ตอนที่ 407 ประสงค์อันใด

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 407 – ประสงค์อันใด

 

    ผู้ฝึกมารสามคนนี้มองไปข้างหลังอย่างกระวนกระวายเป็นครั้งคราว เห็นพวกเขาสี่คนไร้การตอบสนองสักนิด ผู้ฝึกมารบุรุษฉกรรจ์ร้อนรนแล้ว “สหายเต๋าทั้งสี่ พวกท่านลังเลอีกก็จะสายไปแล้วนะ!” ว่าแล้วคิดจะเคลื่อนเข้าใกล้ทั้งสี่คน

    เนี่ยอู๋ชางยกมือขึ้นสกัดทางไปของพวกเขา

    ผู้ฝึกมารบุรุษฉกรรจ์เห็นแล้วน้ำเสียงลนลาน “ท่านหมายความว่าอย่างไร”

    เนี่ยอู๋ชางเหล่มองเขาแวบหนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมยว่า “ทำไมพวกเราต้องเชื่อท่าน”

    “ท่าน –” ท่าทีของนางไม่เกรงใจสักเท่าไหร่จริง ๆ ผู้ฝึกมารบุรุษฉกรรจ์เบิกตาทั้งคู่จนกว้าง  ใบหน้าปรากฏความโกรธ

    “พี่ใหญ่!” ผู้ฝึกมารสองคนข้างหลังเขาเตือนเสียงเบา ๆ “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาต่อสู้”

    ได้ยินวาจานี้ บุรุษฉกรรจ์สีหน้าแดงกล่ำ สุดท้ายยังคงกลืนความโกรธลงไปกล่าวว่า “สหายเต๋าท่านนี้ พวกข้าสามคนพี่น้องค้นพบตัวประหลาดหนึ่งตัวที่นี่ ตัวประหลาดนี้แข็งแกร่งมาก โหดเหี้ยมถึงสิบส่วน พวกข้าสามคนพอเจอก็มิใช่คู่มือ พวกท่านถึงจะมีสี่คน แต่ก็จะต้องมิใช่คู่มือ พวกเรายังคงร่วมมือกันถึงจะดี”

    “ตัวประหลาด?” โม่เทียนเกอเลิกคิ้ว เอ่ยว่า “ตัวประหลาดอะไร ทำไมข้าสัมผัสไม่ได้” จิตหยั่งรู้ของนางไม่อ่อนแอ ไม่มีเหตุผลที่จะสัมผัสไม่ได้สักนิด

    “สหายเต๋าทั้งหลาย เชื่อพวกข้าเถอะ!” ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานขั้นต้นที่ตามอยู่ข้างหลังบุรุษฉกรรจ์อธิบายอย่างกระตืนรือร้น “ครึ่งชั่วยามที่แล้ว พวกข้าผ่านด่านที่หนึ่ง มาถึงที่นี่ไม่นานก็เจอกับตัวประหลาดหนึ่งตัว บนร่างตัวประหลาดนี้แทบจะสัมผัสพลังสภาวะไม่ได้ ทำให้เริ่มแรกพวกข้าผ่อนคลายความระมัดระวัง แต่พอประจันหน้า พวกข้าต้านทานไม่ได้โดยสิ้นเชิง……” 

    ฟังคำพูดนี้แล้ว โม่เทียนเกอและเนี่ยอู๋ชางสบตากันแวบหนึ่ง เห็นความตื่นตะลึงในดวงตาของแต่ละฝ่าย 

    “สหายเต๋าทั้งหลาย ตัวประหลาดที่พวกท่านพูดมีลักษณะอย่างไร”

    ได้ยินโม่เทียนเกอน้ำเสียงเป็นมิตร ท่าทีของพวกเขาล้วนโอนอ่อนลงบ้าง ผู้ฝึกมารสามคนนั้นลิงโลด บุรุษฉกรรจ์ที่เป็นผู้นำเอ่ยว่า “ตัวประหลาดนี้ไม่มีสภาพ แรกเห็นก็เป็นกลิ่นอายอันพิสดารหนึ่งก้อน ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเราผ่านด่านแรก ปราณมารบนร่างสูญสิ้น ไม่ได้ฟื้นฟูมาจนสมบูรณ์ พอเจอตัวประหลาดนี้ก็คิดจะขับไล่ ผลคือไม่ว่าทักษะลับอาวุธเวทอะไรล้วนไม่อาจจู่โจมทำลาย แม้แต่ปราณมารยังถูกดูดกลืน……”

    ฟังถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอกับพวกสี่คนสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย

    ความคิดหนึ่งวูบขึ้นในสมองโม่เทียนเกอ จับสังเกตข้อมูลภายใน “พูดอย่างนี้ หลังจากที่เข้าสถานที่ลับ พวกท่านไม่อาจฟื้นฟูปราณมารในร่างกายด้วยตนเองหรือ”

    ผู้ฝึกมารบุรุษฉกรรจ์ลังเลชั่วครู่แล้วพยักหน้า “ใช่แล้ว” เรื่องนี้ปิดคนไม่ได้ สภาพของพวกเขาสามคนในขณะนี้แค่ดูก็รู้

    โม่เทียนเกอกับเนี่ยอู๋ชางสบตากัน ทั้งสองคนล้วนเผยสีหน้าว่าเป็นอย่างนี้ตามคาดออกมา

    “นอกจากนั้นเล่า พวกท่านรับรู้ถึงส่วนที่ไม่ปกติอะไรไหม”

    บุรุษฉกรรจ์ฟังจนอึ้งไป จับต้นชนปลายไม่ถูก “สหายเต๋าท่านนี้หมายความว่าอะไร”

 

    “ความหมายก็คือ พวกท่านรู้สึกหรือไม่ว่าสถานที่ลับนี้พิสดารอยู่บ้าง”

    “พิสดาร?” บุรุษฉกรรจ์นี้มึนนิดหน่อย สิ่งที่เขาพูดไม่ได้พิสดาร ทว่าเป็นตัวประหลาด……นี่มันเรื่องอะไรกัน

    “พี่ใหญ่” ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานขั้นต้นคนหนึ่งข้างหลังเขาเอ่ยเสียงค่อย “พูดกันอย่างนี้ขึ้นมา ข้ารู้สึกว่าพิสดารนิดหน่อย”

    “อ้อ?” โม่เทียนเกอมองไปทางผู้ฝึกตนที่สีหน้าขลาดเขลาอยู่บ้างคนนั้น “สหายเต๋าท่านนี้สังเกตอะไรได้หรือ”

    คนคนนั้นมองบุรุษฉกรรจ์ที่เป็นผู้นำแวบหนึ่ง เห็นพวกไม่มีท่าทางขัดขวางจึงกล่าวว่า “ข้ารู้สึกว่าณานศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่ลับแห่งนี้ไม่เร้นลับพอ……”

    โม่เทียนเกอได้ยินแล้วดวงตาสว่างไสวขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าผู้ฝึกตนที่เชื่องเชื่อคนนี้ถึงกับจะมีสายตาอย่างนี้

    บุรุษฉกรรจ์นั้นกลับขมวดคิ้ว ถลึงมองเขาอย่างไม่พอใจ เอ่ยว่า “นี่นับว่าพิสดารอะไรเล่า บางทีณานศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่ลับนี้เดิมก็ไม่ได้ร้ายกาจขนาดนั้นอยู่แล้วก็ได้”

    “ก็ใช่ อีกอย่าง เพื่อที่จะปกป้องพวกเรา พี่แม้แต่อาวุธเวทก้นหีบใหญ่ก็ยังเอาออกมาแล้ว” ผู้ฝึกมารขั้นต้นอีกคนกล่าวหนุน

    “แต่ว่า……” ผู้ฝึกมารคนนี้คัดค้านเสียงค่อย แต่ว่าแม้กระทั่งตัวเขาเองก็ยังไม่มั่นใจ พูดแค่สองคำ เห็นสีหน้าของบุรุษฉกรรจ์ก็กลืนคำพูดที่เหลือลงไป

    โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว เอ่ยว่า “เรื่องนี้สำคัญมาก สรุปว่าเป็นอย่างไรโปรดบอกมาตามสัตย์” ว่าแล้วก็เหล่มองบุรุษฉกรรจ์ที่เป็นผู้นำนั้นแวบหนึ่ง

    บุรุษฉกรรจ์นั้นได้ยินนางน้ำเสียงหนักแน่นเพียงนี้ก็ลังเล สุดท้ายถามว่า “หรือว่าพวกท่านค้นพบว่ามีอะไรไม่ถูกต้อง”

    โม่เทียนเกอยังไม่ได้ตอบ เนี่ยอู๋ชางก็ขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าวแล้ว กรงเล็บในมือจี้ออกไปเลิกแขนเสื้อของอีกฝ่ายขึ้น

    บุรุษฉกรรจ์นั้นตระหนกจนสะดุ้ง ถอยหลังทันควัน แสดงอาวุธเวทออกมา คำรามว่า “ท่านคิดจะทำอะไร” 

    เนี่ยอู๋ชางไม่เอ่ยวาจา ขยับท่าร่างเข้าประชิดถึงตัวแล้ว ในระยะที่ใกล้เช่นนี้ ความเคลื่อนไหวของใครจะเร็วไปกว่าผู้ฝึกยุทธ์? บุรุษฉกรรจ์นั้นเพียงรู้สึกปลายแขนเสื้อ มีสิ่งของอะไรถูกเกี่ยวลงมาแล้ว

    หุ่นไม้ตกลงพื้นดัง “ตึง” เนี่ยอู๋ชางมองโม่เทียนเกอแวบหนึ่ง โม่เทียนเกอเข้าใจ ปล่อยเสี่ยวหั่วออกมาอีกรอบ ลูบหัวของมัน “เสี่ยวหั่ว ใช้ไฟเผา”

    “พวกท่าน……” เห็นท่าทางอย่างนี้ของพวกนางไม่คล้ายกับว่ามีเจตนาร้ายเลย บุรุษฉกรรจ์เกาศีรษะ “สิ่งของนี้มีปัญหาอะไร”

    โม่เทียนเกอและเนี่ยอู๋ชางไม่ตอบ คำตอบนี้อีกเดี๋ยวพวกเขาก็จะรู้แล้ว

    เผาเปลือกนอกที่เป็นไม้ออก ข้างในเป็นเป็นผลึกมารหนึ่งชิ้นดังคาด

    ผู้ฝึกมารสามคนเห็นวัตถุนี้ก็สีหน้าแปรเปลี่ยนไปทันที!

    “ดูท่าทุกท่านรู้ว่านี่เป็นสิ่งของอะไร” เนี่ยอู๋ชางมองสีหน้าของผู้ฝึกมารทั้งสามคนด้วยแววตาเยือกเย็น “ตอนนี้พวกท่านทราบว่าเรื่องราวร้ายแรงมากแล้วกระมัง หลังจากพวกท่านเข้าสถานที่ลับ สรุปว่าพบเจอเรื่องอะไร ล้วนพูดออกมาให้หมดเปลือก”

    รอจนมีปฏิกิริยาขึ้นมา ผู้ฝึกมารอีกสองคนโยนหุ่นไม้ที่แขวนบนร่างตนเองทิ้งอย่างตระหนก มองไปทางบุรุษฉกรรจ์ที่เป็นผู้นำ “พี่ใหญ่ นี่……”

    บุรุษฉกรรจ์นั้นสีหน้าประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวขาว มองดูผลึกมารบนพื้น แล้วมองสีหน้าของโม่เทียนเกอกับเนี่ยอู๋ชาง ขบฟันเอ่ยว่า “เหมยเฟิงตัวดี ที่แท้ก็หลอกลวงพวกเรา! หึ! พวกเราสามพี่น้องถึงจะเป็นเพียงผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน แต่เมืองเฮยซานของพวกเราไม่ได้รังแกได้ง่ายขนาดนั้น!”

    ดูท่าพวกเขาสามคนก็มีภูมิหลัง นี่เป็นการพิสูจน์คำพูดของยงหรูอวี้ พวกเขาผู้ฝึกตนก่อเกิดตานเหล่านี้ถึงระดับการฝึกตนจะสู้ไม่ได้ แต่ก็มิใช่ผู้ที่เมืองซิงลั่วจะสามารถล่วงเกินตามใจชอบ

    บุรุษฉกรรจ์นั้นพูดจบก็หันไปหาโม่เทียนเกอและพวก ท่าทีสนิทสนมขึ้นมาเป็นอย่างมากทันที ไม่เหมือนกับเมื่อครู่นี่ที่เป็นเพียงการถูกสถานการณ์บังคับ ไร้หนทางอื่น

    “สหายเต๋าทุกท่าน ก่อนหน้านี้ล่วงเกินเป็นอย่างมาก หากมิใช่พวกท่านเตือน วันนี้พวกข้าพี่น้องเกรงว่าจะเข้าไปในแผนชั่วของคนอื่นแล้ว!” บุรุษฉกรรจ์ยกมือคำนับ “ข้าชื่อจินสือ นี่เป็นพี่น้องสองคนของข้า มู่ซี อวี้กุย พวกข้าเป็นผู้ฝึกตนของเมืองเฮยซาน”

    เมืองเฮยซานเป็นหนึ่งในเจ็ดแดนมารเล็กของอาณาจักรเป่ยหลิน เรื่องนี้โม่เทียนเกอเคยได้ยินมาก่อนแล้ว ขณะนี้ทั้งสี่คนล้วนคำนับกลับ ต่างคนต่างแจ้งชื่อฉายา

    หลังคำนับอย่างเต็มรูปแบบ จินสือถามอย่างทนรอไม่ได้ว่า “สหายเต๋าทุกท่าน พวกท่านค้นพบผลึกมารนี้ได้อย่างไร”

    “นี่เป็นความบังเอิญ” โม่เทียนเกอพูดผ่านไปคร่าว ๆ ถามกลับว่า “สหายเต๋า……มู่ซีท่านนี้ ก่อนหน้านี้ท่านรู้สึกว่าตรงไหนที่พิสดาร เรื่องนี้สำคัญมาก ต้องขอให้อธิบายมาด้วย”

    “นี่ย่อมแน่นอน” ขณะนี้ได้รับความยินยอมของจินสือ ผู้ฝึกมารที่เรียกว่ามู่ซีผู้นี้ไม่มีความตะขิดตะขวงใจ เล่าฉอด ๆ ว่า “อันดับแรก พวกข้าสามคน นอกจากพี่ใหญ่ที่ระดับการฝึกตนสูง ข้ากับอวี้กุยล้วนมีความแข็งแกร่งแค่ทั่วไป เดิมทีนึกว่าด่านแรกพวกเราก็ไม่ผ่านแล้ว ผลกลับเป็นมีความตระหนกแต่ไร้ภัย  หลังผ่านด่าน ข้าคิดใคร่ครวญอย่างละเอียด ค้นพบว่าด่านแรกดูไปแล้วณานศักดิ์สิทธิ์เร้นลับ พลังอำนาจกลับขาด ๆ เกิน ๆ เดิมทีข้ากับอวี้กุยล้วนเอาไม่อยู่ ทักษะเวทในนั้นกลับอ่อนลงไปกะทันหัน คล้ายกับว่าจงใจปล่อยให้พวกเราผ่านด่าน”

    โม่เทียนเกอพยักหน้า มู่ซีผู้นี้จิตใจละเอียดอ่อนยิ่ง หากเป็นผู้ที่เลินเล่อไม่แน่ว่าจะปล่อยผ่านไป มีคนมากมายที่พบกับเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลเกินไปก็จะหาเหตุผลชุ่ย ๆ มาบอกตนเองว่าน่าจะสมเหตุสมผล

    “เรื่องที่สอง พวกข้าผ่านด่านแรก เข้ามายังที่นี่ พบเจอกับคนหลายกลุ่มแล้ว นับรวมกันถึงกับมีกว่าครึ่งที่ผ่านด่าน นี่ไม่ปกติจริง ๆ……”

    พอได้ยินคำพูดนี้ เนี่ยอู๋ชางขัดเขาทันที “พวกท่านเคยพบกับคนอื่นหรือ”

    “มิผิด” ผู้ที่ตอบคือจินสือ “พวกข้ามาถึงที่นี่ ทั้งหมดทั้งสิ้นพบมาแล้วสามคน ถ้านับพวกเราเจ็ดคนก็มีสิบคน นี่ยังไม่นับคนที่พวกเราไม่ได้พบเจอ”

    “……” เนี่ยอู๋ชางมองโม่เทียนเกอ ทั้งสองคนล้วนไม่รู้ว่าควรจะจะพูดอะไรดี ก่อนหน้านี้ เจ้าเมืองเหมยคนนั้นเตือนพวกนางว่าอย่างไรนะ พูดว่าบททดสอบของสถานที่ลับโบราณกาลยากเย็นยิ่งนัก เมืองซิงลั่วไม่มีสักคนที่ผ่านด่าน ถึงแม้ตอนนี้เพียงผ่านด่านแรก แต่ระดับความยากนี้ก็แตกต่างกันเกินไปแล้ว! แน่นอนว่า ในนี้ยังมีจุดยากหนึ่งจุด นั่นคือไม่ว่าจะพลังวิญญาณหรือว่าปราณมารล้วนไม่อาจฟื้นฟูตามธรรมชาติ เป็นอย่างนี้ต่อไป พวกเขามีความเป็นไปได้มากว่าจะไม่สามารถผ่านด่านสักคนจริง ๆ แต่เรื่องนี้เจ้าเมืองเหมยผู้นั้นกลับไม่เคยเตือนสักครึ่งคำมาก่อนเลย!

    นิ่งเงียบกันไปพักใหญ่ ยงหรูอวี้ที่ไม่ได้พูดจามาโดยตลอดส่งเสียงออกมาในที่สุดว่า “อย่างนั้น ตัวประหลาดที่ท่านทั้งหลายพูดก่อนหน้านี้เป็นเรื่องอันใด พวกท่านค้นพบว่าสู้ไม่ได้ก็วิ่งหนีหรือ มันเคยไล่ตามมาไหม นอกจากที่อาวุธเวทไม่อาจจัดการมันแล้วยังมีคุณลักษณะอะไร”

    ผู้ที่ตอบยังคงเป็นมู่ซี เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่จิตใจละเอียดอ่อนที่สุดในสามคน “พวกข้ามาถึงที่นี่ไม่นานก็ค้นพบตัวประหลาดนั่น แรกเริ่มที่ค้นพบว่ามีปราณมารยังนึกว่าเป็นบททดสอบเกี่ยวกับผู้ฝึกมารที่เจ้าเมืองเหมยพูด แต่รอจนพวกข้าเข้าใกล้ ไม่กี่อึดใจก็ค้นพบว่าตัวประหลาดนี้ไม่สามารถมองเห็นพลังสภาวะทั้งร่างของมันแล้วประเมินความแข็งแกร่งอ่อนแอได้เลย สู้ไม่ได้ พวกเราก็หนี ตัวประหลาดนี้ไล่ แต่ความเร็วไม่เร็วเลย ตอนที่พวกข้าค้นพบจุดนี้ เดิมทีโล่งใจมาก แต่ผ่านไปไม่นานนักก็ค้นพบว่าเจ้าสิ่งนี้ถึงจะช้า แต่กลับลอบเร้นร่องรอย ถึงกับไล่ตามมาจริง ๆ ภายหลัง ไม่ว่าพวกข้าจะหนีนานเท่าไร มันล้วนจะปรากฏตัวขึ้นในหลังจากนั้นไม่นานนัก อย่างกับภูตผี สลัดหนีไม่พ้น” 

    บนใบหน้ายงหรูอวี้ปรากูแววตประหลาดใจ “บนโลกนี้ถึงกับมีสิ่งที่ประหลาดอย่างนี้หรือ”

    “มิผิด จินสือกล่าว “ดังนั้นพวกข้าได้แต่เรียกเป็นตัวประหลาด พวกเราพี่น้องก็นับว่าพบเห็นมามากความรู้กว้างขวาง แต่สิ่งของประเภทนี้ยังเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก จริงสิ ตอนที่พวกเราหลบหนี ระหว่างนั้นเจอกับผู้ฝึกมารหนึ่งคน เขาไม่เชื่อวาจาของพวกข้า ผลคือ ในระยะเวลาหลายอึดใจก็ถูกตัวประหลาดนี้กลืนกินไปแล้ว……ไม่หลงเหลือเศษซาก กลายเป็นปราณมารหนึ่งก้อน หายสาบสูญไปอย่างสิ้นเชิง”

    ยงหรูอวี้หน้าเปลี่ยนสี “นี่……”

    โม่เทียนเกอและเนี่ยอู๋ชางก็เผยแววตื่นตกใจ ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานหนึ่งคนถูกกลืนกินในเวลาหลายอึดใจ ซากศพยังไม่เหลือ ตัวประหลาดนี้สรุปแล้วเป็นสิ่งของอะไรกัน?!

    “เรื่องราวยิ่งมายิ่งซับซ้อน” ผ่านไปครึ่งค่อนวัน โม่เทียนเกอเคาะศีรษะ ครุ่นคิดพลางกล่าวช้า ๆ ว่า “ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่คนหนึ่งที่โกหกพกลมหลอกให้พวกเราเข้าไปในกับดัก ผลึกมารที่ดูดซับแก่นปราณของทุกคนที่พกไว้บนตัว พลังวิญญาณที่ไม่อาจฟื้นฟู บวกกับตัวประหลาดอย่างนี้อีกหนึ่งตัว…… เจ้าเมืองเหมยผู้นี้สรุปว่าคิดจะทำอะไร”

………………..

 

ตอนที่ 408 – ตัวประหลาด