ตอนที่ 406 – คนอื่น
“สหายเต๋าเทียนฉาน!” ฉิวเฉิงรั่วร้องเสียงหลง ขึ้นหน้ามาหลายก้าว ขวางอยู่เบื้องหน้ายงหรูอวี้ จับจ้องเนี่ยอู๋ชางอย่างตึงเครียดไร้ที่เปรียบ
ขณะนี้เนี่ยอู๋ชางอยู่ในเครื่องแต่งกายของนามแฝงเทียนฉาน ชุดดำทั้งร่าง พลังสภาวะแกร่งกร้าว เดิมทีนางก็มิใช่คนถือศีลกินเจอะไร สายตาที่มองยงหรูอวี้เย็นชา น้ำเสียงเฉียบขาด ตลอดทั้งร่างรังสีฆ่าฟันรุนแรง คล้ายเลือดจะสาดกระจายในห้าก้าวได้ทุกเมื่อ
โม่เทียนเกอเห็นท่าทางอย่างนี้ของนางกลับอดยิ้มไม่ได้ นี่ทำให้นางคิดถึงสถานการณ์ตอนที่พบเนี่ยอู๋ชางคราแรก นั่นเป็นพิธีฉลองใหญ่การผูกจิตวิญญาณของเสวียนอินซือซู เวลานั้นพวกนางยังเป็นเพียงผู้ฝึกตนสร้างฐานพลัง เนี่ยอู๋ชางพูดไม่ลงรอยแค่คำเดียวแล้วลงไม้ลงมือกับผู้อืนก็เป็นพลังสภาวะแกร่งกร้าวความคิดฆ่าฟันขู่ขวัญผู้คนเยี่ยงนี้เลย เพียงแต่เวลาห่างไปหกสิบกว่าปี เนี่ยอู๋ชางในวันนี้เทียบกับแต่ก่อนแล้วมืดมนน้อยลงบ้าง พลังสภาวะมากขึ้นบ้าง
“สหายเต๋าฉิน พวกท่าน……” เห็นสายตาเนี่ยอู๋ชางเหลือบมองอย่างดูแคลนโดยไม่ยอมลงให้แม้แต่เศษเสี้ยว ฉิวเฉิงรั่วหันไปหาโม่เทียนเกอที่นางยังพูดคุยกันได้ แต่พอนางหันหน้าไป สิ่งที่เห็นคือท่าทางยิ้มบางของโม่เทียนเกอ อดใจตกไปถึงตาตุ่มไม่ได้
หรือว่าครั้งนี้เลือกพวกพ้องผิดจริง ๆ สหายเต๋าฉินคนนี้ดูแล้วท่าทางนิสัยไม่เลว ถึงกับเย็นชาไร้อารมณ์ไม่เห็นชีวิตของคนอื่นอยู่ในสายตาเหมือนกันหรือ ฉิวเฉิงรั่วในใจตึงเครียดไม่รู้แล้ว
โม่เทียนเกอกลับยิ้มตอบฉิวเฉิงรั่วประดุจไม่รู้สึกรู้สา หันไปทางเนี่ยอู๋ชาง กล่าวว่า “ข้าก็รู้ว่าความดุดันเยี่ยงนี้บนตัวท่านข้าเรียนรู้ไม่ได้ตลอดกาล”
เนี่ยอู๋ชางร้องหึคำหนึ่ง เหลือกตาไม่พูดจา นางไม่เหมือนโม่เทียนเกอที่ควบคุมตนเองให้ฆ่าคนน้อยหน่อยเท่าที่ทำได้ แต่เล็กจนเติบใหญ่ ภายใต้การอบรมของซงเฟิงซ่างเหริน นางฆ่าคนไปไม่รู้ว่ากี่คนแล้ว ไม่เห็นการฆ่าคนอยู่ในสายตาเลย ยงหรูอวี้ฉิวเฉิงรั่วสำหรับนางแล้วเป็นแค่คนแปลกหน้าสองคน ฆ่าไปก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
“แต่ว่า ตอนนี้มิใช่เวลาจะฆ่าพวกเขา” โม่เทียนเกอใคร่ครวญชั่วครู่ เบนสายตาไปมองยงหรูอวี้ เผยแววยิ้ม “สหายเต๋ายง ถึงข้าจะไม่ชอบฆ่าคน แต่ว่า เรื่องนี้ข้ายืนอยู่ข้างสหายเต๋าเทียนฉาน หากท่านมีความคิดอย่างนี้ ถึงพวกเราไม่ฆ่าท่าน ในชั่วพริบตาที่ท่านยอมแพ้ก็สูญเสียชีวิตของตนเองไปแล้ว — นอกจากนี้ ยังต้องบวกชีวิตของซือเม่ยท่านไปด้วย”
พูดถึงตรงนี้ สายตาของยงหรูอวี้สั่นไหว มองไปทางฉิวเฉิงรั่วด้วยสีหน้าซีดขาว สถานการณ์เมื่อครู่นั้น เขาได้เห็นแล้ว เนี่ยอู๋ชางโหดเหี้ยมไร้ที่เปรียบ แต่ฉิวเฉิงรั่วกลับไม่ได้ลังเลที่จะมายืนอยู่เบื้องหน้าเขา พวกเขาเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องมาหลายร้อยปี แล้วก็ผูกสัมพันธ์เป็นคู่เต๋าอยู่ร่วมกันทุกเช้าค่ำมาหลายปี นิสัยของฉิวเฉิงรั่วเขาทราบชัดจนชัดไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ถึงนางจะมีระดับการฝึกตนไม่ต่ำ ความแข็งแกร่งไม่อ่อนด้อย แต่หลายปีมานี้ นางพึ่งพิงเขาเกินไป หากตนเองล้มลง คาดว่านางมีชีวิตต่อไปไม่ได้เด็ดขาด
“ซือเกอ……” ฉิวเฉิงรั่วมองเขา สายตาวิงวอน “ท่าน…… ข้า……” นางคิดจะพูดอะไร แต่กลับพูดอะไรไม่ออกในท้ายที่สุด
ยงหรูอวี้ถอนหายใจคำหนึ่ง “ซือเม่ย ทำให้เจ้าผิดหวังแล้ว ข้า……”
ฉิวเฉิงรั่วมีความสับสนในแววตา ไม่เข้าใจความหมายของเขาอยู่บ้าง สรุปว่าเขาเสียใจกับการกระทำเมื่อครู่นี้หรือว่าขออภัยในความไร้สามารถของตนเอง
ถัดจากนั้น สายตาของนางมั่นคงขึ้นมา สั่นมือของยงหรูอวี้ เอ่ยว่า “ไม่ว่าท่านจะทำอย่างไร ข้า…… ข้าเพียงจะยืนอยู่ข้างกายท่าน ท่านวางใจเถอะ”
ยงหรูอวี้ฟังจนตะลึงลาน ในดวงตาที่มองนางมีหลายสิ่งหลายอย่างวูบผ่าน สุดท้ายถอนหายใจเอ่ยว่า “ซือเม่ย เวลานี้ เจ้ายังมีน้ำใจลึกซึ้งมั่นคงต่อข้า ปีนั้น……ปีนั้นเป็นข้าที่ผิดต่อเจ้า…… “
“ยังจะพูดเรื่องพวกนี้ทำอะไร” ฉิวเฉิงรั่วฟังแล้วสายตาอ่อนโยนลง “หลายปีมานี้ท่านปล่อยให้ข้าควบคุมท่าน ขวางสตรีที่เข้าใกล้ท่านทั้งหมดโดยไม่ต่อว่าสักครึ่งคำ ข้ายังจะไม่เข้าใจจิตใจของท่านหรือ เพียงแต่……เพียงแต่ตลอดมานี้ใจข้ามีความไม่ยินยอม……”
“เอาล่ะ พวกท่านทั้งสอง!” เนี่ยอู๋ชางขัดการพร่ำพรอดของพวกเขาอย่างเย็นชา “เวลาอะไรกันแล้ว ยังมีเวลาว่างมาพูดเรื่องนี้หรือ ตัดสินใจเร็ว ๆ อยากรอดก็ปลุดสติขึ้นมาแล้วคิดหนทางให้ข้าดี ๆ อยากตาย ข้าจะสงเคราะห์พวกท่านตอนนี้เลย!”
“……”
ยงหรูอวี้ตอนแรกสีหน้าซีดเซียว ทว่าหลังมองฉิวเฉิงรั่วแล้วมองโม่เทียนเกอกับเนี่ยอู๋ชางอีกรอบ บนใบหน้าค่อย ๆ เผยแววเด็ดเดี่ยว สุดท้ายขบฟัน กุมมือเอ่ยว่า “สหายเต๋าทั้งสอง เมื่อครู่เสียกริยาไปแล้ว ขอบคุณทั้งสองท่านมากที่เตือนสติ” “
เห็นเขาตอบสนองอย่างนี้ สีหน้าของเนี่ยอู๋ชางก็ผ่อนคลายลงช้า ๆ เก็บสายตากลับ เอ่ยเสียงเฉยเมยว่า “ในเมื่อพวกท่านอยากรอด เช่นนั้นก็ง่ายแล้ว”
“อ้อ?” ฟังจากความหมายนี้ของนาง คล้ายจะมีความคิดแต่แรก โม่เทียนเกอจึงถามว่า “ท่านคิดอะไรได้”
เนี่ยอู๋ชางมองนางแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “ข้ารู้สึกว่า ตอนนี้มีหนทางสองอย่าง หนึ่งคือเสาะหาคนอื่น ดูว่าพวกเขาเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่แน่ว่าจะมีเงื่อนงำอื่น สองคือนิ่งดูความเปลี่ยนแปลง ในเมื่อเจ้าเมืองเหมยคนนี้วางแผนใส่พวกเรา แต่ตอนนี้พวกเราไม่ได้พกหุ่นไม้นั้นไว้ข้างกายตามแผนของเขา เช่นนั้นเขาจะต้องมีแผนตามหลัง”
“อืม……” โม่เทียนเกอครุ่นคิดพลางพยักหน้า “ท่านพูดมีเหตุผล” หันไปทางอีกสองคนที่เหลือ “สหายเต๋ายง สหายเต๋าฉิว พวกท่านมีมุมมองอะไรไหม”
บนใบหน้ายงหรูอวี้เพิ่งจะฟื้นฟูสีเลือดขึ้นมาหน่อย ขณะนี้ยิ้มขมเอ่ยว่า “สหายเต๋าทั้งสอง เรื่องนี้พวกท่านตัดสินใจเถอะ หากมีอะไรที่ต้องทราบค่อยมาถามข้า” เมื่อครู่เขาประสบกับอารมณ์แปรปรวนที่ทั้งประหวั่นทั้งยินดี ไม่ใช่เวลาที่ครุ่นคิดได้อย่างนิ่งสงบจริง ๆ
โม่เทียนเกอและเนี่ยอู๋ชางก็เข้าใจสถานการณ์นี้ ไม่ได้ถามมากความอีก
คิดอยู่พักหนึ่ง โม่เทียนเกอมองเนี่ยอู๋ชางเอ่ยว่า “วิธีสองอย่างที่ท่านพูดไม่ได้ขัดแย้งกันเลย มิสู้พวกเราเสาะหาผู้อื่นพลางรอกระบวนท่าตามหลังพลาง?”
“อืม” เนี่ยอู๋ชางพยักหน้าแสดงความเห็นด้วย
ตัดสินใจกันอย่างเรียบง่ายแล้ว ทั้งสี่คนพักผ่อนแล้วออกเดินทางใหม่
โพรงถ้ำเหล่านี้แผ่ขยายไปสี่ทิศแปดทาง ทางแยกมากมายยิ่ง เดินไปถึงตอนท้าย ทั้งสี่คนเดินสุ่มเรื่อยเปื่อยไปเลย
เนี่ยอู๋ชางมีจุดหนึ่งที่พูดไม่ผิด ไม่ว่าเจ้าเมืองเหมยมีแผนการอันใด สุดท้ายยังจะต้องแสดงออกมา พวกเขาหากคลำทางไม่ถูกจริง ๆ ก็แค่รอคอยไปก็พอ เพียงแต่ว่า อย่างนี้พวกเขาจะเป็นฝ่ายตั้งรับมาก
แต่ว่า ถึงจะเดินสุ่ม โม่เทียนเกอกับเนี่ยอู๋ชางก็มิได้ปล่อยวางจิตใจตื่นตัวเลย ยงหรูอวี้และฉิวเฉิงรั่วระดับการฝึกตนต่ำสักหน่อยเป็นเรื่องรอง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความต้องการรอดชีวิตของพวกเขาไม่แกร่งพอ ดังนั้น พวกนางยังคงพึ่งตนเองจะดีที่สุด
เดินเข้าทางแยกสุ่ม ๆ อีกรอบ เนี่ยอู๋ชางที่นำขบวนจู่ ๆ หยุดลง ยื่นนิ้วชี้เป็นสัญญาณให้เงียบ
สามคนที่ตามอยู่ข้างหลังนางหยุดลงพร้อมกัน โม่เทียนเกอมองรอบ ๆ ดูความผิดปกติไม่ออก ใช้สายตาถามไถ่
เนี่ยอู๋ชางถ่ายทอดเสียงลับ “มีปราณมาร”
โม่เทียนเกอตะลึง “ท่านรู้ได้อย่างไร” จิตหยั่งรู้ของนางเทียบกับเนี่ยอู๋ชางแล้วมีแต่แกร่งกว่าไม่มีอ่อนกว่า นางยังไม่เห็นค้นพบเลย
เนี่ยอู๋ชางกะพริบตาอย่างลึกลับ เอ่ยว่า “อาวุธเวทชิ้นนั้นที่ข้าขโมยจากสำนักเทียนเหยี่ยนสามารถสัมผัสปราณมาร”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้……” ปราณมาร ผู้ที่เข้าสถานที่ที่เรียกกันว่าสถานที่ลับโบราณกาลพร้อมกับพวกเขาส่วนใหญ่เป็นผู้ฝึกมาร พูดอย่างนี้ เป็นไปได้ว่าผู้ฝึกมารคนอื่นเคยผ่านที่นี่หรือ
โม่เทียนเกอคิดแล้วถามว่า “กี่คน พวกเขาไปที่ไหน”
“ไม่แน่ชัด น่าจะมาทางนี้” เนี่ยอู๋ชางเอ่ย “พวกเรารออยู่ที่นี่ก็พอ”
“อืม”
การพูดคุยรอบนี้ของทั้งสองคนเป็นการถ่ายทอดเสียงลับทั้งหมด ยงหรูอวี้และฉิวเฉิงรั่วไม่ได้ยิน รออยู่นาน ฉิวเฉิงรั่วอดถามมิได้ว่า “มีเรื่องอะไรหรือ”
เนี่ยอู๋ชางเหล่มองนาง เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “รอคน”
“เอ๊ะ?”
ขณะนี้ จิตหยั่งรู้ของโม่เทียนเกอก็สัมผัสได้ถึงร่องรอยของคนแล้ว นางขมวดคิ้วนิด ๆ เอ่ยปากว่า “คนสามคน คนหนึ่งก่อเกิดตานขั้นกลาง สองคนขั้นต้น”
ได้ยินวาจานี้แล้ว เนี่ยอู๋ชางถอนหายใจเบา ๆ เอ่ยว่า “โชคไม่ดีเลย ดูท่าเป็นสามคนนั้น”
ในผู้ฝึกตนที่เข้าสถานที่ลับ กลุ่มที่ประกอบด้วยสามคนมีเพียงกลุ่มเดียว ก็คือผู้ฝึกมารกำยำที่ถูกเจ้าเมืองเหมยเรียกว่าจินสือนั่นและน้องชายสองคนของเขา สามคนนี้ หน้าตาน่ารังเกียจวาจาเหลาะแหละ อีกทั้งมีจิตใจเป็นศัตรูต่อพวกเขา ณ เวลานี้พวกเขาเสาะหาผู้ฝึกตนอื่นเพราะอยากดูว่ามีสถานการณ์เป็นอย่างไรเพื่อที่จะหาจุดประสงค์ของเจ้าเมืองเหมยให้เจอ สามคนนี้มิใช่ตัวเลือกที่ดีจริง ๆ
“หืม!” จากนั้น โม่เทียนเกอส่งเสียงอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง
“ทำไมหรือ” เนี่ยอู๋ชางถาม
“พวกเขาสามคน ผิดปกตินิดหน่อย”
“ผิดปกติ?”
“อืม” โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว กล่าวว่า “คล้ายกับว่ากำลังถูกอะไรไล่ตาม……สภาพทุลักทุเลมาก”
“อะไรนะ” เนี่ยอู๋ชางประหลาดใจ
เวลานี้ สามคนนี้ก็เข้ามาอยู่ในขอบเขตจิตหยั่งรู้ของนางแล้ว เป็นเช่นนี้ตามคาด
เวลาเดียวกัน ตำแหน่งแห่งหนของพวกเขาก็ถูกค้นพบแล้ว สามคนนั้นจู่ ๆ เร่งความเร็ววิ่งมาทางพวกเขา
โม่เทียนเกอและเนี่ยอู๋ชางล้วนกำลังจดจ่ออยู่กับการใช้จิตหยั่งรู้ติดตามสามคนนั้น ไม่พูดไม่จาไปช่วงหนึ่ง ยงหรูอวี้และฉิวเฉิงรั่วจิตหยั่งรู้อ่อนหน่อย ไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไร ฟังวาจาของพวกนางแล้วดูสีหน้าของพวกนางก็อดรู้สึกประหวั่นขึ้นมามิได้
ผ่านไปอีกพักหนึ่ง ในที่สุดจิตหยั่งรู้ของสองคนนี้ก็สัมผัสได้ถึงการเข้าใกล้ของกลุ่มสามคนนั้นแล้ว คิ้วของยงหรูอวี้ก็ขมวดขึ้นมา
เขาสัมผัสอยู่ครู่หนึ่ง ถามว่า “สหายเต๋าทั้งสอง พวกเราจะรออยู่ที่นี่หรือ”
“อืม” เนี่ยอู๋ชางส่งเสียงตอบรับอย่างไม่อินังขังขอบ
“แต่ว่า…… ใครจะรู้ว่าสามคนนี้มีเจตนาชั่วร้ายหรือไม่เล่า” ยงหรูอวี้เอ่ยอย่างกังวล “ถึงอย่างไรก่อนที่พวกเขาเข้าสถานที่ลับ ท่าทีที่มีต่อพวกเรามีความเป็นศัตรูมาโดยตลอด”
“แล้วอย่างไรเล่า” เนี่ยอู๋ชางไม่แม้แต่จะขยับเปลือกตา “หากพวกเขามีจิตชั่วร้าย ฆ่าทิ้งไปก็พอ”
“……” พอได้ยินคำตอบประโยคนี้ ยงหรูอวี้ก็หุบปากเลย เมื่อครู่ถูกเนี่ยอู๋ชางข่มขู่ เขารู้แล้วว่าเพื่อนร่วมทางที่ดูผอมแห้งอ่อนแอคนนี้จิตใจโหดเหี้ยมฝีมืออำมหิตกว่าตนเองมาก เขาเผยความขี้ขลาดออกมาหนึ่งรอบแล้ว ระดับการฝึกตนก็ไม่สู้คนเขา เวลานี้ไม่มีหน้าจะพูดอะไรจริง ๆ
ระหว่างที่พูด สามคนนั้นยิ่งมายิ่งเข้าใกล้ ในที่สุด พวกเขาได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากในโพรงถ้ำ
โม่เทียนเกอขมวดคิ้วขึ้นมาทันที ได้ยินเสียงฝีเท้านี้สับสนไร้ระเบียบ สถานการณ์ของพวกเขาน่าจะไม่ดีเป็นพิเศษ หรือว่าพบกับเรื่องน่ากลัวอะไร?
มีเวลาคิดได้แค่นี้ ที่สุดปลายของทางแยกหนึ่งทางปรากฏผู้ฝึกมารสามคนนั้นแล้ว
พอเห็นพวกเขาสี่คน บุรุษฉกรรจ์ที่นำหน้าลิงโลด นำน้องชายสองคนรีบเร่งมาหา “สหายเต๋าทั้งสี่ โปรดลงมือช่วยเหลือ!”
…………….
ทั้งสี่คนไม่มีใครส่งเสียงสักคน สามคนนี้ ก่อนจะเข้าสถานที่ลับมีท่าทีอย่างไร พวกเขาล้วนจดจำได้อย่างกระจ่างชัด ขณะนี้เห็นพวกเขาถึงกับมาขอความช่วยเหลืออย่างกระตือรือร้นเช่นนี้ มองอย่างไรก็ไม่ปกติ
สามคนหยุดลงตรงหน้าพวกเขา ผู้ฝึกตนบุรุษฉกรรจ์ที่นำหน้าคล้ายดูความตื่นตัวของพวกเขาออก รีบเอ่ยว่า “สหายเต๋าทั้งสี่ท่าน ในโพรงถ้ำนี้มีตัวประหลาดตัวหนึ่ง หากพวกท่านไม่ลงมือช่วยเหลือ สุดท้ายตัวประหลาดนั้นก็จะลงมือต่อพวกท่าน!”
………………..
ตอนที่ 407 – ประสงค์อันใด