ตอนที่ 145 สามจวนรวมเป็นหนึ่ง (ตอนที่หนึ่ง)

เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา

สามปีต่อมา

ทางตะวันตกเฉียงใต้ของแผ่นดินต้าหุ้ย ปรากฏเมืองเล็กๆ ที่ความรุ่งเรืองไม่เป็นรองเมืองหลวงเฟิงเฉิง ก็คือเมืองฝานลั่ว คนภายนอกที่เพิ่งเข้าเมืองฝานลั่วต่างพบปรากฏการณ์ประหลาดหนึ่ง ภายใต้เมืองใหญ่ฝานลั่วไม่มีเมืองเล็กในปกครอง มีแต่เขตจวนพักตากอากาศส่วนตัวสามแห่งที่งดงามอย่างที่สุด รวมกันเป็น จวนขนาดใหญ่พร้อมสวนอุทยาน

ว่ากันว่าเจ้าของจวนแห่งนี้เป็นสามนายท่านที่มีชื่อเสียงและทรงอิทธิพลอย่างมาก เพียงแต่คนที่ออกหน้าจัดการเรื่องราวทุกอย่างก็คือพ่อบ้านสามจวนพักตากอากาศ สามปีกว่ามานี้ นอกจากชาวบ้านเดิมในเมืองแล้ว ก็ไม่มีคนนอกรู้ว่าเจ้าของจวนทั้งสามนี้แท้จริงแล้วหน้าตาเป็นอย่างไร มีเบื้องหลังครอบครัวอย่างไร ทำไมจึงรวมสามจวนเป็นหนึ่งเดียว

สำหรับเมืองฝานลั่วที่เดิมเป็นเมืองใหญ่ที่ด้อยสุดในสามสิบเอ็ดเมืองใหญ่แผ่นดินต้าหุ้ย หลังสามปีที่ได้ปรับปรุงก่อสร้างใหม่ก็เปลี่ยนโฉมหน้า ถึงกับกลายเป็นเมืองรุ่งเรืองอันดับต้นๆ บนแผ่นดินต้าหุ้ย

สาเหตุใด?

เดินบนถนนสายหลักที่รุ่งเรืองที่สุด หาชาวเมืองมาถามสักคน ก็ย่อมได้คำตอบเหมือนกันว่า ใต้เท้าเจ้าเมืองตอนนี้อย่างไร!

เพียงแต่คำบรรยายถึงใต้เท้าเจ้าเมือง กลับมีคำตอบไม่เหมือนกันอย่างมากว่า

บางคนว่ารูปงามดูไร้พันธนาการ

บางคนว่าเจ้าชู้ช่างหยอก

บางคนว่าทรงเสน่ห์ไม่ธรรมดา

บางคนว่าสูงศักดิ์สง่าสูงส่ง

……

สรุปที่เหมือนกันเพียงหนึ่งเดียวก็คือใต้เท้าเจ้าเมืองเป็นชาย ได้รับความชื่นชมจากอิสตรีมากมาย เป็นชายที่น่าหลงใหล ชายชราเมืองฝานลั่วอายุถึงแปดสิบจนถึงเด็กน้อย ไม่มีคนใดไม่หลงใหลท่าทางงามสง่าของเจ้าเมือง

กอปรกับเขาได้ปรับปรุงและพัฒนาเมืองฝานลั่วให้ยิ่งเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ชายที่มีภรรยาที่เอาแต่ชื่นชมเจ้าเมือง ก็ไม่มีผู้ใดไม่ยกนิ้วหัวแม่โป้งชื่นชม ย่อมไม่ใช่เพราะภรรยาเขาชื่นชมเจ้าเมืองแล้วจะทำให้เขาอิจฉาเจ้าเมืองเด็ดขาด

เพราะว่าสามปีมานี้มีสิ่งที่ทุกคนเห็นเป็นประจักษ์ ชาวเมืองฝานลั่วทุกคนต่างเคารพเลื่อมใสในเจ้าเมืองพวกเขาจากใจ ความเคารพเลื่อมใสเหนือกว่าความรู้สึกส่วนตัว ทำให้ทุกคนในเมืองฝานลั่วยิ่งรวมใจกันเป็นหนึ่ง

คำกล่าวที่ว่าการหมุนเวียนสิ่งดี ก็คงหมายถึงว่าหมุนเวียนจาก

เจริญรุ่งเรือง เลื่อมใสศรัทธา สามัคคีกลมเกลียว ยิ่งเจริญรุ่งเรือง ยิ่งเลื่อมใสศรัทธา ยิ่งสามัคคีกลมเกลียว…

……

โรงหมอชิงหยางตอนนี้เป็นประเด็นสนทนากันมากที่สุดต่อจากเรื่องเจ้าเมืองเมืองฝานลั่ว

เวลาสามปี โรงหมอชิงหยางจากหน้าร้านสามห้องเล็กๆ ได้ร่วมมือกับโรงหมออีกแห่งในเมืองฝานลั่วสร้างขึ้นเป็นโรงหมอรวมที่ใหญ่ที่สุดในเมือง เป็นเรือนสี่ประสานสามชั้น

คำว่า โรงหมอรวม ชาวบ้านแม้ไม่เข้าใจ แต่ทว่าพอเห็นวิชาหมอของหมอที่มาประจำโรงหมอแต่ละคน และอุปกรณ์ในการตรวจารักษาแล้ว ทุกคนก็พอเข้าใจกัน

กล่าวว่าหมอประจำโรงหมอชิงหยางสี่ท่านชำนาญในการรักษาไม่เหมือนกัน แต่ละคนก็รับคนไข้ไม่เหมือนกัน

โรงหมอชิงหยางชั้นแรก ก็คือห้องตรวจของหมอทั้งสี่ตามความถนัด แบ่งเป็นอายุรกรรม ศัลยกรรม สูตินรีเวช และกุมารเวช เรียงลำดับจากตะวันออกไปตะวันตก กลางห้องตรวจทั้งสี่ห้องก็จะมีห้องรอตรวจที่มีม้านั่งไม้ตัวยาวเป็นแถว

เรื่อนชั้นสองถัดเข้าไปก็จะเป็นห้องสำหรับรับประทานอาหารพักผ่อนของคนในโรงหมอและที่เก็บสมุนไพร เรือนชั้นสามสุดท้ายเข้าไปอีกก็จะเป็นที่พักส่วนตัวของเจ้าของโรงหมอพักอาศัย

อากาศของเมืองเล็กทางใต้ในเดือนห้าก็เริ่มรู้สึกร้อนแล้ว

ตอนเที่ยงเป็นเวลาที่โรงหมอชิงหยางยุ่งที่สุด

หน้าประตูห้องรอตรวจ หน้าโต๊ะมีลิ้นชักตัวยาว มีสตรีหน้าตากระจ่างอายุราวสิบสี่นั่งอยู่ หลังซักถามอาการผู้ป่วยอย่างละเอียดแล้ว ก็บันทึกเรื่องจำเป็นที่ต้องซักถามลงในหน้าแรกของสมุดผู้ป่วยอย่างคล่องแคล่ว และเรียงลำดับเข้าตรวจในวันนั้นๆ

ยิ้มรับเงินสี่สิบเหรียญทองแดง และส่งสมุดคืนให้ผู้ป่วย พร้อมกับนำไปนั่งรอที่ม้านั่งไม้ในบริเวณหน้าห้องตรวจ

“คนต่อไป!” เสียงดรุณีน้อยหวานกระจ่างใสดังออกมาจากห้องตรวจ

“เอ๋?” พอเห็นคนที่มา นางก็ตาค้าง งึมงำกล่าวอย่างไม่เข้าใจว่า “ไม่ใช่เพิ่งมาตอนเช้าหรือ”

“ชิงชิง! แม้แต่เจ้าก็ไม่ต้อนรับข้า?!”

“เอ่อ…ไม่ใช่ ไม่ใช่…เจ้าเมือง…พี่เหลียงเชิญ…” พอได้ยินหางเสียงอัดอั้นน้อยใจของอีกฝ่าย สตรีที่ชื่อชิงชิงก็รีบโบกมือพัลวัน พาเข้าเข้าไปรอในห้องรอตรวจ ส่งสายตามองตามเขาเดินส่ายอาดๆ เข้าห้องแผนกสูตินรีเวชไป

อืม พี่หยางน่าจะไม่ตำหนิข้ากระมัง แต่ให้เขารออยู่ด้านนอกยิ่งนาน ก็ยิ่งอาจทำให้คนมาออกันยิ่งมาก

เกิดว่า…ชาวบ้าน ‘แสนซื่อ’ ที่ชอบรู้เรื่องชาวบ้านรู้เข้า…คนที่ได้รับความเลื่อมใสอย่างมากอย่าง ‘เขา’ ตอนนี้มาอยู่ที่โรงหมอพวกนาง ผู้ใดจะรู้ว่าห้องตรวจที่เบียดเสียดอยู่ตอนนี้จะถูกฝูงชนที่มาเบียดกันพังครืนหรือไม่

ชิงชิงหรี่ตามองไปทางป้าๆ น้าๆ ที่เข้าแถวรอจัดยาอยู่เดิมที่หน้าห้องตรวจ ตอนนี้เริ่มสุมหัวกระซิบกันแล้ว คิดว่าเริ่มสงสัยกันแล้ว เฮ้อ…

ก๊อกๆ ส่งคุณแม่คนใหม่ที่แค่ตั้งครรภ์สองเดือนก็เริ่มเจ็บท้องออกไป หยางจิ้งจือยังบันทึกอาการป่วยไม่ทันเสร็จ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดัง

“เข้ามาได้…” น้ำเสียงกระจ่างใสนางไม่สูงไม่ต่ำดังขึ้น ในมือยังคงไม่หยุดเคลื่อนไหว รู้สึกได้ว่ามีคนมานั่งลงตรงข้ามนาง ก็ถามอย่างไม่ทันได้เงยหน้า “ไม่สบายตรงไหนหรือ”

แต่กลับไม่ได้ยินเสียงบรรยายอาการเหมือนเคย หยางจิ้งจือเงยหน้าขึ้นอย่างงงงวย “เจ้า…”

จากนั้นก็สูดหายใจอย่างแทบไม่อยากจะเชื่อ แก้มนางพลันแดงระเรื่อ ก่อนจะเริ่มเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดดำคล้ำ “เจ้า! เจ้ามาทำอะไรที่นี่!”

“นัดเจ้าไปลั่วสุ่ยอย่างไร เช้านี้เจ้ารับปากแล้วแท้ๆ” เหลียงเอินไจ่สองมือเท้าโต๊ะ ยื่นตัวเข้าไปใกล้ คุมแม่นางน้อยไม่ให้หนีไปไหนได้

“อย่าพูดถึงเช้านี้!” หยางจิ้งจือคำรามเบาๆ ขึ้นทันที พอพูดถึงเช้านี้ นางก็คุมความร้อนบนใบหน้าไม่อยู่ ควรตายแท้ เห็นๆ ว่าควรจะรีบออกห่างจากชายหนุ่มราวเจ้ากรรมนายเวรนี้ให้ไกลแล้วไกลอีก แต่กลับทนการรุกเร้าของเขาไม่ได้สักที นางเองก็จมดิ่งลงไปอยู่ทุกครั้งไป

ลองนับเวลาดู นางกับเขาสองปีก่อน คืนวันเกิดนางก็ได้มีค่ำคืนสามีภรรยากันมาถึงตอนนี้ และไม่เคยหยุดการติดต่อส่วนตัวนี้สักครั้ง

ตอนยังมีสติดีก็จะเตือนตัวเองตลอดเวลา เขาไม่ใช่คนที่นางควรแตะต้อง อีกห้าปี เขาก็จะไปจากที่นี่ กลับเมืองหลวงไปเป็นท่านอ๋องของเขา

แต่พอตกดึก ถูกเขากอดเอาไว้อ้อมอก นางก็จะถลำลึกลงไปแล้วลึกลงไปอีก จากนั้นเขาก็มักจะทำให้นางหลงใหลจนไม่อาจปีนขึ้นมาได้ แล้วก็กำหนดวันพบกันครั้งหน้า ไม่ก็เสนอสิ่งที่หากเป็นยามที่นางยังมีสติจะไม่มีทางรับปาก เช่นว่าเป็นเพื่อนเขาไปจวนพักตากอากาศลั่วสุ่ยนี่อย่างไร

สามปีก่อนเหลียงเอินไจ่ก็ซื้อเมืองลั่วสุ่ย ทำตามเมืองฝานฮัวและเมืองชิงเถียน เมืองเล็กสุดท้ายในพื้นที่เมืองใหญ่ฝานลั่ว ถูกเขาซื้อไปในนามส่วนตัว เปลี่ยนเป็นจวนส่วนตัวแบบสวนดอกไม้ของเขาเอง

เขาไม่ได้บอกนางแค่ครั้งเดียว ว่าที่นั่นคือบ้านของเขากับนางในวันหน้า แต่นางซาบซึ้งก็ส่วนซาบซึ้ง กลับไม่กล้าเชื่อสนิทใจ เขาแบกภาระไว้หนักหนา หนักมากเกินไป ไม่อาจจะเป็นบุคคลที่มาเก็บตัวในเมืองเล็กๆ ห่างไกลได้เช่นนี้ ไม่อาจมาอยู่เป็นเพื่อนนางไปวันๆ ได้เช่นนี้

เขาควรอยู่ในกระโจมหารือการทหาร ควรได้หารือเรื่องแผ่นดินกับบรรดาขุนนางบุ๋นบู๊ในราชสำนัก เขาควรกุมกำลังทหาร เจรจากับข้าศึกที่มารุกรานชายแดนแผ่นดินต้าหุ้ยหรือไม่ก็นำทัพ…ชีวิตเช่นนี้จึงจะควรเป็นอนาคตของเหลียงเอินไจ่…เหมาะสมกับความสามารถเช่นนั้นของเขา ไม่เหมือนกับนางที่เป็นสตรีตัวเล็กๆ…นางกับเขา เดิมก็ไม่ควรเริ่มต้น…แต่ทำไม…

“เฮ้อ!” เหลียงเอินไจ่ถอนหายใจ รู้ว่าสตรีตัวน้อยตรงหน้าเริ่มคิดเหลวไหลอีกแล้ว

หรือว่าสามปีมานี้ที่เขาพยายามไปทั้งหมด มันยังไม่พอให้นางเข้าใจกระจ่าง ไม่พอทำให้นางเชื่อว่า แท้จริงแล้วเขาละทิ้งได้ทุกสิ่ง เขาต้องการเพียงนาง…

“ไป!” เขาไม่พูดมาก หากลากนางออกจากห้องตรวจทันที

“เดี๋ยวๆ…เอินไจ่ ข้ายังมีคนไข้…” นางไม่อาจต้านทานกำลังแขนของเขาได้ ได้แต่ถูกเขากึ่งกอดกึ่งลากออกจากห้องตรวจไป

“คนไข้มีทุกวัน” ความหมายก็คือไม่มีทางรักษาหมด

“แต่ว่า…” ก็คงไม่อาจหนีไปกลางทาง ทำให้คนไข้คอยเก้อกระมัง

“ไม่มีแต่ว่า เมื่อก่อนข้าฟังคำเจ้ามากไปแล้ว เจ้าบอกห้ามเปิดเผย ตกลง ข้ารอ เจ้าบอกโรงหมอสำคัญ ตกลง ข้ารอ รอเจ้าวันไหนอยากเปิดเผย รอเจ้าวันไหนมาหาข้าเอง…ซีซี เจ้าตอบข้ามาตรงๆ ว่าวันไหนกันแน่” เขายืนนิ่ง ไม่รีบร้อนออกจากห้อง แต่จับใบหน้านางหันมาจ้องเขา ให้นางตอบคำถามเขา

“ข้า…” นางหน้าซีดเผือด กัดริมฝีปากแน่น นางควรตอบอย่างไร ว่าแน่นอนนางอยากให้เปิดเผย บอกกับสตรีที่แอบลอบมองเขาพวกนั้นอย่างเปิดเผยให้รู้ทั่วกันว่า เขาเป็นของนาง แต่…นางทำได้หรือ

เหลียงเอินไจ่จ้องมองกิริยาท่าทางนางไม่กะพริบ มองดูความเจ็บปวดและลังเลของนางอยู่ทุกนาที

“เจ้าควรรู้ แต่ไรข้าไม่เคยกลัวอะไร แต่กับเจ้า ข้ากลับเหมือนเจ้าหนุ่มโง่เง่า ไม่รู้ควรทำเช่นไรจึงจะทำให้เจ้าเปิดใจ ทำให้เจ้าพึ่งพาข้า เชื่อใจข้า…” เขาน้ำเสียงทุ้มเฉกเช่นชายชาตรีแต่กำลังถูกมารร้ายครอบงำ ทำเอานางไม่อาจกล่าววาจาที่อาจทำร้ายจิตใจออกมา

สองคนยืนเงียบเผชิญหน้ากัน เขาเอียงหน้ามองนางลึกซึ้ง นางก้มหน้าไม่กล้าสบตา หากบอกว่านางไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งกับวาจาที่เขาคำรามออกมาเมื่อครู่แม้แต่น้อย ก็ย่อมหลอกตัวเอง แต่นางยังคงไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้าเช่นไร เหลียงเอินไจ่เช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกไม่คุ้นเคย ทำให้นางแอบตกใจ

ภพก่อนนางไม่เคยลิ้มรสความรัก จดจ่ออยู่เพียงแค่การเรียนและการงาน การเดินเส้นทางสายการแพทย์นั้นแสนลำบาก หากจะเรียนให้ประสบผลสำเร็จ ก็ต้องทุ่มเทเวลาและทุ่มเทกำลังมาก คนนอกไม่อาจนึกภาพออกได้

ดังนั้นตอนนี้แม้นางมีชีวิตมากกว่าคนอื่นภพหนึ่ง แต่รวมกันแล้วก็แค่ความสำเร็จทางการเป็นหมอ ในเรื่องความรักนี้ สำหรับนางก็ยังคงเป็นเหมือนศาสตร์ที่ไม่คุ้นเคย

……

การเปลี่ยนแปลงมาจนถึงตอนนี้ทำให้หยางจิ้งจือยังคงไม่อาจตั้งสติได้ทัน จำได้แค่นางกับเหลียงเอินไจ่อยู่ในห้องตรวจแผนกสูตินรีเวช ถูกกลุ่มคนไข้ทำประตูพังหลุดเข้ามาแล้ว นางได้แต่หัวเราะแหะๆ ก่อนจะถูกเขารั้งตัวอุ้มขึ้นรถม้านอกโรงหมอ เดินทางตรงมายังจวนพักตากอากาศลั่วสุ่ย

“เจ้ามีกลุ่มผู้สนับสนุนกลุ่มใหญ่มาก” เหลียงเอินไจ่มองนางเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม “หากรู้ว่าบอกความในใจที่โรงหมอแล้วได้ผลดีอย่างนี้ ข้าก็ใช้วิธีนี้นานแล้ว…”

หยางจิ้งจือเหล่มองเขาอย่างไร้วาจาจะกล่าว ทำไมเขาจึงได้นิ่งเฉยอยู่ได้

เขาไม่ใช่เจ้าเมือง? เขาไม่ใช่ควรรักษาภาพต่อหน้าชาวเมือง? ทำไมจึงได้เอาแต่ใจเช่นนี้

เหมือน…ตำแหน่งเจ้าเมืองสำหรับเขา ไม่ใช่สิ่งที่เขาขอมาทำ ก็แค่ฝืนทำไปอย่างนั้น ก็แค่สิ่งที่ได้มาง่ายๆ และไม่อาจไม่ทำ

ใช่แล้ว เดิมเขาควรเป็นท่านอ๋องกุมอำนาจทางการทหารนี่นา ทำไมจะเห็นตำแหน่งเจ้าเมืองฝานลั่วเล็กๆ นี่ในสายตากัน แต่หากบอกว่าเขาอย่างไรก็ได้ สามปีที่ทุ่มเทลงไป เทียบกับเจ้าเมืองข้างๆ เขาสร้างความเปลี่ยนแปลงมากมายให้กับเมืองฝานลั่ว เรียกได้ว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงที่พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน

แท้จริงเขาคือคนไหนกันแน่ เขาที่สูงสง่าช่างหยอกเย้าตอนพบกันครั้งแรกในวังหลวงเมื่อหลายปีก่อน หรือว่าเขาที่นำเมืองฝานลั่วเข้าสู่เส้นทางแห่งความรุ่งเรือง หรือว่าเขาที่ยามอยู่กับนางสองคน อ่อนโยน ซุกซน แข็งแกร่ง ไม่ยอมให้นางหลบซ่อนปฏิเสธเขา…