บทที่ 140 คนที่มีจิตใจลึกล้ำไม่ควรมีเรื่องด้วย
หลังจากกินอาหารกลางวันเสร็จก็เป็นเวลาพักเที่ยง ศิษย์ส่วนใหญ่ล้วนกลับที่พักหมดแล้ว
ตามปกติภรรยาของอาจารย์เอี๋ยนจะนำอาหารมาส่งให้เขาในเวลานี้ หลังจากสองสามีภรรยาพูดคุยกันสักพัก ฮูหยินเอี๋ยนก็เก็บเถาอาหาร และอาศัยตอนที่ด้านนอกไม่มีคนเตรียมจะกลับบ้านไป
แต่ใครจะรู้ว่าตอนที่นางเดินผ่านประตูพระจันทร์* จู่ ๆ ก็รู้สึกปวดท้องขึ้นมา ด้วยเกรงว่าจะมีศิษย์ของสำนักศึกษามาชนเข้า นางจึงรีบวางเถาอาหารลงบนโต๊ะหิน และรีบเดินไปเข้าห้องน้ำ
* ประตูพระจันทร์ (月拱门) ซุ้มลักษณะเป็นวงกลมคล้ายอุโมงค์ที่เชื่อมต่อจากผนังหรือกำแพงล้อมรอบภายในสวนจีน
เมื่อกลับออกมาอีกครั้ง ฮูหยินเอี๋ยนก็หิ้วเถาอาหารกำลังจะจากไป
หืม? เหตุใดถึงได้รู้สึกว่าเถาอาหารนี้หนักขึ้นกัน?
ฮูหยินเอี๋ยนจึงเปิดดู ก็เห็นว่ามีหนังสือสองเล่มและจดหมายวางอยู่บนเถาชั้นบน ฮูหยินเอี๋ยนรู้สึกงุนงง แต่ทันทีที่เปิดอ่านจดหมาย สีหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นอับอายและกรุ่นโกรธขึ้นมาทันที
เมื่อดูหนังสือทั้งสองเล่มนั้นอีกครั้ง หน้าปกก็มีการเขียนเอาไว้ว่า ‘กฎทองคำและข้อบัญญัติหยก’ แต่เมื่อเปิดดูแล้วกลับเต็มไปด้วยสิ่งระคายตา และยังมีคนเขียนกำกับเอาไว้ด้านบนอีกด้วย
ฮูหยินเอี๋ยนโมโหจนตัวสั่นไปหมด ก่อนจะหมุนตัวกลับไปหาอาจารย์เอี๋ยน
บังเอิญจริง อาจารย์เอี๋ยนก็กำลังโมโหเป็นฟืนเป็นไฟเช่นกัน!
เขาตรวจแบบคัดลายมือที่ลูกศิษย์ส่งมาเมื่อวาน สำนักศึกษาชิงอวิ๋นในฐานะที่เป็นสำนักศึกษาที่ดีที่สุดในตำบล มาตรฐานในการเข้าเรียนก็ถือว่าสูงมาก ดังนั้นศิษย์ที่จะสามารถเข้าเรียนได้ จึงไม่ได้เรียนเพื่อแค่ให้รู้หนังสือหรือเข้าใจหลักเหตุผลเท่านั้น เพราะที่สำคัญกว่าก็คือการสอบจอหงวน
ดังนั้นการคัดลายมือให้ออกมาสวยงาม จึงเป็นวิชาที่ศิษย์เหล่านี้ต้องฝึกฝนทุกวัน เดือนสองปีหน้าก็จะถึงกำหนดการสอบถงเซิงแล้ว ตอนนี้ศิษย์ที่เพิ่งเข้าสำนักศึกษาจึงต้องฝึกฝนตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาไม่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายในการสอบ ต่อให้จะมีความสามารถ แต่หากผู้คุมสอบเห็นลายมือไก่เขี่ยของพวกเขา ย่อมไม่มีทางให้คะแนนสูงอย่างแน่นอน
อาจารย์เอี๋ยนเองก็เคยผ่านมาแล้ว ดังนั้นเขาจึงเข้มงวดกับศิษย์มาก และเกลียดพวกที่ชอบฉวยโอกาสเป็นที่สุด
ทว่าซูหงเจิ้นผู้นี้กลับกล้าทำเรื่องเสียสติเช่นนี้ขึ้นมา เขียนด่าทอฮ่องเต้องค์ปัจจุบันบนกระดาษได้อย่างลื่นไหล นี่มัน นี่มัน นี่มันใช่สิ่งที่เขาสามารถพูดออกมาได้อย่างนั้นหรือ! ต้องการจะทำลายสำนักศึกษาชิงอวิ๋นหรืออย่างไร ทั้งยังใช้ตัวอักษรแฝงไว้ในกลอนอีกด้วย! นี่คิดว่าคนอื่นเขาจะโง่กันหมด และมองไม่ออกหรืออย่างไร!?
อาจารย์เอี๋ยนกำลังจะลุกขึ้นให้คนไปตามซูหงเจิ้นมา เพราะเขาอยากจะถามด้วยตัวเอง
แต่ใครจะไปคิดว่าเขาเพิ่งจะลุกขึ้นยืน ฮูหยินเอี๋ยนที่ร้องไห้ฟูมฟายก็พุ่งตัวเข้ามาทันที
จนกระทั่งอาจารย์เอี๋ยนได้เห็นสิ่งที่ภรรยาหยิบออกมา โดยเฉพาะประโยคนั้น ‘เตียงวิจิตรเกิดสงคราม สองร่างรวมเป็นหนึ่งลอบบดเบียด ผีเสื้อเริงระบำดูดแกนดอกไม้ ภมรหลงใหลน้ำหวานซ่อนตัวอยู่ในรังผึ้ง’
อาจารย์เอี๋ยนโกรธจนตัวสั่น ซูหงเจิ้นผู้นี้ เจ้าคนไร้ยางอาย! ถึงกับกล้าแทะโลมอาจารย์แม่ เจ้าคนไม่ซื่อสัตย์ ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี อกตัญญู ไม่เคารพยำเกรงอาจารย์!
อาจารย์เอี๋ยนเป็นคนที่ไม่ยอมก้มหัวให้ความไม่ถูกต้อง แน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องไปถึงหลินเซวียเหวินทันที
หลินเซวียเหวินเองก็ตกใจอย่างมากที่สำนักศึกษามีตัวปัญหาเช่นนี้อยู่ จึงได้สั่งคนไปตามซูหงเจิ้นผู้นั้นมาทันที
เมื่อลองดูสองสามประโยคแรกของบทความให้ละเอียดอีกครั้ง หากไม่ใช่เพราะอาจารย์เอี๋ยนเป็นคนละเอียดรอบคอบอ่านซ้ำถึงสองรอบ งานนี้คงต้องซวยเพราะเขาเป็นแน่
ซูหงเจิ้นยังคิดว่าบทความที่ตนเองให้เผยจี้ฉือเขียนได้รับคำชม เจ้าเด็กคนนั้นมีความสามารถไม่น้อยจริง ๆ แค่ดูลายมือของเขาก็สามารถคัดลอกได้คล้ายคลึงถึงสี่ห้าส่วน เขาคิดว่าตัวเองนั้นได้กำไรอย่างมาก ต่อไปก็ไม่ต้องจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อจ้างคนนอกมาช่วยเขียนอีกแล้ว
“อาจารย์ใหญ่ขอรับ อาจารย์ขอรับ”
เมื่อเห็นสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสของซูหงเจิ้น อาจารย์เอี๋ยนก็อยากจะเอาไม้บรรทัดมาตีเจ้าเด็กนี่สักยก
หลินเซวียเหวินโยนกระดาษในมือออกไป “เจ้าเป็นคนเขียนใช่หรือไม่?”
ซูหงเจิ้นเก็บขึ้นมาดู นี่มันที่เผยจี้ฉือเขียนนี่นา เขาพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม “ใช่ขอรับ”
หลินเซวียเหวินตบโต๊ะด้วยความโมโห “เจ้าช่างกล้าดียิ่งนัก ถึงกับกล้าด่าทอฮ่องเต้องค์ปัจจุบันในบทความ! สำนักศึกษาของเราคงเก็บเจ้าเอาไว้ไม่ได้อีก เจ้ารีบไปเก็บของแล้วไสหัวออกไปซะ”
ซูหงเจิ้นรู้สึกประหลาดใจ และไม่กล้าที่จะยอมรับในเรื่องนี้ “เอ่อ…ศิษย์เปล่านะขอรับ”
หลินเซวียเหวินเห็นเขายังไม่ยอมรับผิด ก็นำกระดาษแผ่นนั้นมาพับแล้วถามขึ้นมา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวอักษรเหล่านี้คือคำว่าอะไร?”
ซูหงเจิ้นจึงอ่านตาม “เซี่ยเจินเบาปัญญา…”
ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไป ก่อนจะคุกเข่าลงทันทีพร้อมกับเนื้อตัวที่สั่นเทา เซี่ยเจินเป็นพระนามของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เขาไหนเลยจะกล้า…
ต้องเป็นเผยจี้ฉือ ต้องเป็นเจ้าเด็กนั่นแน่ ๆ มิน่าเล่าจู่ ๆ ถึงได้พูดง่ายเช่นนั้น ยอมช่วยเขาคัดลายมือ ที่แท้ก็แอบซ่อนคำเหล่านี้เอาไว้ข้างใน แต่เจ้าเด็กนั่นเพิ่งจะแปดขวบเองไม่ใช่หรือ! ไปเอาความคิดชั่วร้ายเช่นนี้มาจากที่ใดกัน!
“อาจารย์ใหญ่ขอรับ ท่านฟังข้าก่อน ข้าไม่ได้เป็นคนเขียนนะขอรับ เผยจี้ฉือเป็นคนเขียนขอรับ”
หลินเซวียเหวินเดิมก็รังเกียจเขาอยู่แล้ว เมื่อได้ยินเขากล้าพาดพิงเผยจี้ฉือ ก็เอ่ยด้วยความโมโหขึ้นมาทันที “เหลวไหล! เหตุใดเจ้าต้องใส่ร้ายเผยจี้ฉือด้วย เจ้าแก่กว่าเขาเป็นรอบ ไม่รู้จักรักและปกป้องสหายร่วมชั้น ยังกล้าโยนความผิดให้คนอื่นอีก ข้ารู้แล้ว เจ้าคงเห็นว่าครอบครัวเผยจี้ฉือสู้ครอบครัวเจ้าไม่ได้ จึงคิดจะโยนความผิดให้เขาใช่หรือไม่?”
อาจารย์เอี๋ยนต่อให้ไม่ชอบเผยจี้ฉือเพราะหลินเซวียเหวินเป็นคนพาเข้ามา แต่เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ก็รู้สึกว่าไร้สาระเช่นกัน
“ดี อักษรที่แฝงในกลอนเจ้าไม่ยอมรับ เช่นนั้นนี่คืออะไร เจ้าคนหน้าไม่อาย อย่างไรเสียเจ้าก็ยังเรียกข้าว่าอาจารย์ ทว่าแม้แต่อาจารย์แม่ เจ้าก็กล้าคิดอกุศลด้วยอย่างนั้นหรือ? หากไม่ใช่เพราะชื่อเสียง ข้าจะส่งเจ้าไปให้ทางการเดี๋ยวนี้!”
ซูหงเจิ้นมองสิ่งที่ตกลงมาตรงหน้าด้วยความตกตะลึง นี่เป็นของที่เขาวางเอาไว้ใต้เตียง เพื่อมอบให้สหายที่คบกันมานาน เหตุใดถึงมาอยู่ในมือของอาจารย์ได้?
“ทำไม? ของสิ่งนี้ไม่ใช่ของเจ้าอย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นเหตุใดด้านบนถึงยังมีตราประทับของเจ้า ‘ซูหงเจิ้น’ ได้เล่า!”
ซูหงเจิ้นพูดไม่ออก สิ่งนี้เป็นของของเขาจริง ๆ แล้วตอนนี้เขาจะอธิบายให้ชัดเจนได้อย่างไร
ในตอนนั้นเองก็มีศิษย์สามสี่คนวิ่งมาขอให้หลินเซวียเหวินช่วยปกป้องพวกเขา ที่แท้ซูหงเจิ้นผู้นั้นเมื่อมาถึงสำนักศึกษาก็ก่อเรื่องลับหลังเอาไว้ไม่น้อย ทั้งรังแกนักเรียนที่ไม่มีเงิน ทำให้สำนักศึกษากลายเป็นสังคมที่เลวร้ายป่าเถื่อน
“เด็ก ๆ ไล่เขาออกไปซะ! นับตั้งแต่วันนี้ไปลบชื่อเขาออกจากสำนักศึกษาด้วย!” หลินเซวียเหวินสะบัดมือหนึ่งครั้ง แล้วให้คนไล่ซูหงเจิ้นออกไป
ซูหงเจิ้นยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยซ้ำ คนก็ถูกหิ้วตัวออกไปเสียแล้ว ทั้งคนทั้งสัมภาระถูกโยนออกจากสำนักศึกษาชิงอวิ๋นในทันที
ตอนบ่ายอาจารย์เอี๋ยนไม่ได้เข้าสอน โหลวเฉิงเย่ก็นึกสงสัย เมื่อเห็นเผยจี้ฉือที่กำลังหัดเขียนด้วยท่าทางสงบเยือกเย็นก็เอ่ยขึ้นมา “เหตุใดอาจารย์เอี๋ยนกับซูหงเจิ้นถึงไม่มาเล่า เจ้าไม่แปลกใจหรือ?”
ไม่มา? ก็แสดงว่ามีเรื่องน่ะสิ
เผยจี้ฉือที่เป็นตัวต้นเรื่องส่ายหน้า ทำเป็นเหมือนไม่สนใจ
จากนั้นก็มีคนรับใช้ที่หน้าประตูมาเรียกเขา “เผยจี้ฉือ คนที่บ้านเจ้ามาหา”
พลันนั้นโหลวเฉิงเย่ก็เห็นเจ้าเด็กที่เย็นชายกยิ้มออกมา ก่อนจะลุกขึ้นและเดินออกไปทันที
เพิ่งจะมาถึงหน้าประตู ซูหงเจิ้นที่มีสภาพสะบักสะบอมก็พุ่งตัวเข้ามาหา “เผยจี้ฉือ เป็นเจ้าใช่หรือไม่! เป็นเจ้าที่ใส่ร้ายข้า ข้าไม่ได้เขียนคำที่มีความผิดร้ายแรงนั่น และไม่มีทางเขียนกลอนรักให้ยายแก่ของอาจารย์เอี๋ยนอย่างแน่นอน”
เผยจี้ฉือปัดมือเขาออกด้วยใบหน้าเรียบเฉย “พูดจาให้มันดี ๆ หน่อย ท่านผู้นั้นต้องเรียกว่า อาจารย์แม่เอี๋ยน”
“เป็นเจ้า เป็นเจ้าจริง ๆ ด้วย ข้าจะทำให้เจ้าไม่มีวันได้พบกับความสงบสุขอีก เจ้าเตรียมตัวรอได้เลยเผยจี้ฉือ!”
“นี่!” จู่ ๆ ก็มีเสียงผู้หญิงดังขึ้นจากทางด้านหลัง
ซูหงเจิ้นหันหน้าไปและมองลงไปด้านล่าง เด็กผู้หญิงที่ผิวขาวเนียนละเอียดคนหนึ่งกำลังเท้าเอวมองเขาอยู่
ซูหงเจิ้นกำลังคิดจะบอกให้เด็กผู้หญิงคนนั้นไสหัวไปซะ ทว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นกลับกระโดดขึ้นมาชกใบหน้าเขาอย่างแรง ซูหงเจิ้นเลือดกำเดาไหลออกมาทันที และหงายหลังลงไปนอนแนบกับประตูของสำนักศึกษา
อาอินเป่าที่หมัดของตัวเอง “คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน กล้ามาตะโกนใส่พี่ใหญ่ข้า”
สาวน้อยเตะร่างของซูหงเจิ้นไปหนึ่งที แล้วจึงได้ผายมือให้เผยจี้ฉืออย่างอ่อนโยน พลางเอ่ยขึ้นมา “พี่ใหญ่ พวกเราเอาขนมเค้กมาส่งให้ท่านเจ้าค่ะ”
[1] ประตูพระจันทร์ (月拱门) ซุ้มลักษณะเป็นวงกลมคล้ายอุโมงค์ที่เชื่อมต่อจากผนังหรือกำแพงล้อมรอบภายในสวนจีน