ตอนที่ 107 คุณชายอู๋จี้ (1)

หวนคืนชะตาแค้น

“ท่านอ๋องเล่า…ท่านอ๋องกลับมาแล้วหรือไม่”

“ท่านอ๋องเพิ่งจะกลับมาเพคะ”

จูหมิงเยียนผลักสาวใช้ที่อยู่ข้างหน้าออกไปให้พ้นทาง แล้วรีบรุดหน้าไปที่ห้องทรงอักษรของมู่หรงอวี้ทันที

ในห้องทรงอักษร มู่หรงอวี้กำลังสนทนากับนายทหารผู้ช่วยในกองบัญชาการและผู้ใต้บังคับบัญชาของตนอยู่ ในช่วงสองปีที่ผ่านมาจวนกงอ๋องนั้นราบรื่นเป็นอย่างมาก จนกระทั่งหลายสิ่งหลายอย่างอุบัติขึ้นอย่างกะทันหันในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ทำให้มู่หรงอวี้นั้นหงุดหงิดเป็นอย่างมาก เขาไม่เคยคิดเลยว่าตนจะถูกจัดการอย่างละเอียดหมดจดเช่นนี้

“ท่านหลิน เรื่องในครั้งนี้พวกท่านคิดเห็นอย่างไร” มู่หรงอวี้เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง บุรุษวัยกลางคนสองคนนั่งอยู่ด้านหน้าของมู่หรงอวี้ คนหนึ่งดูอายุราวห้าสิบปี มีจอนผมสีขาวและรอยย่นลึกบนใบหน้าซึ่งทำให้เขาดูแปลกประหลาดและน่าเกลียดเล็กน้อย บุรุษอีกผู้หนึ่งอายุราวสามสิบปีต้นๆ เขานั้นยังดูอ่อนเยาว์อยู่มาก นับได้ว่าหล่อเหลาด้วยซ้ำ แต่ใบหน้าที่หล่อเหลานั้นไม่ได้แสดงถึงความอ่อนแอดุจอากาศธาตุที่อ่อนโยนและดูสูงส่งเสมือนกับมู่หรงอวี้ แต่มันกลับตรงกันข้ามกัน มันทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัดอย่างประหลาด

บุคคลทั้งสองนั้นเป็นผู้ช่วยที่เชื่อถือได้มากที่สุดของมู่หรงอวี้ ในใต้หล้านี้มีคนฉลาดปราดเปรื่องและมีความสามารถมากมาย แต่ด้วยเหตุผลหลายประการ พวกเขาเหล่านั้นไม่สามารถเข้าไปในห้องพิจารณาคดีและไม่สามารถแม้แต่จะก้าวเดินออกมาภายใต้แสงสว่างอย่างเปิดเผยได้ ทางออกหนึ่งสำหรับคนเหล่านี้คือการเป็นผู้ช่วยของตระกูลที่มีอำนาจ ชายวัยกลางคนผมหงอกนั้นแซ่หลิน นามว่าหลินตวน เขานั้นติดตามมู่หรงอวี้มาตั้งแต่มู่หรงอวี้ยังเยาว์วัย มีครั้งหนึ่งที่เขาได้ให้คำแนะนำที่ช่วยชีวิตมู่หรงอวี้เอาไว้ อาจจะกล่าวได้ว่า ที่จวนกงอ๋องสามารถมีอำนาจเฉกเช่นทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งก็มาจากคำแนะนำของเขา

ส่วนบุรุษหนุ่มนั้นแซ่จู มีนามว่าจูหมิงรุ่ย เป็นหลานชายของจูอวิ๋นผิน มารดาของมู่หรงอวี้ ซึ่งเป็นคนที่มีความสามารถค่อนข้างมาก หากเขาได้อยู่ในตระกูลจูในจวนของผิงหนานจวิ้นอ๋อง ในยามนี้เขาอาจจะเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสที่ดีที่สุดในเมืองหลวง แต่น่าเสียดายที่แม้ว่าเขาจะเกิดในตระกูลของจูอวิ๋นผินและมีแซ่จู กระนั้นก็ราวกับยังห่างไกลนัก เมื่อจูหมิงรุ่ยอายุได้สิบสี่สิบห้าปี เขาก็ต่อสู้กับบุตรคนโตของตระกูลจวนอ๋องในเมืองหลวงแล้วถูกตีขาจนหักข้างหนึ่งจึงทำให้เขาเดินกะเผลก แน่นอนว่าเขาจึงไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับอำนาจในตระกูลนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก เขานั้นเป็นได้เพียงผู้ใต้บังคับบัญชาในจวนกงอ๋อง ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของมู่หรงอวี้เท่านั้น

แม้ว่าจูหมิงรุ่ยจะไม่ได้สมัครใจ แต่เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ ท่านอ๋องส่วนใหญ่เป็นพระญาติของฮ่องเต้แคว้นหวา แม้ว่าจะไม่ได้มีอำนาจมากนักแต่คนอื่นในตระกูลจูก็ไม่สามารถเทียบได้ ถึงพวกเขาจะเป็นลูกพี่ลูกน้องของกงอ๋องและหนิงอ๋องก็ตาม เช่นนั้นความหวังทั้งหมดของจูหมิงรุ่ยจึงถูกตรึงไว้กับความสำเร็จของกงอ๋อง เมื่อยามนั้นมาถึงก็จะถือได้ว่ามีอำนาจดุจมังกร กงอ๋องก็จะต้องให้เกียรติแก่ตระกูลของมารดาของตัวเองเช่นกัน เมื่อถึงเวลานั้นเขาก็จะถือว่าเป็นผู้ได้รับชัยชนะให้สมกับหลายปีที่จูหมิงรุ่ยอุทิศตนและจงรักภักดีเสมอมา

หลินตวนขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “พระชายากล่าวว่า…คนผู้นั้นอ้างว่าเป็นกู้หลิวอวิ๋น ท่านอ๋องคิดว่าเรื่องนี้มีความเท็จจริงอยู่กี่ส่วนหรือพ่ะย่ะค่ะ”

มู่หรงอวี้ขมวดคิ้ว ส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “กู้หลิวอวิ๋นเสียชีวิตไปนานแล้ว เรื่องนี้จึงควรจะเป็นเรื่องโกหก”

หลินตวนพยักหน้ารับ กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “เช่นนั้นคงต้องมีคนต้องการยืมชื่อของคนในตระกูลกู้ อย่างไรก็ตามชื่อของตระกูลกู้นั้นก็สืบหาไม่ง่ายเลย อย่างน้อยก็พิสูจน์ได้ว่าบุคคลผู้นี้ต้องคุ้นเคยกับตระกูลกู้เป็นอย่างดี”

จูหมิงรุ่ยเลิกคิ้วขึ้นแล้วกล่าวว่า “ถึงแม้จะมีคนไม่มากในตระกูลกู้ แต่พวกเขาน่าจะตายไปเกือบหมดสิ้นแล้ว แต่กู้มู่เหยียนมีชีวิตอยู่มาหลายทศวรรษ มีผู้ใต้บังคับบัญชาในใต้หล้าอยู่มากมาย หากมีคนต้องการล้างแค้นให้ตระกูลกู้อย่างลับๆ เกรงว่าพวกเราจะค้นหาไม่ง่ายนัก”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลินตวนก็อดถอนหายใจตามไม่ได้ หากมันง่ายที่จะค้นหาคนออกมา พวกเขาคงไม่ต้องมานั่งปรึกษากันที่นี่ หลังจากคร่ำครวญอยู่ครู่หนึ่ง หลินตวนจึงกล่าวว่า “ในเมื่อท่านอ๋องไม่สามารถค้นหาคนผู้นั้นได้ ก็อย่าได้ใส่ใจเลยพ่ะย่ะค่ะ สิ่งที่ท่านอ๋องต้องระวังก็คืออีกฝ่ายจะมีการเคลื่อนไหวในภายภาคหน้าหรือไม่ กระหม่อมรู้สึกได้ว่า…อีกฝ่ายใช้ความคิดอย่างมากในการทำสิ่งเหล่านี้ มันไม่ง่ายเลยที่จะหยุดได้ ยังมีกู้ซิ่วถิง…หากเรื่องของหนิงอ๋องถูกจัดฉากโดยอีกฝ่าย กู้ซิ่วถิงจะต้องตกไปอยู่ในมือของอีกฝ่ายหนึ่งแล้วเป็นแน่”

“สมบัติของตระกูลกู้และจิ่วจ่วนหลิงหลงอยู่ในพระหัตถ์ของเสด็จพ่อแล้ว กู้ซิ่วถิงยังจะมีประโยชน์อันใดอีกเช่นนั้นหรือ”

มู่หรงอวี้ขมวดคิ้วขึ้น เขามีความคิดแปลกๆ ผุดขึ้นมาในใจ จ้องมองไปที่หลินตวนและจูหมิงรุ่ย ก่อนที่จะกล่าวว่า “ท่านทั้งสองคิดว่าเวลาและสถานที่ที่สมบัติของตระกูลกู้และจิ่วจ่วนหลิงหลงปรากฏขึ้น…เป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่” ยามนี้เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันก็เหมือนกับการมอบสมบัติที่หายากสองชิ้นให้มาโดยไม่มีประโยชน์อะไร หากตกไปอยู่ในมือขององค์ชายหรือราชทูตก็อาจทำให้เกิดข้อพิพาทได้ แต่เมื่อมันตกอยู่ในมือของเสด็จพ่อ ก็ไม่ต่างอะไรกับการให้มาโดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทน

หลินตวนและจูหมิงรุ่ยพลันตกใจ หลินตวนลุกขึ้นยืนทันที ท่าทางของเขาเปลี่ยนไป มองไปที่มู่หรงอวี้พลางกล่าวว่า “ท่านอ๋อง…เป็นไปได้หรือไม่ว่าแผนที่สมบัติและจิ่วจ่วนหลิงหลง…”

มู่หรงอวี้จ้องมองไปที่หลินตวนแล้วพูดว่า “จะเป็นไปได้อย่างไรกัน”

หลินตวนกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากแล้วกล่าวว่า “มันอาจจะเป็นของปลอมก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”

“ของปลอม?” มู่หรงอวี้กล่าวอย่างเหม่อลอย แม้ว่าหลินตวนและจูหมิงรุ่ยจะเป็นคนที่มู่หรงอวี้ไว้ใจมากที่สุดก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่ามู่หรงอวี้กำลังคิดสิ่งใดอยู่ เมื่อหลินตวนนึกถึงวันงานฉลองของโอรสมังกร ใบหน้าของเขาพลันซีดลง มองไปที่มู่หรงอวี้แล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ตั้งแต่ต้นจนจบพวกเรานั้นทำเรื่องผิดพลาดไปเสียแล้ว จุดประสงค์หลักของการจัดฉากหลายๆ อย่างของอีกฝ่ายไม่ใช่เพื่อสร้างความวุ่นวายในเมืองหลวงหรือเพื่อจัดการกับจวนกงอ๋อง แต่เพื่อ…ช่วยเหลือกู้ซิ่วถิง” หากต้องการจัดการกับจวนกงอ๋อง ไม่จำเป็นต้องจัดวางกลยุทธ์ที่เหมือนจะซับซ้อนแต่กลับสามารถเข้าใจได้ง่ายเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่เกรงกลัวสิ่งที่จวนกงอ๋องนั้นสืบทราบ ไม่เช่นนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยชื่อของกู้หลิวอวิ๋นออกมา อีกฝ่ายเพียงแค่ต้องการทำให้คู่ต่อสู้ราวกับเป็นอัมพาตในช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อการช่วยเหลือสำเร็จ มันก็ไม่สำคัญอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะเป็นการโยนจิ่วจ่วนหลิงหลงมาเป็นเหยื่อล่อ หรือว่าจะเป็นการจัดฉากกับพระชายากงและหนิงอ๋อง ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ล้วนเพื่อช่วยเหลือกู้ซิ่วถิง สำหรับคนอื่นๆ มันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญทั้งหมด แต่อย่างไรก็ตาม หากคนผู้หนึ่งสามารถนำปัญหามากมายมาสู่จวนกงอ๋องได้โดยไม่ต้องวางเส้นทาง หลินตวนคงจะต้องตกใจมากยิ่งขึ้นไปอีก หากคนผู้นี้ตั้งใจจะเป็นศัตรูของจวนกงอ๋องจริงๆ ก็อาจจะเป็นศัตรูตัวฉกาจของจวนกงอ๋องอย่างแน่นอน

การคาดการณ์เช่นนี้ทำให้การแสดงออกของทั้งสามคนในห้องทรงอักษรดูเคร่งขรึมขึ้นมาทันที อีกฝ่ายที่ไม่สามารถระบุตัวตนและไม่อาจหยั่งรู้ได้นั้นเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อจวนกงอ๋อง

“หากการคาดการณ์ของหลินตวนเป็นจริง คนผู้นี้จะต้องได้รับการลงโทษอย่างหนักจากฝ่าบาท ไม่ต้องพูดถึงพวกเรา ฝ่าบาทเองก็คงจะไม่ยอมปล่อยเขาไป!” จูหมิงรุ่ยกล่าวอย่างเย็นยะเยือก

มู่หรงอวี้เอ่ยอย่างใจเย็นว่า “ในเมื่อเขากล้าทำเช่นนี้ ข้าเกรงว่า…เขาจะไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเสด็จพ่อ หรือไม่ก็เขาคงมีวิธีรับมือ” ทุกวันนี้ไม่ใช่เพียงจวนกงอ๋องเท่านั้นที่แอบสืบหาคนผู้นี้ ผู้อื่นก็กำลังสืบหาคนผู้นี้อยู่เช่นกัน แต่ไม่มีผู้ใดพบเบาะแสเลย ผลลัพธ์ที่ได้มานั้นคือความว่างเปล่า ถึงแม้ว่าฮ่องเต้แคว้นหวาจะส่งคนไปตรวจสอบด้วยตัวเอง ก็ไม่สามารถสืบอะไรได้เลย

“พระชายา เข้าไปไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!” ที่ทางเข้าห้องทรงอักษร องครักษ์ที่เฝ้าอยู่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงลำบากใจ

“ถอยออกไป!” เสียงของจูหมิงเยียนเกรี้ยวกราด ในเวลานี้ในห้องทรงอักษรพลันเงียบลง หลินตวนจึงกล่าวว่า “พระชายาคงจะทราบเกี่ยวกับการอภิเษกสมรสของท่านอ๋องแล้ว”

จูหมิงรุ่ยขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “หากทราบแล้วจะเป็นอย่างไร จะขัดต่อพระบัญชาได้? ยิ่งไปกว่านั้น ผลประโยชน์ของท่านอ๋องที่ได้จากการอภิเษกสมรสครั้งนี้ นับว่าเป็นผลดีอย่างมากต่อจวนกงอ๋องอีกด้วย” พวกเขาพยายามที่จะเอาชนะตระกูลหลี่ แต่ในยามนั้นยังไม่มีจุดที่จะเริ่มต้นได้ แม้แต่การเกี่ยวดองระหว่างตระกูลหลี่และจวนซู่เฉิงโหวก็นับว่าเป็นเรื่องที่ไร้ค่า แต่ในยามนี้ฮ่องเต้ประทานตระกูลหลี่ให้กับท่านอ๋อง ซึ่งมันก็เป็นดั่งการช่วยเหลือจากทวยเทพ ไม่ว่าจะกรณีใด การอภิเษกสมรสระหว่างตระกูลหลี่และจวนกงอ๋องนั้นจะต้องทำให้สำเร็จให้จงได้

ตอนต่อไป