ตอนที่ 108 คุณชายอู๋จี้ (2)

หวนคืนชะตาแค้น

ขณะที่ทั้งสามคนกำลังสนทนากัน จูหมิงเยียนก็ได้บุกเข้าไปในห้องทรงอักษรแล้ว แม้ว่าจูหมิงเยียนจะถูกลดตำแหน่งพระชายาโดยฮ่องเต้ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ยังเป็นนายหญิงของจวนกงอ๋องอยู่ นอกจากนี้ก็ยังมีตำแหน่งจวิ้นจู่ของจวนผิงหนานจวิ้นอ๋อง องครักษ์จึงไม่กล้าที่จะหยุดยั้งนางด้วยความรุนแรง

“เจ้ามาที่นี่ทำไม” จูหมิงเยียนผลักประตูเข้ามาในห้องทรงอักษร เมื่อเห็นหลินตวนและจูหมิงรุ่ยนั่งอยู่กับมู่หรงวอวี้ก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แต่เพราะคำพูดของมู่หรงอวี้ นางจึงไม่สามารถอดกลั้นดวงตาแดงก่ำได้

“ท่านต้องการอภิเษกกับหลี่จืออี๋งั้นหรือเพคะ” จูหมิงเยียนเอ่ยถามด้วยดวงตาที่แดงก่ำคลอไปด้วยน้ำตา

มู่หรงอวี้หยุดชะงักไปชั่วครู่ ก่อนที่จะพยักหน้ารับ “นี่เป็นพระประสงค์ของเสด็จพ่อ”

แน่นอนว่าจูหมิงเยียนทราบดีว่านี่คือพระประสงค์ของฮ่องเต้แคว้นหวา นางจ้องไปที่มู่หรงอวี้แล้วเอ่ยถามว่า “แล้วท่านต้องการที่จะอภิเษกสมรสกับนางหรือไม่” มู่หรงอวี้ไม่ตอบ แต่มองไปที่จูหมิงเยียนอย่างสงบนิ่ง แต่สายตากลับปรากฏคำตอบอย่างชัดเจน นางทราบอยู่แล้วว่ามู่หรงอวี้เองก็พอใจกับการอภิเษกสมรสที่ฮ่องเต้ทรงประทานให้ พอใจอย่างมากเสียด้วยซ้ำ หลี่จืออี๋ แม้จะเป็นบุตรีของตระกูลอันทรงเกียรติในชิงหลิว แต่รูปร่างหน้าตานั้นไม่ได้งดงามไปกว่านางเลย กระนั้น หลี่จืออี๋ก็นับได้ว่าเป็นหญิงสาวที่งดงามผู้หนึ่ง นอกจากนี้ยังมีชื่อเสียงของคุณหนูตระกูลหลี่ที่ได้รับการยกย่องจากไทเฮาว่าเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์และกตัญญูกตเวที ซึ่งเทียบไม่ได้กับตัวตนที่น่าอับอายอย่างนางในยามนี้ เมื่อเทียบกับกู้อวิ๋นเกอซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะหญิงสาวที่มีความสามารถอันดับหนึ่งในเมืองหลวงเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลี่จืออี๋ถือได้ว่าเป็นหญิงสาวที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดอยู่ในใจของเหล่าตระกูลผู้ทรงอำนาจอันสูงส่ง กู้อวิ๋นเกอนั้นงดงามและฉลาดหลักแหลมเกินไป ส่วนหลี่จืออี๋นั้นก็เป็นไปตามนามของนาง ทราบเสมอว่านางควรทำอย่างไร วางตัวเยี่ยงไร ซึ่งเป็นดั่งแบบอย่างที่ไทเฮาทรงชื่นชอบเป็นการส่วนพระองค์

การอภิเษกสมรสกับหญิงสาวเช่นนี้ถือว่าเป็นโอกาสที่จะทำให้ชื่อเสียงของกงอ๋องกู้กลับคืนมาได้อย่างแน่นอน ในภายภาคหน้าตราบใดที่หลี่จืออี๋ไม่ได้ทำผิดพลาด เรื่องราวน่าขายหน้าของจวนกงอ๋องก็จะถูกลืมเลือนไปในไม่ช้า

ทั้งสองมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง หลินตวนและจูหมิงรุ่ยต่างก็เข้าใจว่านี่ไม่ใช่เวลาที่พวกเขาจะอยู่ตรงนี้ ดังนั้นทั้งคู่จึงลุกขึ้นแล้วขอตัวจากไป

“ไม่…ไม่อภิเษกกับนางไม่ได้หรือเพคะ” หลังจากผ่านไปนาน เสียงของจูหมิงเยียนก็ดังขึ้นในห้องทรงอักษร จูหมิงเยียนมองไปยังบุรุษรูปงามที่ดูอ่อนโยนอย่างอ้อนวอน

ไม่ใช่ว่านางไม่ต้องการให้เขาหาพระชายาใหม่ นางทราบดีว่าวันหนึ่งเขาจะอภิเษกสมรสกับพระชายาอีกผู้หนึ่ง แต่นางก็ยังหวังว่าเขาจะอภิเษกสมรสในเวลาอื่น แทนที่จะเป็นในยามนี้…ในขณะนี้จูหมิงเยียนตระหนักได้ว่า

หากหลี่จืออี๋เข้ามาในจวนยามนี้ นางคง…จะต้องเสียเขาไป แม้ว่าความจริงแล้วตนอาจจะไม่เคยได้ครอบครองเขามาก่อนเลยก็ตาม

มู่หรงอวี้ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยอย่างแผ่วเบา “หมิงเยียน หยุดสร้างปัญหาเถิด นี่เป็นพระประสงค์ของเสด็จพ่อ”

“แต่ท่านก็ดูมีความสุขไม่น้อย!” จูหมิงเยียนกรีดร้องแล้วกล่าวต่อว่า “ท่านมีความสุขที่ได้อภิเษกกับหลี่จืออี๋ใช่หรือไม่ เช่นเดียวกับการอภิเษกสมรสกับหม่อมฉันในตอนนั้น และยังเป็นเช่นเดียวกับการหมั้นหมายกับกู้อวิ๋นเกอในยามนั้น! ทุกอย่างมีไว้เพื่อเพิ่มพูนสถานะของท่าน เพื่ออำนาจของท่าน ท่านไม่เคยชายตามองหม่อมฉันเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ต้องการใช้หม่อมฉันเพื่อจัดการกับตระกูลกู้และกู้อวิ๋นเกอ…”

เพี๊ยะ! จูหมิงเยียนโดนตบหน้าอย่างแรง ดวงตาของมู่หรงอวี้เย็นชาดุจน้ำแข็ง “หุบปาก ก่อนหน้านี้ข้าบอกกับเจ้าแล้วว่าอย่าเอ่ยถึงนามของนางอีก เจ้าไม่เคยจำเลยหรือ หากเจ้าฉลาดได้เพียงครึ่งนึงของนางเจ้าก็คงจะไม่ต้องตกต่ำเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ในยามนี้”

จูหมิงเยียนกุมใบหน้าที่บวมแดงของนางไว้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มู่หรงอวี้ทำร้ายนาง กงอ๋องที่ภายนอกนั้นดูอ่อนโยน แต่ภายในนั้นไม่เคยเป็นคนที่อ่อนโยนเลย ดูเหมือนว่าทุกครั้งที่มู่หรงอวี้ลงไม้ลงมือกับนางก็เป็นเพราะ…กู้อวิ๋นเกอ

หลังจากนั้นไม่นาน จูหมิงเยียนก็ชี้ไปที่มู่หรงอวี้พลางหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง น้ำตารินไหลออกมาจากดวงตาของนางอย่างไม่หยุด “ฮ่าๆ ท่านตื่นตระหนกทุกครั้งที่เอ่ยถึงกู้อวิ๋นเกอ ท่านเสียใจอย่างนั้นหรือ นางตายแล้ว…ท่านเสียใจใช่หรือไม่ ท่านพี่…ท่านเองก็เสียใจที่นางตายเช่นกัน เพราะเป็นท่านเองที่สังหารนางด้วยน้ำมือของตัวเอง ตอนที่นางถูกไฟคลอกตาย ท่านก็อยู่ตรงนั้นไม่ใช่หรือ เป็นท่านที่เฝ้าดูนางไฟคลอกจนตาย! แต่ในยามนี้ท่านเดือดดาลให้ใครดูหรือเพคะ”

“ข้าบอกให้หุบปาก!” มู่หรงอวี้บีบคอเรียวของจูหมิงเยียนด้วยมือข้างหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เจ้ามักจะพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดผิดเวลา เจ้าคิดว่าตัวเองฉลาด อิจฉาผู้ที่เก่งกาจกว่าตัวเอง หากข้าได้อภิเษกสมรสใหม่กับหญิงสาวธรรมดาทั่วไป เจ้าก็คงจะไม่ตื่นตระหนกเช่นนี้กระมัง หากเจ้าไม่เป็นพระชายาที่เชื่อฟัง ก็กลับไปบ้านเกิดของเจ้าเสีย”

จูหมิงเยียนกัดฟัน “ท่านไม่เกรงกลัวท่านพ่อ…?”

มู่หรงอวี้กล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา “คิดว่าเขาจะเชื่อเจ้า? สิทธิพิเศษที่ข้ามอบให้กับจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องไม่เพียงพออย่างนั้นหรือ อันที่จริงข้าคิดจะเตือนเจ้ามาโดยตลอดว่า จูเปี้ยนให้ความสำคัญกับเจ้ามากแต่…ระหว่างเจ้ากับจวนผิงหนานจวิ้นอ๋อง เจ้าคิดว่าเขาจะเลือกอะไรกัน” จวนผิงหนานจวิ้นอ๋องนั้นผูกติดกับจวนกงอ๋องมาช้านาน แม้ว่าจูเปี้ยนต้องการจะหนีไปฝักใฝ่เข้าข้างผู้อื่น แต่เขาก็ไม่มีเบี้ยต่อรองมากพอ และก็ไม่มีผู้ใดเชื่อวางใจเขา ยิ่งไปกว่านั้นมู่หรงอวี้ยังสามารถกล่าวได้ว่าเขาทำเรื่องนี้ได้อย่างดีเยี่ยม แม้แต่จูเปี้ยนก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ ถึงจูเปี้ยนจะรักบุตรีเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ยังเป็นบุรุษ โดยพื้นฐานแล้วแนวคิดนี้จึงแตกต่างจากจูหมิงเยียน

“เจ้า…ช่างต่ำช้านัก!” จูหมิงเยียนกล่าวด้วยความโกรธเคือง

มู่หรงอวี้ปล่อยนางแล้วจึงเอ่ยว่า “ทำหน้าที่เป็นพระชายารองของข้าให้ดี แล้วอย่าสร้างปัญหาให้กับข้าผู้นี้อีก”

เมื่อมองไปยังใบหน้าที่เย็นชาไร้ความปราณีของเขา จูหมิงเยียนก็รู้สึกโดดเดี่ยวในหัวใจ แต่นางก็ยังไม่สามารถอดทนต่อความเกลียดชังที่ปรากฏขึ้นมาอย่างแรงกล้าที่มีต่อบุรุษผู้นี้ได้ ครั้งหนึ่งนางเคยดูถูกดูหมิ่นหญิงสาวที่ถูกสามีรังแกแต่ไม่กล้าขัดขืน นางไม่เคยเข้าใจจนกระทั่งเกิดขึ้นกับตัวเอง ความภาคภูมิใจตัวเองในอดีตนั้น…ราวกับไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง

เดิมทีแค่ต้องการมาหามู่หรงอวี้เพื่อก่อความวุ่นวาย แต่สุดท้ายแล้วจูหมิงเยียนทำได้เพียงแค่ซ่อนสีหน้าของตนแล้วกลับไปร้องไห้ที่ห้องของตัวเอง ในใต้หล้านี้ มีหญิงสาวไม่กี่คนที่สามารถเอาชนะข้อพิพาทกับบุรุษได้ ถึงแม้ว่าจะชนะ ก็ไม่ได้ชนะเพราะคุณค่าในตัวของหญิงสาว แต่เป็นเพราะภูมิหลัง อำนาจและความมั่งคั่งของสกุลเดิม

*****

เพื่อที่จะเคลื่อนย้ายไปรอบๆ เมืองหลวงได้บ่อยครั้ง มู่ชิงอีลงทุนเป็นจำนวนมากเพื่อซื้อจวนที่มีสวนดอกไม้ที่อยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง ป้ายจวนตระกูลจังถูกแขวนไว้อยู่บนประตู โดยอ้างว่าเป็นบุตรชายคนเล็กของตระกูลจังในเมืองอิ๋งโจว

เมืองอิ๋งโจวนั้นแตกต่างจากเมืองอื่นๆ แม้ว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นหวา แต่ก็เป็นเกาะที่ห่างไกลจากแคว้น ถึงราชสำนักจะส่งขุนนางไปควบคุมดูแล แต่ฮ่องเต้นั้นทรงอยู่ไกล ขุนนางในราชสำนักนั้นจึงมีบทบาทที่จำกัดเป็นอย่างมาก หากจะสู้กับกองทัพเรือของแคว้นหวาในสงครามทางน้ำก็พอจะสู้ได้ แต่มันก็จะเป็นเรื่องน่าปวดหัวพอๆ กับการตกลงไปในท้องทะเล และต้นทุนของการทำสงครามทางน้ำนั้นสูงมากเช่นกัน ดังนั้นกลวิธีของราชสำนักอิ๋งโจวจึงมีการผ่อนปรนให้บางส่วน หลายทศวรรษที่ผ่านมาผู้ปกครองที่ทรงอำนาจคือประมุขตระกูลจวงซึ่งเป็นตระกูลของเจิ้นไห่จวิ้นอ๋อง ด้วยวิธีเช่นนี้ อิ๋งโจวจึงเปรียบเสมือนเจ้าแคว้นที่ได้รับความไว้วางใจมาแต่โบราณกาล

อิ๋งโจวนั้นระยะทางห่างไกลจากแคว้นหวา การเดินทางจึงไม่สะดวกเป็นอย่างมาก ต้องใช้เวลาไปมาสองถึงสามเดือนในการเดินทาง อีกทั้งยังมีประชากรจำนวนมาก รวมถึงตระกูลที่มากมายหลากหลาย มู่ชิงอีจึงแค่เอ่ยชื่อตระกูลจังแห่งอิ๋งโจวขึ้นมาอย่างตามใจปากและก็ไม่เกรงกลัวที่ถูกเปิดโปง ถึงแม้ว่ารูปลักษณ์ผิวพรรณขาวผ่องละเอียดของมู่ชิงอีนั้นจะแตกต่างเล็กน้อยกับสีผิวของคนบนเกาะ แต่ก็แค่หาข้อแก้ตัวที่เหมาะสมสักข้อ จะมีผู้คนสักกี่คนที่ใส่ใจเกี่ยวกับตัวตนของเด็กชายที่อายุเพียงแค่สิบสามสิบสี่ปีกัน

ตอนต่อไป