แผนโค่นล้มบรรพตสละฟ้าของสามตระกูล เดิมตั้งใจว่าจะเลื่อนออกไปก่อน เพื่อลดการสูญเสียให้น้อยที่สุด
ใครจะไปนึก ถังไม้ไม่กี่ถังเมื่อเย็นกลับสามารถยั่วยุยอดฝีมือกลั่นดวงธาตุจนเต้นผางหนวดเครากระดิก มีหรือจะยังสนใจแผนการอันใดนั่นอีก
บังเอิญกับที่เคลื่อนขบวนมายังจุดเดียวกัน ประมุขทั้งสามจึงนำเหล่าอาวุโสบุกมาถึงสวนหย่อมขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของตัวเมืองทันที
แสงดาวร่มไม้ระยับไหว ส่องกระทบแพขนตาและดั้งจมูกที่ตั้งตรงของฉินจิ่วเกอ
ฉินจิ่วเกอกลอกตาไปมาอย่างใจร้อน เอนกายพิงกับลำต้นพฤกษา ขยับแข้งขาไล่ความเมื่อยขบตามข้อตามกระดูก
แหงนหน้ามองฟ้า ปรากฏเส้นแสงกึ่งโปร่งใสพาดผ่านห้วงจักรวาลอันกว้างใหญ่ ที่แบ่งคลื่นทะเลดวงดาวออกไป คือทางช้างเผือกอันสุกสกาว
สายลมหอบหนึ่งพัดมา ฉินจิ่วเกอกางแขนออกรับลม
เริ่มที่ซวนหวง จึงมีไอวิญญาณพร้อมกับไท่จี๋ แบ่งออกเป็นห้วงโกลาหล สะบั้นหยินหยางสร้างชั้นอากาศ
“ขณะที่รอบด้านกำลังสวยสดงดงาม กลับมีปีศาจภูติผีมาผจญ เพิ่งจะได้ปิดตาลงพักผ่อน กลับต้องพังไม่เป็นท่าเพราะเสียงนกกา”
ฉินจิ่วเกอยามนี้กำลังยืนถือมีดคอยอยู่นอกสวนท่ามกลางเสียงลมใบไม้ไหว
รองเท้าผ้าสีขาวตัดกับผืนศิลาเขียวแก่ อาภรณ์ขาวกลืนหายไปกับเงามืดใต้ร่มไม้
“ทารกน้อยเจ้าเป็นใคร รายงานชื่อแซ่มา” ประมุขหอกลืนตะวันสารรูปเลวร้ายที่สุด บนตัวอาบชโลมไปด้วยไขต้านความหนาว เรียกได้ว่าลมหนาวพัดมายังไม่รู้สึกรู้สา
ฉินจิ่วเกอขยับเท้า ก้าวเดินออกจากร่มเงา บนศีรษะมีวงแหวนทางช้างเผือกลอยแขวนอยู่ “หัตถ์คู่นี้ถือกุมเอกภพ ทวบาทเหยียบย่ำทำลายมีดทองคำ ท่องไปในเผิงไหลแดนเทพเซียนเสาะหาเทพผู้ศักดิ์สิทธิ์ ขับขานบทเพลงเก้าสวรรค์เด็ดลูกท้อเซียนอมตะของเจ้าจอมมารดาทิศประจิม”
“ก็แค่เด็กน้อยพิสุทธิ์ไพศาล จะมาทำตัวลึกลับเป็นปริศนาธรรมพระแสงอะไร ฆ่ามัน” ต่อหน้าลำแสงเปี่ยมศักดานุภาพบนกระหม่อม ประมุขตำหนักผนึกน้ำแข็งดาหน้าเข้าหาไร้หวาดกลัว รู้สึกอะไรๆ ก็ขวางหูขวางตาไปหมด
ประมุขวังสุนัขป่าที่เป็นพวกหน้าบาง ได้แต่ยืนหลบอยู่แนวหลัง ไม่มีหน้าออกไปพบใคร
แต่ก็ยังได้ยินเสียงมันเอ่ยออกมาว่า “ระดับฝึกปรือกลั่นดวงธาตุของเราล้วนสำแดงออกมาอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้ง ไม่มีทางที่เจ้าเด็กนั่นจะไม่เห็น ในเมื่อมันกล้าออกมา เชื่อว่าต้องมีแผนบางอย่างอยู่แน่”
“ประมุขขุนเขาสละฟ้าพวกนั้นก็ไม่อยู่ที่นี่ มันที่แท้เป็นใครกันแน่? ” แล้วอยู่ๆ ประมุขหอกลืนตะวันก็รู้สึกว่าตนเองอาจคิดผิดที่ดันออกมายืนอยู่หน้าสุด
ฉินจิ่วเกออาบไล้อยู่กลางสายลมวสันต์ อาภรณ์ขาวเคลื่อนคล้อยไปตามลม ราวกับวิหคยักษ์ในตำนานเล่าขานที่โผบินขึ้นไปถึงยอดนภา แล้วเปลี่ยนท่วงท่าพันหมื่นแปร ครอบครองภูมิทัศน์ทั่วทิศทางไว้เพียงหนึ่ง
แสงตะวันทอดตัวลง เว้นเพียงตัวเมืองที่ไม่กล้าส่องต้อง แววตาของทุกคนฉายแววตื่นตัว ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครชิงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นก่อน
ขวดน้ำเต้าขนาดไม่ถึงฝ่ามือที่ห้อยแขวนไว้กับเอวถูกเคาะไปมาเป็นจังหวะโทนเดียว ควบคู่ไปกับเสียงขับขานของฉินจิ่วเกอที่ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง
“เพลงทวนกระบี่ใช่จะเคยเรียน ถึงยามรบ สุราเลิศรสใช่จะเคยเตรียม วารีสวรรค์หลุดมือไป วิถีธาตุทองคำยิ่งไม่ริษยา ทอดตามองตะวันลาลับ จักรพรรดิผู้ครองเมือง เทพเซียนผู้อมตะ เป็นอิสระไร้พันธนาการผูกมัด เพียงกริ่งเกรงข้าพเจ้าผู้บริสุทธิ์ ผู้นอนทอดกายอยู่บนฝั่งเขา สูญกระบวยน้ำเต้าอันเป็นของคู่ใจ”
“เพลงพื้นเมืองห่วยแตกบ้านไหนของเจ้ากัน กลอนก็ไม่ใช่กลอน เพลงก็ไม่ใช่เพลง อาวุโส ไปจับเจ้าเด็กนี่มาให้ข้า! ”
ประมุขหอกลืนตะวันตอนนี้สภาพจิตใจสับสนยุ่งเหยิงไปหมด ไม่มีเวลามาเสียให้กับเจ้าเด็กสติฟั่นเฟือนตรงหน้า
พอลองคิดดูก็ถูก ใครที่ต้องพบเจอสถานการณ์อย่างเช่นวันนี้ เป็นต้องอยากกระโจนลงน้ำแล้วขัดสีฉวีวรรณกันให้สะอาดทั้งนั้น จะมีใครบ้างที่ปัญญาอ่อนรอให้เนื้อตัวแห้งไปเองตามธรรมชาติ
อาวุโสกลั่นดวงธาตุรับคำสั่ง เนื้อตัวเต็มไปด้วยคราบปฏิกูลอัดแน่น ทันทีที่ขยับตัวกลิ่นเหม็นตุก็แพร่กระจายไปทั่วหย่อมหญ้า จนเหล่าจักจั่นยังต้องลาลับจากโลกนี้ไปเพราะความเหม็น
ฉินจิ่วเกอยังคงร้องเพลงอย่างไม่สนใจใคร ประเดี๋ยวก็ผงกศีรษะขึ้นลง ประเดี๋ยวก็ปรบมือเป็นจังหวะ ก่อนจะหยิบน้ำเต้าแล้วใช้มีดที่ถูกลับจนคมปลาบขึ้นมาพลิกเอาหลังมีดเคาะลงไปเป็นจังหวะ
“หุ่นละครทะเลตะวันออกคลื่นถาโถม บ้านเขาตะวันตกข้างลำน้ำ ไม่หาเรื่อง ไม่ทิ้งนาม ไม่เมามายไหนเลยจะผ่านคืนวัน ผงคลีในโลกหล้าฟุ้งตลบ หลับใหลไม่ทันยามบ่าย แสงอาทิตย์สว่างไสวไร้ขีดจำกัด ประดุจดั่งผู้คนหัวร่อเบิกบาน”
“เด็กน้อยเจ้าที่แท้เป็นใคร?”
“ชายชาตรีเช่นข้า ยามเดินไม่เปลี่ยนชื่อ นั่งไม่เปลี่ยนแซ่ นามกรนั้นคือฉินจิ่วเกอเอง ยามนี้คือประมุขบรรพตสละฟ้า”
“ฉินจิ่วเกอ?” ตลอดทั้งในนอกของเมืองอวี่เกอ ผู้ใดบ้างไม่รู้จักนามนี้ ทุกผู้คนต้องถอยกายไปสามก้าว ยังหวาดกลัวกว่ามองเห็นส้วมอีก
อาวุโสกลั่นดวงธาตุท่านนั้น ชัดเจนว่าเคยพ่ายแพ้ต่อนามกรชั่วร้ายนี้ ต้องถลึงตากล่าวว่า “เจ้าก็คือฉินจิ่วเกอ ฉินจิ่วเกอที่คนร่ำลือกัน?”
ฉินจิ่วเกอยกมือแตะจมูกอย่างกระอักกระอ่วน คมของมีดเชือดหมูประชันประกายกับจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้า “หากไม่มีคนชื่อแซ่เดียวกันอีก ฉินจิ่วเกอที่ท่านว่า ก็คือข้าฉินจิ่วเกอ หรือจะเรียกฉินปาเตาก็ได้”
“ข้าจะฆ่าไอ้ตัวสองหน้าสามมีด ทำร้ายพวกข้าเสียจนยับเยิน พาลูกสมุนวิ่งซ้ายวิ่งขวาไปทั่ว ยามนี้มีแต่คนคิดรุมถล่มเจ้า!”
ปากของอาวุโสผู้นั้นผลิบานเป็นดอกบัว แสดงถึงท่าทีของคนที่ได้พบกับผู้วิเศษที่มีชื่อเสียงกระฉ่อนเข้าให้ ในใจย่อมตื่นเต้นยินดีเป็นล้นพ้น แทบหักห้ามใจไม่ให้บั่นศีรษะเจ้าเดียรัจฉานใจอำมหิตตรงหน้าแล้วเอามาทำเป็นชักโครกไม่อยู่
“อาวุโสท่านช่างมีวาทศิลป์ ขาดอีกเพียงนิดเดียว ก็จะเทียบข้าได้แล้ว” ฉินจิ่วเกอยกมือสางผมยาวสลวยเป็นม่านน้ำตกเบาๆ จากนั้นก็ปัดไปไว้ข้างหลังอย่างนวยนาด
“ตาย! ”
ยอดฝีมือกลั่นดวงธาตุพร้อมพลาอำนาจเหนือฟ้าพุ่งโถมเข้ามา เคล็ดวิชายุทธ์ระดับเจ็ดธรรมดาๆ แปรสภาพเป็นพลังเทวะที่พรากเอาแสงสีจากรอบด้านไปจนสิ้น
“พลังแห่งกฎเกณฑ์ เบิกฟ้าทลายสวรรค์ เบิกพสุธาทลายปฐพี เบิกชีพดับสูญ จงมา! ”
ความสง่ามีราศีที่ยอดฝีมือพึงมีก็ล้วนมีหมดแล้ว
เผชิญยอดฝีมือกลั่นดวงธาตุร่วมยี่สิบ ฉินจิ่วเกอขณะพูดคุยหัวเราะอย่างสบายอุรา ก็ขับขานเพลงพื้นเมืองอย่างปลอดโปร่งตามไปด้วย
สร้างความตกตะลึงจนกลั่นดวงธาตุหน้าเปลี่ยนสี เป็นอันเสร็จพิธีการกล่าวแนะนำตัว
ยามนี้ อัญเชิญมีดเชือดหมูออกมา ควรแก่เวลาแล้วที่คนพวกนี้จะได้ประจักษ์ว่าอะไรถึงเรียกศาสตราเทพ
“ไอ้เด็กวิปลาส คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน หรือเจ้าเองก็มีพลังแห่งกฎเกณฑ์กับเขาด้วย” อาวุโสผู้นั้นไม่เชื่อ ทั้งไม่กล้าเชื่อยิ่งกว่า
กับอีแค่เด็กพิสุทธิ์ไพศาลคนหนึ่ง แม้ตนเองจะมองอีกฝ่ายไม่ทะลุอยู่บ้าง แต่มดก็ยังเป็นมดอยู่วันยังค่ำ
ต่อให้วิวัฒนาการไปอย่างไร อย่างมากก็เป็นได้แค่มดตัวใหญ่ มีอันใดให้ต้องกลัว
ครืนน!
กระแสวายุทำลายล้างไร้สภาพควบแน่นอยู่บนปลายยอดของมีดสั้นเล่มนั้น
ระลอกไร้สภาพสั่นกระเพื่อมไปมาไม่หยุดยั้ง ราวกับว่าคมมีดได้บรรลุถึงขีดจำกัดที่ห้วงมิติจะทานรับไหว และสามารถตัดผ่าห้วงมิติได้เหมือนผ่าก้อนเต้าหู้ได้ทุกเมื่อ
วูบ
กระแสลมทมิฬหอบหนึ่งพัดผ่านมาเปลี่ยนให้ฟ้ากลายเป็นมืดหม่น เพียงชั่วพริบตา ดวงจันทร์และดวงดาราพร่างพรายก็ลับหายไปจากขอบฟ้า ราวกับได้หลบหนีไปยังที่แสนไกล ไม่กล้าอยู่เผชิญหน้า
อาวุโสกลั่นดวงธาตุใจกระตุกวูบ รับรู้ได้ถึงภัยคุกคามถึงฆาต
ขณะโจนทะยานเข้าหาฉินจิ่วเกอ พลันพบเห็นคมมีดที่เปลี่ยนเป็นสีเดียวกับท้องนภา ประกายคมปลาบเจิดจ้า แล้วดวงตาที่มีแต่ร่องรอยความชราก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกสั่นขึ้นมา
มีดเล่มนั้นไม่มีอันใดโดดเด่น ไม่มีลวดลายน่าแปลกตาตรงที่ใด
จะมีก็แค่ตรงรอยต่อระหว่างด้ามจับ กลิ่นเลือดอันเข้มข้นยังแผ่ซ่านออกมาไม่ขาดสาย แม้จะจับตัวเป็นคราบแข็งสีน้ำตาลไปแล้วก็ตาม
กระทั่งทำให้อาวุโสกลั่นดวงธาตุที่กำลังเหม่อลอยมีความรู้สึกว่ามีดเล่มนี้ย่อมสามารถตัดผ่าร่างของมันได้ทุกเมื่อ
ด้วยพลังแห่งมหาวิถีดวงธาตุทองคำ กระทั่งไม่อาจรับมือกับมีดเหล็กธรรมดาๆ ได้เชียวหรือ
ทำลาย!
ภายใต้เสียงสั่งการ วาจาบัญญัติกฎ ฟ้าดินเขย่าสั่น
เสมือนการตัดแผ่นกระดาษอันเรียบง่ายไร้อุปสรรค คมมีดก็ได้แหวกผ่านห้วงมิติ โดยไม่สนว่ารัศมีพลังนั้นจะหนาแน่นสักเพียงไหน
เกิดเสียงฉีกขาดสองครา คมกรีดเป็นเส้นตรง อาวุโสกลั่นดวงธาตุกรีดร้องโหยหวน ไม่คาดท่อนแขนของมันกลับถูกตัดขาดออกจากแล่ง!
แขนครึ่งท่อนของยอดฝีมือกลั่นดวงธาตุร่วงหล่นลงบนพื้นประดุจเศษขยะชิ้นหนึ่ง
เลือดไหลหยาดหยด เปลี่ยนให้พื้นศิลาเขียวครึ้มเป็นสีแดงฉานอย่างเงียบๆ
“ซี๊ด! ”
เกิดเสียงฮือฮาในหมู่คน อย่าบอกนะว่ามีดเชือดหมูในมือของเจ้าหนุ่มนั่นจะเป็นศาสตราศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุด?
ไม่ๆ ไม่ถูกต้อง ศาสตราศักดิ์สิทธิ์มีแต่มหาวิถีดวงธาตุทองคำเท่านั้นจึงจะควบคุมได้ แต่ถัดจากศาสตราศักดิ์สิทธิ์ ศาสตราบรรพกาลขั้นสูงสุดล้วนไม่อาจตัดผ่าไอวิญญาณในสภาวะข้นเหลวของมหาวิถีดวงธาตุทองคำได้ แล้วเหตุไฉนมันถึงสามารถตัดแขนอาวุโสจนขาดสะบั้นได้เช่นนี้?
หรือว่า.. นี่จะเป็นศาสตราเซียนในตำนาน?
สามประมุขกองกำลังใหญ่สำลักน้ำลายด้วยความตื่นผวา มีดที่คมกริบเล่มนั้นไม่จำเป็นต้องอาศัยประกายเยียบเย็นเพื่อสำแดงฤทธาอีก แค่หยาดเลือดหลายหยดจากกลั่นดวงธาตุก็เป็นการสังเวยต่อมัน จนไม่มีผู้ใดกล้าจ้องมองตรงๆ อีก
“ทารกน้อย เจ้าคิดจะทำอะไร? ” สามประมุขรู้สึกไปถึงขั้นว่าคืนนี้พวกตนคงจะได้รับเทียบเชิญจากทางฝั่งปรโลกแล้วแน่ๆ
ไม่ทราบว่าอันตรายมาจากที่ใด พอนึกถึงกลวิธีของบรรพตสละฟ้าก็พบว่ากลอุบายเหล่านั้นเพียงพอที่จะทำให้ผู้คนขาดอากาศหายใจตายได้เลย
“ข้าคิดทำอะไรน่ะหรือ” ถือมีดที่อาบชโลมด้วยโลหิต ฉินจิ่วเกอยังคงยืนอย่างเรียบๆ ร้อยๆ “ข้าว่าจะตบแต่งกับย่าเจ้า เปลี่ยนฐานะเป็นปู่เจ้า แล้วให้กำเนิดบุตรมาเป็นบิดาเจ้า”
“เจ้ากำลังพูดอะไร? ” บางคนฟังแล้วหัวหมุน ช่างเป็นลำดับเครือญาติอันซับซ้อนซ่อนเงื่อนอะไรเช่นนี้
“ข้ากำลังบอกว่า” ฉินจิ่วเกอกระดิกนิ้ว “พวกหลานอกตัญญู ปู่เรียกพวกเจ้าไยไม่รีบมา! ”
“เจ้ายังกล้าด่าทอผู้คน! ”
“ข้าด่าพวกเจ้าแล้วจะทำไม ข้ายังกล้ามองพวกเจ้าด้วย เข้ามาสิ! ”
“ฆ่ามัน จากนั้นไปถล่มเมืองอวี่เกอให้ยับ บีบตาแก่สี่ตัวนั่นให้ยอมโผล่หัวออกมา! ”
แววตาฉินจิ่วเกอพลันเปลี่ยนเป็นเยียบเย็น บัดนี้นภาไร้จันทร์ จักรภพไร้ดารา มีเพียงประกายแววตาอันเยียบเย็นดุจวารีนิ่งสงัดคู่นั้น ที่สอดประสานกับคมมีดแช่แข็งดวงวิญญาณที่กำลังสาดประกายคมกล้า
“พลังแห่งกฎเกณฑ์ บดขยี้! ”
เส้นสายใยสีดำสายหนึ่ง โค้งมนดั่งรุ้งกินน้ำ ขนาดเทียบเท่าเพียงใยไหม ปรากฏออกจากปลายมีด
แคร่ก
มิติเกิดเสียงปริแตก ราวกับบรรลุถึงขีดสุดการต้านรับจนต้านทานต่อไปไม่ไหวอีก สุดท้ายก็แตกสะบั้นออกเป็นเสี่ยงๆ เหมือนกระแสน้ำที่ทะลักกระจาย
เวลาคล้ายหยุดนิ่ง มีเพียงเสียงหัวใจที่เต้นแรงจนแทบกระดอนออกจากอกเท่านั้นที่ดังอยู่
จากนั้น เส้นสายสีดำก็ข้ามผ่านมิติจนเกิดเสียงหวืดหวือ ประดุจหงส์ที่หย่อนสัมผัสผิวน้ำเพียงแผ่วเบา ก่อกวนระลอกน้ำอันอ่อนจางจนแทบมองไม่เห็น
ฉูด!
ประมุขหอกลืนตะวันที่อยู่หน้าสุดถูกเส้นสายสีดำตัดเฉือนคอหอยก่อนเป็นคนแรก
ศีรษะปลิวขึ้นฟ้า แกนวิญญาณในสมองแตกสลาย หลิงไถถูกบดขยี้ไปพร้อมกับมิติ
จากนั้นอาวุโสกลั่นดวงธาตุหลายคนที่ตามมาข้างหลัง พวกมันยังไม่ทันจะได้เปล่งเสียงกรีดร้อง ก็ถูกเส้นสายสีดำชวนขนลุกนั้นเปลี่ยนให้เป็นเศษชิ้นส่วนมนุษย์ไปเสียก่อน
พลังแห่งกฎเกณฑ์ หมุนได้แม้สังสารวัฏ นั่นคืออำนาจอันเป็นสัญลักษณ์แห่งวิถีราชัน
พวกที่กล้าหรือคิดขบถต่อต้านล้วนต้องถูกสะกดจองจำไว้ แม้แต่คนก็ยังทำไม่ได้
ประมุขวังสุนัขป่าที่รั้งอยู่หลังสุดทันทีที่เห็นไอทมิฬสายนั้นปรากฏออกจากคมมีด มันก็เป็นคนแรกที่ต้องแตกตื่นพรึงเพริด
จากนั้นภายใต้พลังเทวะของราชันมารผู้น่าพรั่นพรึงผู้นั้น ประมุขหอกลืนตะวันชนชั้นกลั่นดวงธาตุขั้นเจ็ดเช่นเดียวกันกับตนแม้แต่ปัญญาจะขัดขืนก็ยังไม่มี
เห็นดังนี้มันก็ใช้ร่างอาวุโสข้างกายมาเป็นโล่มนุษย์ต้านรับพลังสีดำสายนั้นแทน เป็นเวลาเดียวกับที่ประมุขหอกลืนตะวันและผนึกน้ำแข็งกำลังจะไปเยือนโลกหน้าพอดี
“ท่านประมุข นี่ท่าน! ”
อาวุโสคนนั้นหางตาแทบปริแตก ก่อนสลายกลายเป็นไอไปในพริบตา ถูกกฎเกณฑ์ดูดกลืนหายเข้าไปในมิติ
ประมุขวังสุนัขป่ารักษาชีวิตเอาไว้ได้อย่างหวุดหวิด รีบร่นกายถอยหนี
ขณะหนียังไม่วายเตะส่งร่างผู้คนรอบตัวออกไปรับหน้าแทน ยื้อเวลาการกัดกร่อนของพลังเร้นลับขุมนั้น
เส้นไหมดำเคลื่อนตัวมาช้าๆ ได้ระยะสิบเมตรก็หยุดลง ผนึกค้างกลางอากาศ ก่อนสลายไป
สุดท้าย พลังแห่งกฎเกณฑ์ก็ไม่ใช่พลังของมัน แต่เป็นเสี้ยวความนึกคิดที่เหลืออยู่ของเฒ่าเสียเยว่
หาไม่แล้ว ลำบากเพียงเสี้ยวจิตปณิธานก็สามารถบดขยี้กลั่นดวงธาตุได้โดยที่ไม่ต้องขับเคลื่อนสำแดงพลังแห่งกฎเกณฑ์ออกมาด้วยซ้ำ
กฎเกณฑ์ ก็คืออานุภาพฟ้า!
“ถอย! ” ถึงตอนนี้ประมุขวังสุนัขป่าหวาดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อไปแล้ว พอนึกว่ากลั่นดวงธาตุผู้ทรงพลังเหนือหล้า ในอดีตยังร้ายกาจทรงพลังปานไหน แต่ในความเป็นจริง ยามอยู่ต่อหน้าเส้นสายพลังเร้นลับขุมนั้น คิดหนียังทำไม่ได้
นำพาหัวกะทิที่เหลือรอดอยู่ไม่กี่คนในตระกูล ประมุขวังสุนัขป่าตระเตรียมจะหลบหนี
แต่เรื่องกลับพลิกผัน เจ้าเด็กประหลาดคนนั้นไม่ได้ลงมือ กลับเป็นพลังวิญญาณสุดไพศาลสี่ขุมที่พลันกวาดโถมเข้ามาจากทั่วทิศทาง
ประมุขวังสุนัขป่าหน้าชะงักค้าง พลังวิญญาณสี่ขุมนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าตนเองเลยแม้แต่น้อย
กระทั่งในหมู่พวกมัน ยังมีอยู่หนึ่งขุมที่ทรงพลังเหนือกว่าตนเองไปไกล ชัดเจนว่าบรรลุขอบเขตกลั่นดวงธาตุขั้นแปดไปแล้ว!