ตอนที่ 95 คุกเข่าร้องเพลงพิชิต

อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว

ตอนที่ 95 คุกเข่าร้องเพลงพิชิต

อ๋อ ๆๆๆ คนผู้นี้ต่างหากที่เป็นสตรีชั่วร้าย หนานหนานถลึงตามอง ทั้งยังจ้องดรุณีที่อยู่ตรงหน้าเขม็ง

เขาฟังออกว่าสตรีชั่วร้ายผู้นี้กำลังข่มขู่ท่านลุงเหวิน ข่มขู่เชียวนะ นี่เป็นเรื่องที่เลวร้ายมาก ท่านแม่เคยบอกว่า เรื่องข่มขู่อะไรเหล่านี้ ยังสู้การหลอกล่อด้วยผลประโยชน์ไม่ได้เลย

“ท่านลุงเหวิน ท่านอย่าไปกลัว ท่านจะไปสนใจรูปปั้นเสนาบดีฝั่งขวานั่นทำไมกัน พวกเราใช้ค้อนทุบก็สิ้นเรื่องแล้ว”

“…” เหวินเทียนแอบกุมขมับ หนานหนาน อย่าพูดอะไรเลย เรื่องนี้ปล่อยให้ท่านลุงเหวินของเจ้าแก้ปัญหาเถอะ

“เจ้ากล้ามากนะ ถึงได้กล้าสร้างความอัปยศต่ออัครมหาเสนาบดี” เฉินจีซินถูกคำพูดของบุตรีเพียงไม่กี่ประโยคทำให้เกิดความมั่นใจอีกหน จริงด้วย แม้สถานะของพวกนางสองแม่ลูกไม่สูง แต่เบื้องหลังของพวกนางก็ยังแข็งแกร่ง รถม้าคันนั้นเป็นรถม้าของตระกูลเสนาบดีฝั่งขวา สิ่งที่บุรุษผู้นี้ทุบตีจนตายเป็นม้าที่เสนาบดีฝั่งขวารัก ดูสิว่าเขายังจะกล้าเหิมเกริมอีกหรือไม่

“อัครมหาเสนาบดี?” หนานหนานลูบคางด้วยท่าทางมึนงงไม่เข้าใจ “ข้าก็ไม่ได้เชือดรูปปั้น[1] นี่นา ที่ข้าพูดคือใช้ค้อนทุบ ไม่ได้เชือดสักหน่อย เจ้าโตขนาดนี้แล้ว เหตุใดถึงฟังไม่เข้าใจความหมายของข้าล่ะ?”

เฉินจีซินถูกทำให้โกรธจนกระอักเลือดแล้ว เด็กป่าเถื่อนผู้นี้มาจากที่ใดกัน ดูเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ ไม่เหมือนกับเสื้อผ้าที่เป็นที่นิยมในกลุ่มเด็กตระกูลร่ำรวยภายในเมืองหลวง ดูเหมือนว่าคงเป็นพวกไม่รู้จักมารยาท

เหอะ เด็กแบบนี้ยังกล้ามาพูดจาเหลวไหลต่อหน้านาง? กลับไปนางจะฟ้องเสนาบดีฝั่งขวา จะรอดูเจ้าเด็กนี่ถูกถลกหนังทั้งเป็น

เหวินเทียนส่ายหน้าถึงกับหมดคำพูด แต่…เสนาบดีฝั่งขวา?

หลายปีมานี้แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้อยู่เมืองหลวง แต่ข่าวคราวทางนี้กลับไม่เคยตัดขาดมาโดยตลอด เกี่ยวกับเสนาบดีฝั่งขวาหนุ่มที่จู่ ๆ ก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นเสนาบดีฝั่งขวาภายในระยะเวลาสั้น ๆ นี้ ยิ่งเป็นที่ทราบของทุกคน

แต่ละคนต่างก็พูดว่าเสนาบดีฝั่งขวาเป็นคนน่าทึ่ง ระยะเวลาเพียง 5-6 ปี เขาสามารถไต่เต้าขึ้นมาจากการสอบจอหงวน เมื่อหนึ่งปีก่อนก็ได้รับพระราชทานเลื่อนตำแหน่งเป็นเสนาบดีฝั่งขวาแล้ว

แม้เสนาบดีฝั่งขวาจะอ่อนไหวต่อการเมืองอย่างมาก ทั้งยังสร้างผลงานไม่ธรรมดาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสนอกลยุทธ์ที่ดีและไปสนามรบเพื่อทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางทหารด้วยตัวเอง ทว่าผลงานเช่นนี้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ นั้น เป็นสิ่งที่คนโบราณไม่เคยมีมาก่อนเป็นประวัติการณ์

ตอนที่เหวินเทียนได้ทราบข่าวของคนผู้นี้ ก็รู้สึกดีกับเขาอย่างมาก ทั้งยังเปี่ยมล้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น คิดไว้ว่าหลังจากนี้หากได้กลับมาที่เมืองหลวง เขาต้องไปเจอหน้าเสนาบดีฝั่งขวาผู้นี้ด้วยตัวเองให้ได้

ใครจะไปคิด เพิ่งมาถึงเมืองหลวงได้ไม่ถึงสองวัน ก็มาเจอกับเรื่องนี้เข้าแล้ว

ภาพลักษณ์ของเสนาบดีฝั่งขวาที่อยู่ในใจของเขาจมดิ่งลงเหวทันใด และมิอาจที่จะขึ้นมาได้อีกแล้ว ข่าวลือก็เป็นได้แค่ข่าวลือจริง ๆ ดูจากสองแม่ลูกคู่นี้ที่ขี่รถม้าในจวนของพวกเขามาทำท่าทีข่มเหงรังแกผู้อื่น ก็พอจะทราบแล้วว่าเสนาบดีฝั่งขวาเป็นคนเช่นไร

หากไม่มีการสนับสนุนจากเขา พวกนางทั้งคู่จะกล้าทำตัวหยิ่งผยองเช่นนี้หรือ?

เหวินเทียนหัวเราะด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เสนาบดีฝั่งขวา? รถม้าของเสนาบดีฝั่งขวาแล้วอย่างไร? รถม้าของเสนาบดีฝั่งขวาสามารถชนผู้อื่นตามใจชอบได้หรือ? เหอะ ข้าจะบอกอะไรให้ ทุกคนต่างก็กลัวเสนาบดีฝั่งขวา แต่ข้าไม่กลัวหรอก พวกเราไปเข้าพบทางการตอนนี้เลย ดูสิว่าใครกันแน่ที่ผิด”

เฉินจีซินและบุตรีถึงกับชะงักไปพร้อมกัน พวกนางคิดไม่ถึงเลยว่าการกล่าวอ้างเสนาบดีฝั่งขวาจะทำให้เขาไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว ทั้งคู่ถึงกับขมวดหัวคิ้วมองเขาด้วยความโกรธเคือง

คนนอกอาณาจักรก็ยังเป็นคนนอกอาณาจักรอยู่วันยังค่ำ แม้แต่เมืองหลวงแห่งนี้ก็ยังไม่ทราบว่าใครเป็นใหญ่ รู้จักแต่จะเข้าพบทางการ คิดว่าได้เจอทางการแล้วจะได้รับความยุติธรรมอย่างนั้นหรือ?

เฉินจีซินเหลือบมองเขาพลางหัวเราะออกมา “เอาสิ ในเมื่อเจ้าอยากไปเข้าพบทางการ เช่นนั้นก็ไปเลย”

บุตรีข้างกายของนางขมวดคิ้ว คาดว่าคงไม่อยากให้เรื่องราวบานปลายกระมัง จึงกดเสียงให้เบาลง พูดกับเหวินเทียนเสียงเบาว่า “คุณชายท่านนี้ ต่อให้ท่านไปเจอทางการ ท่านก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรอยู่ดี ไม่ต้องพูดว่ารถม้าคันนี้เป็นของจวนเสนาบดีฝั่งขวาหรอก แม้แต่เจ้ากรมการพระนคร[2] ก็เป็นสหายของอวี๋จั้วหลินรองเจ้ากรมฝ่ายกลาโหมผู้เป็นพี่เขยของข้า ไปเข้าพบทางการท่านก็ถูกทำร้ายร่างกายอยู่ดี เหตุใดต้องทำเช่นนั้นด้วย? ข้าว่านะ ท่านคุกเข่าให้เราสองแม่ลูก ยอมขอโทษแต่โดยดีเถอะ เรื่องนี้จะได้ปล่อยให้แล้วกันไป”

คุกเข่า? ขอโทษ? สตรีผู้นี้ช่างคิดเพ้อเจ้อเสียจริง

ช้าก่อน พี่เขยอวี๋จั้วหลิน?

อวี๋จั้วหลินคือพี่เขยของนาง? พูดเช่นนี้ บุคคลผู้นี้ก็คือหลี่หรานหร่านอนุภรรยาของอวี๋จั้วหลิน…

ไม่สิ

เหวินเทียนขมวดคิ้วอย่างฉับไว เริ่มสำรวจสตรีที่อยู่ตรงหน้า ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าบางจุดดูเหมือนจะคล้ายคลึงกับใครบางคน

บุคคลผู้นี้…ไม่ใช่หรอก จังหวะและชะตากรรมไม่ดีอย่างนั้นหรือ?

เขาชะงัก ครุ่นคิดว่ายืนยันสักหน่อยน่าจะดีกว่า หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยถามว่า “แม่นางมีแซ่ว่ากระไรหรือ”

เฉินจีซินและสตรีผู้นั้นชะงักไปพร้อมกัน คุยกันอยู่ดี ๆ จะถามแซ่ของนางไปทำไมกัน?

แต่ดูจากท่าทางของบุรุษผู้นี้แล้ว ดูคล้ายกับว่าคงตกใจเพราะคำพูดเมื่อครู่ของนาง คิดเช่นนี้ บนใบหน้าของทั้งคู่จึงมีสีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย สตรีผู้นั้นเชิดหน้าขึ้นเพียงเล็กน้อย กล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “แซ่อวี้…อวี้ชิงโหรว”

อวี้…อวี้…อวี้?

บุคคลผู้นี้เป็นน้องสาวของอวี้ชิงลั่วจริง ๆ น้องสาวของอวี้ชิงลั่วเชียวนะ

เช่นนั้น…ตอนนี้เขาควรจะแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบอย่างไร? ปรับความเข้าใจกับนาง? หรือจะอ้างถึงจวนอ๋องซิวของเขาต่อไป ไม่ยอมก้มหัวยอมรับผิด? หรือให้หนานหนานรู้จักกับพวกนางในฐานะญาติ?

เพียงแต่ เหตุใดน้องสาวผู้นี้ถึงได้แตกต่างจากแม่นางอวี้ขนาดนั้น? แม้ว่ารูปร่างหน้าตาจะสวยงามโดดเด่นมาก แต่นิสัยกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

แม่นางอวี้เป็นคนมีความสามารถ ไม่เคยอ้างถึงสถานะตำแหน่งของผู้อื่นเพื่อกระทำการสิ่งใด ทั้งยังรังแกคนอื่นอย่างโจ่งแจ้ง

ทว่าสตรีผู้นี้ที่อยู่ตรงหน้า ดูเหมือนจะอ่อนโยนมาก ทว่าในคำพูดกลับแฝงด้วยเข็ม ต่อให้เป็นคนรังแกผู้อื่น แต่ก็สามารถพูดจนตนเองดูคล้ายกับเป็นผู้ได้รับความอยุติธรรม

เหวินเทียนสับสน สับสนมาก สับสนสุด ๆ

ทั้งสองคนนี้คือมารดาและน้องสาวแท้ ๆ ของแม่นางอวี้ เขาควรจะใช้ทัศนคติเช่นไรกันแน่? สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการเลื่อนตำแหน่ง การเพิ่มเงินเดือนและชีวิตที่ดีขึ้นของเขาในภายภาคหน้าเชียวนะ

เขาคิดไม่ออกจริงๆ ทำได้แต่กลอกตาไปมาอย่างรวดเร็ว กอดหนานหนานไว้จนแน่น ยื่นหน้ากระซิบข้างหู “หนานหนาน สองคนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นญาติของเจ้า เจ้าคิดว่า ตอนนี้ควรทำเช่นไรดี?”

“ญาติ?” หนานหนานไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของเขา แต่ทว่า…

“ญาติแล้วจะทำไม? พวกนางเกือบจะชนข้าแล้วนะ ทั้งยังทำลายของเล่นกองใหญ่ของข้าจนหล่นพื้นพังหมดแล้ว ต่อให้เป็นบิดาแท้ ๆ มาข้าก็ไม่ยอมรับ อีกอย่างท่านแม่ก็บอกว่า นอกจากท่านย่าเก๋อ พวกเราไม่มีญาติที่ไหน สตรีชั่วร้ายทั้งสองคนนี้ รีบคุกเข่าตรงหน้าข้าแล้วยอมจำนนเร็วเข้า” หนานหนานพูดด้วยความโกรธเสียงดังลั่น โดยเฉพาะสายตาที่เหลือบมองไปเห็นของเล่นที่กระจัดกระจายกองอยู่บนพื้นกองนั้นดูเจ็บปวดมาก ราวกับหัวใจกำลังจะแตกสลายให้ได้

เกลียดจนอยากจะแยกเขี้ยวกางกรงเล็บเข้าไปตะปบหน้าสองแม่ลูกคู่นั้น ทำให้พวกนางทั้งคู่ศิโรราบอยู่ที่เท้าเล็ก ๆ คนละข้าง

ชาวบ้านที่มามุงดูถึงกับหัวเราะออกมา ทั้งยังชี้มือชี้ไม้มาที่พวกเขา

เหวินเทียนมุมปากกระตุกวูบ จำนนอะไรกัน? ทว่าคำพูดของหนานหนานกลับทำให้เขาดวงตาเป็นประกาย อวี้ชิงลั่วกล่าวว่า นอกจากแม่นมเก๋อแล้ว พวกเขาก็ไม่มีญาติที่ใด ซึ่งก็หมายความว่านางไม่ได้รู้จักสองแม่ลูกคู่นี้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้ก็จัดการได้ง่ายขึ้นแล้ว

เหวินเทียนแค่นเสียงเย็น เฉินจีซินและบุตรีได้ยินเช่นนี้ โดยเฉพาะได้เห็นหนานหนานที่หยาบคายเช่นนี้ก็ยิ่งโกรธ จึงเข้ามาจับตัวเขา

เหวินเทียนหมุนตัวเพื่อหลบ แสงเย็นวาบปรากฏที่นัยน์ตาของเขา

“พวกเจ้ามัวทำอะไรอยู่ที่นี่? รู้หรือไม่ว่าขวางทางใคร?” ในเวลานี้เอง จู่ ๆ ข้างกายก็เกิดเสียงตวาดด้วยความโกรธเคืองดังขึ้น

………………………………………………………………………………………………………………………

[1] เดิมทีอวี้ชิงโหรวพูดว่า ‘จ่ายเซี่ยง (宰相)’ ที่มีความหมายว่าอัครมหาเสนาบดี แต่หนานหนานกลับเข้าใจผิดคิดว่าอีกฝ่ายพูดว่า ‘จ่ายเตียวเซี่ยง (宰雕像)’ ที่แปลว่าเชือดรูปปั้น

[2] จิงจ้าวอิ่น (京兆尹) เจ้ากรมการพระนคร มีสถานะเทียบเท่ากับนายกเทศมนตรีของเมืองหลวงในปัจจุบัน

สารจากผู้แปล

เหมือนในชีวิตจริงก็เจอเหตุการณ์อะไรแบบนี้อยู่นะคะ ประเภททำผิดแล้วอาศัยเส้นสายใหญ่โตมากลับดำเป็นขาวเนี่ย

ใครมาอีกกันนะ?

ไหหม่า(海馬)