยกออก…”
เจี่ยนเหล่าไท่จวินและเจี่ยนชิงโยวฟังมั่วเชียนเสวี่ยเล่าถึงตรงนี้ ดวงหน้าของทั้งสองเปี่ยมไปด้วยน้ำตา ทว่าหัวใจบีบรัด เหลียงหมัวมัวและสาวใช้ทุกคนก็เช่นกัน หัวใจต่างบีบรัดขึ้นมา
“อิงไถกระโดดลงไปในหลุมศพ หลุมศพกลับปิดสนิทอีกครั้ง พายุฝนหยุดลง ท้องฟ้าสดใสมีรุ้งกินน้ำ ผีเสื้อสองตัวบินอยู่บนหลุมฝังศพ ราวจะอยู่เคียงข้างกันไปจนฟ้าดินสลาย”
หลังจากเล่าเรื่องตำนานรักผีเสื้อจบ ทั่วทั้งห้องเงียบสงัดจนผิดปกติ ทุกคนจมดิ่งอยู่ในตำนานรักนี้
คือเหลียงหมัวมัวที่ทำลายความเงียบ หมัวมัวรินน้ำชาให้พวกนาง พร้อมกับทอดถอนหายใจ “เฮ้อ…คู่รักที่ดีแท้ๆ แต่กลับต้องกลายเป็นเช่นนี้”
“ทั้งหมดเป็นเพราะจู้หยวนวั่ย ชาติตระกูลอะไรกัน คนรักกัน กลับต้องถูกพรากจากกันเช่นนี้” เจี่ยนเหล่าไท่จวินโมโหจนตบโต๊ะเสียงดัง
นางคิดถึงตอนที่นางเป็นสาว หมอประหลาดมาสู่ขอถึงเรือน บิดาของนางก็บอกว่าชาติตระกูลไม่คู่ควรกัน ขับไล่หมอประหลาดออกไปจากเรือน ตอนนั้นนางไม่รู้เรื่องนี้ ไม่แม้แต่จะได้พบหน้าหมอประหลาด แล้วยังตั้งใจรอวันที่เขามาสู่ขอ ทว่าผู้ใดจะรู้เมื่อรอก็รอนานกว่าครึ่งปี สุดท้ายภายใต้ความสิ้นหวัง คนในตระกูลจึงหมั้นหมายนางกับตระกูลเจี่ยน
กระทั่งหลายปีให้หลัง พบเจอกันอีกครั้ง หมอประหลาดค่อยบอกว่าตอนนั้นเขาเคยมาสู่ขอถึงเรือน นางจึงเพิ่งได้รู้ว่านางเข้าใจเขาผิดมาโดยตลอด
เพียงแต่ เมื่อคลาดกันแล้ว ก็คลาดกันชั่วชีวิต
สีหน้าของเจี่ยนเหล่าไท่จวินสับสน ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยกลับรู้สึกว่าตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุด หันไปมองเจี่ยนชิงโยว คิดไม่ถึง เจี่ยนชิงโยวคนซื่อกลับไม่เคยฟังเรื่องเล่าที่เศร้าสลดเช่นนี้มาก่อน นางยังไม่อาจถอนตัวออกมาจากตำนานรักผีเสื้อได้ ดวงตาทั้งคู่เปี่ยมไปด้วยน้ำตา
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นว่านางไม่มองตน ร้อนใจเล็กน้อย “ท่านย่าเจี่ยน เรื่องเล่านี้แม้เชียนเสวี่ยจะแต่งขึ้นมาเอง แต่ความจริงเรื่องที่น่าเศร้าเช่นนี้มีไม่น้อย” มั่วเชียนเสวี่ยเห็นว่าเจี่ยนชิงโยวยังคงใจลอย ด้วยเหตุนี้จึงร้องเตือนนาง “ชิงโยว เจ้าเคยได้ยินหรือไม่”
เจี่ยนชิงโยวจึงเพิ่งดึงสติกลับมา หันไปมองสายตาให้เหลียงหมัวมัว คุกเข่าลง “ท่านย่า ชิงโยวมีเรื่องอยากจะพูดเจ้าค่ะ”
เหลียงหมัวมัวเห็นสีหน้าคุณหนูใหญ่จริงจัง ด้วยเหตุนี้จึงไล่สาวใช้ในห้องออกไป เหลือตนเพียงคนเดียวที่คอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างๆ
[1] เหลียงซานปั๋วกับจู้อิงไถ เป็นหนึ่งในตำนานความรักพื้นบ้านของชาวจีน คนไทยรู้จักในชื่อตำนานรักผีเสื้อ หรือม่านประเพณี