ตอนที่ 86 กลัวจนหมดสติ

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 86 กลัวจนหมดสติ ?

สิ่งน่ากลัวที่สุดสำหรับสตรีคนหนึ่งคือการที่ชื่อเสียงโดนทำลายจนย่อยยับ สิ่งนั้นไม่ต่างอันใดจากการสังหารคนโดยไม่ใช้มีด ยิ่งไปกว่านั้นทุกคนยังเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน การพูดเช่นนี้ไม่ใช่ถ้อยคำที่เพื่อนบ้านควรจะกล่าว แต่มันคือคำพูดของศัตรูคู่แค้นต่างหาก !

“พวกข้าไม่ได้เป็นคนพูดเสียหน่อย…หากจะไปต่อว่าก็ต้องไปว่ามารดาของเจ้าอ้วนซานโน้น ! ” หลังจากนั้นไม่นาน พวกชาวนาเหล่านี้ก็แยกย้ายกันไปทำงานของตน

ตลอดหลายวันมานี้บุตรสาวคนรองของตระกูลหลินพาลูกเด็กเล็กแดงและสตรีในหมู่บ้านจำนวนมากขึ้นไปเก็บผักป่า ดังนั้นผักที่พวกเขาตากไว้ตรงลานบ้านจึงมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้ความทุกข์ใจจากการไม่มีเสบียงในช่วงภัยพิบัติได้บรรเทาลง ทำให้หลายครอบครัวซาบซึ้งใจต่อหลินเว่ยเว่ยเป็นอย่างมาก ดังนั้นถ้อยคำเหล่านี้จึงหยุดลงในไม่ช้า !

“ท่านหมอเหลียง หมอเหลียง ! ท่านช่วยดูอาการให้เขาหน่อย ! ” หลินเว่ยเว่ยวิ่งเข้ามาในบ้านของหมอเหลียงราวกับพัดเอาลมแรงมาด้วย

ครอบครัวของหมอเหลียงที่กำลังเตรียมกินอาหารเย็นจึงตกใจนึกว่ามีกลุ่มโจรวิ่งมาจากภูเขา หลานชายคนเล็กของหมอเหลียงตกใจจนตะเกียบและถ้วยในมือตกแตกกระจายอยู่บนพื้น

หมอเหลียงฟังออกว่าคือเสียงของหลินเว่ยเว่ยจึงพาลนึกว่าอาการของนางหวงทรุดหนัก เขารีบลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป

จากนั้นเขาก็เห็นว่าในอ้อมแขนของนางกำลังอุ้มบุรุษหนุ่มหน้าตาดี…ที่สลบไสลไม่ได้สติ ท่าทางของนางดูร้อนรนราวกับมดที่เดินในกระทะร้อน ปากของนางก็ตะโกนไม่หยุดว่า “หมอเหลียง เร็ว เร็วเข้า ! ช่วยเขาด้วย ! งูพิษ…บัณฑิตน้อยถูกงูพิษกัด งูตัวนั้น…ก็คืองูที่อยู่ในมือของข้า…ท่านช่วยตรวจดูอาการเขาให้ทีว่าพอจะมีโอกาสรอดหรือไม่ ? ”

หมอเหลียงเวียนศีรษะกับท่าทางร้อนรนของนาง เขาจึงรีบกล่าวว่า “เจ้าเลิกหมุนตัวไปมาได้แล้ว อุ้มเขาไปในห้องทิศตะวันตก ประเดี๋ยวข้าจะรักษาให้เขาเอง…”

“อ้อ…ได้ ได้เลย ! ” หลินเว่ยเว่ยรีบเดินไปทางทิศตะวันออก แต่เมื่อรู้ตัวว่าเดินไปผิดทางก็รีบหันกลับมาแล้วพุ่งตัวไปยังห้องทิศตะวันตกอย่างรวดเร็ว นางบรรจงวางตัวเขาลงกับเตียงในห้องอย่างเบามือ เหมือนว่าเขาคือสมบัติล้ำค่าแสนเปราะบาง

“เจ้างูตัวนี้กัดเขา มันคืองูเขียวไผ่ ! มันกัดที่บ่าของเขา บริเวณบ่าอยู่ใกล้กับศีรษะมาก เช่นนั้นพิษของมันจะไม่แล่นเข้าสู่สมองอย่างรวดเร็วหรือ เขานอนไม่ได้สติเช่นนี้มานานแล้ว ข้าปลุกเท่าไรก็ไม่ตื่น” หลินเว่ยเว่ยเดินกระสับกระส่ายไปมาในขณะที่หมอเหลียงกำลังจับชีพจรให้เจียงโม่หาน

“พอได้แล้ว ! เจ้าเลิกเดินหมุนไปมาให้ข้าตาลายได้แล้ว ! บัณฑิตเจียงไม่ได้เป็นอันใด ! ” หมอเหลียงประเมินอาการจากการจับชีพจรของเจียงโม่หาน คราแรกเขาก็นึกว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ ที่แท้ก็แค่โดนงูเขียวไผ่กัดเท่านั้น

“จะไม่เป็นอันใดได้เช่นไร ? เขาโดนงูพิษกัด ! หากเขาไม่เป็นอันใดแล้วเหตุใดยังไม่ได้สติจนป่านนี้เล่า ? ” หลินเว่ยเว่ยยังไม่เชื่อ “ต้องใช้ยาตัวใดบ้าง ไม่ว่าต้องใช้เงินมากเพียงใด ข้าก็จะพยายามหามาให้ได้ ขอแค่สามารถช่วยชีวิตเขาให้รอดปลอดภัย ในอนาคตบัณฑิตน้อยยังต้องสอบจอหงวนนะท่านหมอ หากสมองของเขาเป็นอันใดไป แล้วข้าจะทำอย่างไร ? ”

หมอเหลียงทั้งโมโหทั้งรู้สึกตลกต่อท่าทีของนาง เขาจึงกล่าวว่า “ข้าเป็นหมอหรือเจ้าเป็นกันแน่ ? ข้าบอกว่าไม่เป็นอันใด ก็ไม่เป็นอันใดสิ ! พิษของงูเขียวไผ่ไม่ร้ายแรง แค่มือของเจ้าที่บีบงูไว้ก็ทำให้พิษมันน้อยลงแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังดูดพิษออกไปกว่าครึ่ง ต่อให้ไม่กินยา เขาก็ไม่เป็นอันใดหรอก”

“แล้วเหตุใดเขายังไม่ได้สติเล่า ? ” หลินเว่ยเว่ยได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางมองไปที่เจียงโม่หานด้วยความกังวล

“จากชีพจรของเขาคล้ายว่าตกใจหรือหวาดกลัวบางอย่างก่อนหมดสติไป…” หมอเหลียงมองไปยังงูที่อยู่ในมือของหลินเว่ยเว่ยแล้วมองเจียงโม่หานที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง ในใจของเขาก็คาดเดาบางอย่างได้จนถึงขั้นหลุดขำออกมา

หลินเว่ยเว่ยพยายามกลั้นขำอยู่นาน สุดท้ายนางก็ระเบิดเสียงหัวเราะ “ที่ท่านต้องการบอกก็คือบัณฑิตน้อยกลัวงูจนหมดสติใช่หรือไม่ ? ไอหยา น่าตลกเหลือเกิน ! คนหนุ่มขาดความมีชีวิตชีวา วันทั้งวันเอาแต่ทำหน้าขรึม ที่แท้บัณฑิตน้อยก็กลัวงู ! ช่างน่ารักเสียจริง ฮ่าฮ่าฮ่า ! ”

เจียงโม่หานที่เพิ่งได้สติจากการสลบก็ได้ยินเสียงหัวเราะของหลินเว่ยเว่ย ในใจยังไม่ทันหายขุ่นเคืองก็ดันมาได้ยินคำพูดนี้ของนางอีก เขาโมโหจนเกือบจะเด้งตัวขึ้นมา ! ข้ากลัวงูแล้วอย่างไร ? คนสมัยนี้กลัวงูกันตั้งมากตั้งมาย มีอันใดน่าขำ ? ยัง ยังหัวเราะอีก ! ไม่กลัวหัวเราะจนฟันร่วงหรือไร !

เจียงโม่หานทั้งโกรธทั้งอับอายจนแทบอยากแทรกตัวเข้าไปในรอยแยกของเตียง ไม่ได้การ หากเขา ‘ได้สติ’ ในตอนนี้จะต้องถูกเด็กอ้วนหัวเราะจนตายแน่นอน หึ…แกล้งสลบต่อไปดีกว่า !

เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายกับเขา หลินเว่ยเว่ยจึงให้หมอเหลียงจัดยาขับพิษงูให้ จากนั้นนางก็ก้มตัวไปอุ้มบัณฑิตหนุ่มกลับบ้าน

เจียงโม่หานที่โดนอุ้มราวกับองค์หญิงเริ่มเกิดความรู้สึกอยากตายขึ้นมา ! นางทั้งเคยแบกเขาขึ้นหลัง ทั้งเคยอุ้มเขา ดูเหมือนว่าเด็กอ้วนคนนี้มีใจอยากทำให้เขาแต่งนางจริง หึ ! เจ้าคิดแผนการเจ้าเล่ห์ด้วยผิดคนแล้ว ข้ามองออกตั้งนานว่าเจ้ากำลังมีแผนร้ายอยู่ !

ในตอนที่หลินเว่ยเว่ยอุ้มบัณฑิตหนุ่มมาถึงหน้าประตูบ้านตระกูลหลินก็พบว่าหน้าบ้านเต็มไปด้วยชาวบ้านมายืนออกันเต็มไปหมด มารดาของเจ้าอ้วนซานได้พูดเสียงแหลมขึ้นมาราวกับไก่ถูกบีบคอ

“พวกเจ้ายังไม่เห็น ! บุตรสาวคนรองของตระกูลหลินถอดเสื้อของบัณฑิตเจียงออก จากนั้นก็ซบไปบนไหล่ของเขาพร้อมกัด กัด…เฮอะ ข้าไม่อยากเบือนหน้าไปมองอีกรอบเลย ! พวกเจ้าก็รู้ดีว่าหมู่บ้านของเราไม่เคยมีเรื่องอื้อฉาวเช่นนี้มาก่อน อย่างไรเราต้องจับนางโยนไปในเล้าหมูให้ได้ ! ”

“เป็นไปไม่ได้ เสี่ยวเว่ยไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นเด็ดขาด ! ” นางเฝิงกำลังประคองนางหวงที่โมโหจนเป็นลมหมดสติไป นางกัดฟันแน่นขณะถลึงตาใส่มารดาของเจ้าอ้วนซาน เสี่ยวเว่ยไปทำอันใดให้เจ้าคับแค้นใจนักหนา เหตุใดเจ้าต้องทำลายชื่อเสียงของนางด้วย เจ้ามันคนใจดำอำมหิต !

มารดาของเจ้าอ้วนซานกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “ข้าเห็นมากับตา จะเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงได้เช่นไร ? เจ้าปกป้องนางถึงเพียงนี้ หรือเจ้ารู้เรื่องฉาวโฉ่ของนางกับบัณฑิตเจียงตั้งแต่แรกแล้ว ? ”

“เจ้าต่างหากที่ชอบทำแต่เรื่องฉาวโฉ่ พวกเจ้าสิเป็นกันทั้งครอบครัว ! ” ทันใดนั้นเสียงของหลินเว่ยเว่ยก็ดังขึ้นจากด้านหลังของทุกคน เวลานี้เพื่อนบ้านต่างพากันแหวกเป็นทางเดินให้นาง ในขณะที่หลินเว่ยเว่ยอุ้มบัณฑิตหนุ่มเข้าไปในบ้านของตน

มารดาของเจ้าอ้วนซานเบิกตากว้างแล้วใช้น้ำเสียงที่ตื่นเต้นเอ่ยว่า “พวกเจ้าดูสิ รีบดูเร็วเข้า นางยังอุ้มเขาไว้อยู่เลย ! ไอหยา ร่างกายของบัณฑิตเจียงช่างอ่อนแอเหลือเกิน เขาโดนย่ำยีจนมีสภาพเช่นนี้ไปเสียแล้ว ! ”

บัณฑิตหนุ่มได้ยินคนพูดว่าเขาโดนกระทำย่ำยีก็ตัวแข็งทื่อไปเล็กน้อย จากนั้นก็โมโหจนตัวสั่น หลินเว่ยเว่ยจึงรู้ว่าบัณฑิตหนุ่มได้สติแล้วก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา เวลานี้นางแทบอยากระเบิดเสียงหัวเราะเสียให้ได้ ‘บัณฑิตน้อยน่ะหรือ…จะยอมให้ข้าย่ำยี ? ’

‘ฮ่าฮ่า’ อดทนไว้ จะหัวเราะไม่ได้ ! ตรงนี้มีชาวบ้านยืนอยู่มากมาย ไม่ว่าอย่างไรนางต้องไว้หน้าบัณฑิตหนุ่มเสียหน่อยเพราะเขารักศักดิ์ศรียิ่งกว่าสิ่งใด !

หลินเว่ยเว่ยพยายามกลั้นขำแล้วเดินไปหานางเฝิง “น้าเฝิง ตอนที่บัณฑิตน้อยไปอ่านตำราอยู่ในป่า เขาพลาดท่าโดนงูพิษกัดเข้า แต่ท่านไม่ต้องกังวลเพราะข้าดูดพิษออกให้เขาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังพาเขาไปให้หมอเหลียงเพื่อตรวจดูอาการแล้วด้วย ท่านหมอบอกว่าให้เขากินยาขับพิษสักสองเทียบก็จะหายดี ! ”

คำพูดนี้ของนางเป็นการอธิบายอย่างชัดเจนว่า หนึ่ง สาเหตุที่นางถอดเสื้อของเขาแล้วซบหน้าอยู่ตรงบ่าก็เพราะนางช่วยดูดพิษให้เขา สอง สาเหตุที่นางอุ้มเขาขึ้นมาเพราะว่าพิษในร่างกายของเขายังถูกขับไม่หมด อีกทั้งเขายังหมดสติไปด้วย สาม นางมีพยานเป็นหมอเหลียง หากไม่เชื่อก็ไปถามท่านหมอได้ !

บรรดาชาวบ้านที่ได้ยินต่างก็พากันเชื่อถ้อยคำของนางเพราะพวกเขาเชื่อมั่นในความรักศักดิ์ศรีของบัณฑิตเจียง ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะสามารถบังคับขืนใจเขากลางป่าได้

จะว่าไปแล้วนางก็เพิ่งหายจากอาการป่วย ไม่กลับไปโง่เขลาอีกแล้ว นางคงรู้ว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควรจริงหรือไม่ ? มารดาของเจ้าอ้วนซานก็ปากจัดเหลือเกิน มีผู้ใดบ้างที่ไม่เคยโดนหญิงคนนี้พูดจาให้ร้าย ? ทว่าครั้งนี้พูดเกินไปแล้ว !

ตอนต่อไป