บทที่ 139 โลกนี้มันกลม ศัตรูมาหาถึงที่

หลังจากผ่านไปหนึ่งคืนเตาอบก็แห้งพอดี จี้จือฮวนจึงจุดฟืนแห้งแล้วโยนเข้าไปข้างใน จากนั้นก็ไปที่คอกวัวเพื่อรีดนมสดมา

หลังจากนำนมวัวไปต้มฆ่าเชื้อด้วยอุณหภูมิที่สูงแล้ว ก็เก็บใส่ตู้เย็นในช่องว่างมิติ หลังจากทำความสะอาดเตาไปรอบหนึ่ง ก็นำนมที่แข็งตัวแล้วออกมาจากช่องว่างมิติ ไขมันด้านบนลอยขึ้นมา ในฟองนมหนา ๆ มีไขมันอยู่ด้วย

เมื่อตักฟองนมหนา ๆ นั้นออกมาแล้ว ก็เริ่มตีด้วยเครื่องตีไข่ที่ทำขึ้นเองจากไม้เล็ก ๆ

หลักการทำนี้ง่ายมาก แต่ไม่เร็วเท่ากับเครื่องตีไข่ไฟฟ้าในยุคปัจจุบัน

เมื่อตีจนมีความหนืดและเป็นฟองนุ่ม ๆ แล้ว ไขมันก็จะออกมาด้วย ก่อนเติมนมสดแช่แข็งลงไปเพื่อเร่งการแยกส่วน เมื่อตีจนมีลักษณะเหมือนกากเต้าหู้แล้ว ก็ตักออกมากรองด้วยกระชอนเพื่อบีบเอาน้ำข้างในออกมา ทีนี้ก็ได้เนยที่ทำเองแล้ว

นำเนยที่บีบออกมาใส่ไว้ในแม่พิมพ์ไม้ วางไว้ในช่องว่างมิติและแช่เย็นต่อเพื่อให้แข็งตัว

ก่อนหน้านี้นางได้ปลูกข้าวสาลีในพื้นที่ปลูกผักในช่องว่างมิติ และเมื่อเก็บไว้ในห้องใต้ดินของช่องว่างมิติ จากข้าวสาลีก็กลายเป็นแป้งสาลี การค้นพบนี้ทำให้จี้จือฮวนประหลาดใจอย่างมาก นางจึงเกิดความคิดที่จะทำขนมปังขึ้นมา

ตัดเนยที่เกือบจะแข็งตัวในช่องว่างมิติออกมาเล็กน้อย ต้มจนเดือดและใส่แป้งสาลี จากนั้นก็คนให้เข้ากัน เทแป้งลงในอ่าง ใส่ไข่แดงและตามด้วยนม นำไข่ขาวที่แช่เย็นไว้ออกมา ใส่น้ำตาลและตีจนตั้งยอด จากนั้นก็นำไข่ขาวอีกส่วนหนึ่งออกมาผสมกับไข่แดงตีให้เข้ากัน แล้วค่อยใส่ไข่ขาวทั้งหมดลงไปผสมให้เข้ากันอีกครั้ง แล้วเทลงในแม่พิมพ์สี่เหลี่ยมที่เจิ้งต้าเฉียงทำไว้ให้ก่อนหน้านี้

จากนั้นนำแม่พิมพ์เข้าไปอบในเตาอบ ไม่นานกลิ่นหอมกรุ่นก็อบอวลไปทั่วลานบ้าน

เผยจี้ฉือวันนี้ไปเรียนตั้งแต่เช้าแล้ว จ้านอิ่งไม่สามารถอยู่ในสำนักศึกษาได้ จึงวิ่งกลับมาเอง เมื่อมันได้กลิ่นหอมก็เดินวนเวียนอยู่ข้างกายของจี้จือฮวนไม่หยุด

สามทหารเสือแห่งบ่อนการพนันก็เดินตามหลังจี้จือฮวนต้อย ๆ จ้องของที่อยู่ในเตาอบตาปริบ ๆ

“หอมจังเลย” อาชิงน้อยเช็ดน้ำลายไปหนึ่งที

อาอินเองก็เลียริมฝีปากไปด้วย ท่านป้าก็ลูบคลำเงินไปมา อยากติดสินบนฮวนฮวน เพื่อให้ตัวเองได้กินเป็นคนแรก

ส่วนเผยยวนกลับช่วยดูไฟอย่างใจเย็น เขาคิดว่าชิ้นที่นุ่มที่สุดและหอมที่สุด ฮวนฮวนต้องเก็บเอาไว้ให้เขาอย่างแน่นอน

จี้จือฮวนยังไม่รู้ว่าพวกเขากำลังแย่งเป็นคนโปรดของนางกันอยู่

รอจนกระทั่งเปิดเตาอบและนำเค้กก้อนใหญ่แต่นุ่มนิ่ม ร้อนระอุ และหอมหวนออกมา น้ำลายของเด็กทั้งสองก็ไหลย้อยลงมาทันที

เผยยวนเองก็กลืนน้ำลายลงคอเช่นกัน

จี้จือฮวนจึงตัดเค้กแบ่งให้คนละชิ้น ส่วนที่เหลือนางเก็บเอาไว้ในกล่องอาหาร “พวกเจ้ากินกันก่อน ข้าจะเอาไปส่งให้อาฉือ”

จ้านอิ่งฝีเท้าเร็ว ตอนที่ไปถึงรับรองว่ายังร้อนอยู่อย่างแน่นอน

“ข้าไปด้วย”

“ข้าก็จะไปด้วย”

“ข้าด้วย!”

สามทหารเสือแห่งบ่อนการพนันตอนนี้ถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในเรือนหลังน้อย เมื่อมีโอกาสออกไปข้างนอกย่อมต้องคว้าเอาไว้

วันนี้จี้จือฮวนอารมณ์ดี เพราะต่อไปจะสามารถเปลี่ยนรูปแบบการทำขนมหวานได้แล้ว จึงพยักหน้าตกลง ทั้งครอบครัวจัดเตรียมรถม้ากันอย่างมีความสุข ตั้งใจนำเค้กไปส่งให้กับเผยจี้ฉือ

สำนักศึกษาชิงอวิ๋น

วันนี้เป็นวิชาของอาจารย์หยาง หลังจากเรียนเสร็จเผยจี้ฉือตั้งใจว่าจะหลับตาพักผ่อนสักครู่ โหลวเฉิงเย่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พูดพล่ามไม่หยุด แต่สิ่งที่น่าแปลกคือเขาฟังอยู่นานกลับไม่รู้สึกรำคาญแต่อย่างใด

เขาจำได้ว่าตอนที่อยู่ตำหนักบูรพา มีขันทีน้อยผู้หนึ่งก็มีนิสัยเช่นนี้ และชอบประหม่าอยู่ตลอดเวลา

ครั้งแรกที่พบเขาก็ยังไม่รู้ว่าควรเรียกเขาว่าอย่างไร จึงมักจะเรียกว่าพระราชนัดดาด้วยท่าทางหวั่นเกรง แม้แต่ฝนหมึกก็ยังทำเงอะ ๆ งะ ๆ เดิมควรจะถูกหัวหน้าขันทีลากออกไปแล้ว แต่เขากลับเลือกที่จะเก็บเอาไว้

ทุกอย่างในวังมักจะเป็นไปตามกฎระเบียบ น้อยนักที่จะเจอคนสนุกสนานเช่นนี้

ทว่าต่อมาตำหนักบูรพาเกิดไฟไหม้ ขันทีน้อยผู้นั้นเอ่ยด้วยรอยยิ้มกับเขาภายในกองไฟ “พระราชนัดดา วันหน้าท่านต้องเลือกคนที่ฝนหมึกเป็นนะพ่ะย่ะค่ะ เพราะกระหม่อมไม่สามารถอยู่ข้างกายท่านได้อีกแล้ว”

ขันทีน้อยผู้นั้นตายแทนเขาอยู่ที่นั่น

เขามักจะพูดว่าชาติหน้าเขาจะเกิดเป็นคนที่ร่างกายสมบูรณ์พร้อม ไม่ร่ำรวยสูงส่งก็ไม่เป็นไร แต่อยากเป็นคนเช่นเดียวกับพระราชนัดดา นี่เป็นคำพูดที่กล้าหาญที่สุดที่เขาเคยพูดออกมา

บัดนี้ขันทีน้อยเป็นตัวแทนของเขา ที่ถูกฝังกลบอยู่ในเศษซากของตำหนักบูรพาแห่งนั้น

“อาฉือ อาฉือเจ้าพูดอะไรบ้างสิ” โหลวเฉิงเย่เรียกเขา

เผยจี้ฉือลืมตาขึ้น แววตาเย็นชาเล็กน้อย แต่น้ำเสียงยังคงเป็นปกติอยู่ “เมื่อวานเจ้าไม่ได้ทำการบ้านมา อีกเดี๋ยววิชาอาจารย์เอี๋ยนเจ้าคิดจะทำเช่นไร? เดี๋ยวก็ถูกทำโทษให้ยืนอีก”

ยังจะมีกะจิตกะใจมาพูดกับเขาอีก ว่าใครสักคนในห้องหนึ่งเมื่อสองสามวันก่อนได้หมั้นหมายแล้ว

โหลวเฉิงเย่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทั้ง ๆ ที่เจ้าเด็กคนนี้อายุน้อยที่สุด แต่กลับมีความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่ที่สุด เมื่อถูกเขาจ้องมองก็มักจะให้ความรู้สึกเหมือนคุยกับผู้อาวุโสอย่างไรอย่างนั้น

“ไปเถอะ ไปกินข้าวกัน” โหลวเฉิงเย่เอ่ยชวนด้วยท่าทางขัดเขิน

ทันทีที่ทั้งสองคนเดินออกมาจากที่พัก กลับถูกคนขวางเอาไว้ตรงหัวมุม

“ซูหงเจิ้น เจ้าจะทำอะไรอีก?” โหลวเฉิงเย่เอ่ยด้วยความไม่พอใจ

ซูหงเจิ้นผู้นี้เป็นคนที่โหลวเฉิงเย่เกลียดที่สุด เพราะยามอยู่ต่อหน้าอาจารย์เขามักจะทำตัวเป็นคนสุภาพอ่อนโยน แต่ลับหลังกลับแอบตั้งพรรคพวก ใครก็ตามที่มีความรู้ความสามารถก็จะถูกนับเป็นพี่เป็นน้องกับเขา ในเวลาเพียงไม่กี่วันก็มีแนวโน้มว่าซูหงเจิ้นจะกลายเป็นผู้นำในสำนักศึกษาเสียแล้ว

ซูหงเจิ้นเอ่ยกับเผยจี้ฉือด้วยรอยยิ้ม “ได้ยินมาว่าช่วงนี้เจ้าชอบทำตัวเป็นที่สนใจ อาจารย์หลายคนต่างชมว่าตัวหนังสือของเจ้าสวย”

เผยจี้ฉือเงยหน้าขึ้น “อืม แล้วอย่างไร?”

ซูหงเจิ้นกัดฟันแน่น “คนอย่างข้า ชื่นชมที่สุด…”

“ไม่อยากรู้ หลีกทาง” เผยจี้ฉือแค่เห็นหน้าคนผู้นี้ก็รู้แล้วว่ามีนิสัยเป็นเช่นไร เขามาที่นี่ก็เพื่อเรียนหนังสือ และไม่ต้องการสานสัมพันธ์อะไรกับคนพวกนี้ทั้งสิ้น

รอยยิ้มของซูหงเจิ้นแข็งค้างไปทันที เจ้าเด็กนี่…

“นี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร ข้าได้ยินมาว่าแม่เจ้าเป็นแค่สาวชาวบ้าน และพ่อของเจ้าก็ยังพิการอีกด้วย ดังนั้นข้าจะยอมช่วยเจ้าสักครั้ง รู้เช่นนี้เจ้าคงแอบไปดีใจคนเดียวกระมัง”

ฝีเท้าของเผยจี้ฉือชะงักไป ก่อนจะหันไปมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “อ่อ เจ้ามีฐานะอะไรอย่างนั้นหรือ?”

พูดออกมาสิ เขาจะได้จำเอาไว้

ซูหงเจิ้นไม่ได้พูดอะไร แต่เป็นลูกสมุนที่อยู่ข้าง ๆ เป็นคนเอ่ยออกมา “คุณชายซูของเราเป็นญาติกับจวนจี้กั๋วกง รู้จักสตรีที่มีความสามารถเป็นอันดับหนึ่งของเมืองหลวงจี้หมิงซูหรือไม่? นางเป็นลูกพี่ลูกน้องกับคุณชายซูของเรา”

เผยจี้ฉือแววตาพลันดำมืด อ้อ จวนจี้กั๋วกง

ศัตรูเจอหน้ากันตามักจะเปลี่ยนเป็นสีแดงจริง ๆ ทอดทิ้งท่านแม่แล้วยกย่องบุตรอนุคนหนึ่งขึ้นมา คนในของครอบครัวอนุนับเป็นญาติที่มีเกียรติตั้งแต่เมื่อใดกัน

เผยจี้ฉือหรี่ตาลง เดิมเขาไม่คิดจะสนใจพวกกากเดนเช่นนี้ แต่สุดท้ายคนพวกนี้กลับวิ่งเข้ามาหาเรื่องเอง

“เป็นอย่างไร เริ่มกลัวแล้วใช่หรือไม่?”

โหลวเฉิงเย่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เผยจี้ฉือกลับกดไหล่ของเขาเอาไว้ “ได้สิ ต่อไปคุณชายซูมีอะไรต้องการให้ข้าช่วย เชิญบอกมาได้เลย”

ข้าจะพยายามช่วยเจ้าทำให้ดีที่สุดอย่างแน่นอน

ซูหงเจิ้นความจริงแล้วก็ไม่ได้มีเรื่องอะไร เพราะเขาได้หาบัณฑิตจากข้างนอกเพื่อช่วยเขาเขียนบทความเอาไว้แล้วหลายคน แต่ในเมื่อเผยจี้ฉือเป็นฝ่ายเอ่ยปากเองเช่นนี้ เขาจึงเอ่ยขึ้นมา “ได้ยินมาว่าเจ้ามีความรู้อยู่บ้าง อาจารย์ใหญ่หลินถึงขนาดพาเจ้าเข้ามาด้วยตัวเอง เช่นนั้นที่วันนี้อาจารย์เอี๋ยนสั่งให้เขียน เจ้าก็ช่วยเขียนให้ข้าหน่อยก็แล้วกัน”

ริมฝีปากของเผยจี้ฉือยกยิ้มออกมา ท่าทางเป็นมิตรอย่างมาก “ได้สิ คุณชายซูได้โปรดวางใจ”

ซูหงเจิ้นพอใจมากที่เผยจี้ฉือมีน้ำใจ จึงตบบ่าของเขาและเอ่ยขึ้นมา “ทำให้ดีล่ะ เจ้าจะได้รางวัลอย่างแน่นอน”

โหลวเฉิงเย่เห็นซูหงเจิ้นจากไปแล้ว ก็ขมวดคิ้วและเอ่ยขึ้นมา “เจ้ากลัวเขาจริงหรือ?”

เผยจี้ฉือเอ่ยอย่างมีเลศนัยจนยากจะคาดเดา “คอยดูก็แล้วกัน”