ระหว่างขอบเขตขั้นพลังฝีมือ ระดับชั้นสร้างความแตกต่างราวคนละโลก

ทุกช่วงชั้นย่อย จะถูกกั้นขวางด้วยช่องว่างมหาศาล ไม่อาจชดเชยได้ง่ายดาย

เดิมทีคาดว่ากลืนตะวัน ผนึกน้ำแข็งและวังสุนัขป่าของตนเองสามารถกลืนบรรพตสละฟ้าที่เปรียบดั่งพยัคฆ์ไร้เขี้ยวลงท้องได้ง่ายๆ

แต่ใครจะคาด พยัคฆ์เฒ่าไม่เพียงยังมีเขี้ยวเล็บ ทั้งยังเป็นเขี้ยวอาบโลหิต เพียงอ้าปากขย้ำก็ขบกัดกลั่นดวงธาตุขั้นเจ็ดตกตายไปในเสี้ยววินาที!

“เจ้าวังสุนัขป่า แค้นใหม่หนี้เก่า บรรพตสละฟ้าเราจะขอคิดบัญชีกับเจ้าในวันนี้”

“ประมุขขุนเขาทั้งหลายอย่าได้เข้าใจผิดไป” เจ้าวังสุนัขป่าเป็นคนไหวพริบดีคนหนึ่ง แม้มันจะเป็นเพียงสัตว์อสูร ทว่าก็ไม่ได้กระทบต่อสติปัญญาและการคาดการณ์ของมัน

“เข้าใจผิดอันใด?” ฉินจิ่วเกอเอ่ยปากถาม

เจ้าวังสุนัขป่าเร่งค้อมเอวประสานมือไปทางชายหนุ่ม เอ่ยปากด้วยความกระตือรือร้น “ข้าได้ข่าวมาว่ากลืนตะวันและผนึกน้ำแข็งผนึกกำลังกันมากลุ้มรุมต่อบรรพตสละฟ้าของพวกท่าน พวกเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ข้าจึงนำกำลังมาที่นี่โดยเฉพาะเพื่อกล่าวรายงาน คิดช่วยเหลือบรรพตสละฟ้าก้าวข้ามอุปสรรค”

“เจ้าคิดว่าข้าโง่เหรอ! ? พันปีที่ผ่านมานี้ วังสุนัขป่าเจ้าคือพวกที่น่ารังเกียจที่สุด!” ประมุขหยางตวาดด่าทอหลังฟื้นฟูพลัง เสียงคำรามแฝงอานุภาพของแปดดวงธาตุเล่นเอาอาวุโสของวังสุนัขป่าตัวสั่นงันงก

“เป็นความจริง วังสุนัขป่าเรายินดีร่วมแรงร่วมใจกับบรรพตสละฟ้า พวกท่านเป็นเจ้า พวกเราเป็นผู้รับใช้ ฟ้าดินเป็นพยาน ตลอดกาลไม่แปรพักตร์!”

“เฮอะ ไอ้คนหน้าหนาไร้ยางอาย ในเมื่อเจ้าจงรักภักดีต่อบรรพตสละฟ้าเราปานนี้ งั้นก็แหลกสลายไปซะ ข้าจะเอาเจ้ามาทำหางเสือของบรรพตสละฟ้า” ฉินจิ่วเกอยกมีดเชือดหมูคมกริบขึ้นมา เอ่ยอย่างไร้น้ำใจ

“พวกเจ้ารังแกคนเกินไป วังสุนัขป่าเราเป็นเผ่าอสูรมอบหมายมาให้ดูแลเขตพรมแดน หากกล้ากำจัดพวกข้า เผ่าอสูรย่อมไม่ละเว้นพวกเจ้า!”

“ก็แค่การเสียสละเพียงเล็กน้อยเท่านั้น วังสุนัขป่าเจ้าครอบครองพื้นที่ ข้ายึดมาครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งเหลือให้กองกำลังของเผ่าอสูร แต่ข้าขอบอกอะไรให้ เฒ่าเสียเยว่แห่งบรรพตสละฟ้าที่จริงกลับมาแล้ว เผ่าอสูรเจ้าหากยินดีตอแยกฎสรรพสิ่ง งั้นก็มาเถอะ”

น้ำเสียงของฉินจิ่วเกอแฝงพลังวิญญาณ ถ่ายทอดไปทั่วทั้งเมืองอวี่เกอ พร้อมกับชอนไชเข้าสู่รูหูของผู้ฝึกยุทธ์ที่ด้านนอกเมืองพวกนั้นด้วย

กฎสรรพสิ่ง!

ในทวีปฉงหลิงนี้ พวกมันถือเป็นตัวตนอันพลิกคว่ำฟ้าดิน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตาเฒ่าบรรพชนแห่งฉงหลิงนี้เป็นผู้ฝึกวิชาปีศาจ ในเงื้อมมือมันเข่นฆ่าสังหารคนไปนับแสนนับล้าน เผ่าอสูรไหนเลยจะกล้าคิดตอแยคนบ้าแบบมัน

สีหน้าของเจ้าวังสุนัขป่าสิ้นหวัง ท่ามกลางความบ้าคลั่ง มันระเบิดพลังกลั่นดวงธาตุขั้นเจ็ดออกมา พร้อมกับผลักดันอาวุโสอีกหลายท่านออกไปหาความตาย

ขณะเดียวกัน ตัวมันเองถาโถมเข้าใส่ฉินจิ่วเกอ เจตนาชัดแจ้งยิ่ง

มิผิด หากบรรพตสละฟ้าไร้ซึ่งกฎสรรพสิ่ง

วันนี้หากกำจัดล้างวังสุนัขป่า วันพรุ่งย่อมต้องถูกกองกำลังเผ่าอสูรเหยียบย่ำยับเยิน

แต่เมื่อบรรพชนบรรพตสละฟ้ากลับคืนมา นั่นคือกฎสรรพสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง

นอกจากกลั่นดวงธาตุของเผ่าอสูรคิดฆ่าตัวตาย พวกมันจึงเสนอหน้ามา

ทันทีที่บรรพชนสละฟ้าพิโรธโกรธา เผ่าอ่อนแออย่างเผ่าอสูร แค่ดีดนิ้วก็คงถูกผู้ฝึกวิชาปีศาจเปลี่ยนเป็นกองเลือด

ดังนั้นเรื่องราวในวันนี้หากแพร่ออกไป พร้อมกับที่สามตระกูลถูกทำลายล้าง วันเวลาอันรุ่งโรจน์ชัชวาลของบรรพตสละฟ้าย่อมกลับคืนมา

ฉินจิ่วเกอทั้งไว้หน้า ทั้งมอบอาณาเขตให้เผ่าอสูรขนาดนี้ อีกฝ่ายคงไม่ถือสาจนถึงขั้นต้องตามคิดบัญชีกระมัง

ส่วนคนของวังสุนัขป่า คงต้องตายแน่แล้ว

หากพวกมันมีชาติกำเนิดอันสูงส่ง ก็คงไม่ถูกส่งตัวมายังสถานที่ทุรกันดารเยี่ยงนี้

เรื่องทรัพยากรขาดแคลนไม่ต้องกล่าว ยังอาจเป็นไปได้ว่าจะตกสู่เงื้อมมือของยอดฝีมือเผ่ามนุษย์

“ลง!”

พอประมุขหยางลงมือด้วยตนเอง เจ้าวังสุนัขป่าก็ถูกสยบ

ส่วนอาวุโสทั้งหลายที่เหลือนั้น เป็นประมุขขุนเขาอีกสามคนเข้ารับมือ การต่อสู้จบลงในชั่วก้านธูปเดียว

บรรพตสละฟ้ากุมชัยชนะเบ็ดเสร็จ ในเขตพรมแดนไร้คู่ต่อกร

ฉินจิ่วเกอบัญชาสี่ประมุขขุนเขาให้เก็บกวาดสถานที่ โดยเฉพาะให้พาเหล่าบรรดาผู้ฝึกยุทธ์ที่ยืนสั่นผวาอยู่ข้างนอกนั่นกลับเข้ามาในเมือง

การระเบิดพลังแสดงศักดานุภาพหลังเก็บงำมายาวนาน แน่นอนว่าต่อไปนี้ย่อมไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องอีก

สายตาของหลงเฟิงที่มองดูฉินจิ่วเกอไม่เหมือนเดิมแล้ว แววตาวะวิบยิบยับ ยังจริงจังจริงใจกว่าไข่มุกแท้ สว่างสุกใสทอประกายยิ่งกว่าดวงดาราบนท้องฟ้า ว่ะว้าวววว ร้ายกาจจริงๆ ถึงแม้จะพึ่งพากฎเกณฑ์ที่เฒ่าเสียเยว่ทิ้งไว้ก็ตาม

การสังหารสารพันกลั่นดวงธาตุในพริบตา ต่อให้เป็นก้าวดวงธาตุขั้นสูงสุด ยังต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงอยู่บ้าง

ฉินจิ่วเกอเรียกหลงเฟิงเข้ามาในห้อง คนนั่งลงบนเก้าอี้ สองมืออ้ากว้าง เงยหน้าขึ้นสูง ท่วงท่าราวหงส์ขาว

เมื่อตระเตรียมเรียบร้อย ฉินจิ่วเกอกอดอกด้วยความมั่นอกมั่นใจ “มาเถอะ ข้าพร้อมแล้ว เชิญเจ้าใช้สารพัดวิธีกราบกรานข้าได้เลย”

“เหอะเหอะ”

“เอาล่ะ อย่ามัวแต่ยืนเซ่ออยู่อย่างนั้น ข้ารู้ว่าในใจเจ้าตอนนี้เลื่อมใสบูชาข้าอย่างยิ่ง แต่ความเย่อหยิ่งของเจ้าทำให้ไม่กล้าเอ่ยออกมาจากปาก มาเถอะ ไม่ว่าจะโขกศีรษะสามครั้งหรือกราบกรานลงกับพื้น ข้าก็รับได้ทั้งสิ้น”

หลงเฟิงจ้องมองฉินจิ่วเกออยู่ชั่วขณะ เขาเสยขึ้น “กราบอะไรกัน พลังฝีมือที่แท้จริงของเจ้า ก็แค่พิสุทธิ์ไพศาล”

“สายตาของเจ้านี่สั้นพอกับเส้นผมบนหนังศีรษะ ข้าคือคนมีวิสัยทัศน์ วางแผนมั่นเหมาะค่อยเคลื่อนไหว คือยอดบุรุษแห่งโลกผู้ฝึกตนที่แท้จริง”

“ยังไงก็ยังเป็นแค่พิสุทธิ์ไพศาล ต่อให้เป็นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุด ข้าจามทีเดียวก็ตายไปเจ็ดแปดคนแล้ว” หลงเฟิงเอ่ยออกมาอย่างไม่แยแส ฉากการกราบกรานอันน่ายินดีพังทลายลงไม่เหลือชิ้นดี

ฉินจิ่วเกอเตะโด่งหลงเฟิงออกไป กลับไปนอนตายอยู่บนเตียงเช่นเดิม

กล่าวไป มันเองเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของพระเอก เวลาผ่านมานานปานนี้ ยังคงหยุดอยู่ที่พิสุทธิ์ไพศาลขั้นต้น ช่างน่าขายหน้านัก

แต่ในช่วงหลังมานี้ มันไม่อาจสัมผัสได้ถึงแรงดึงดูดใดๆ วิถีแห่งการฝึกตนนี้มิใช่ใครก็สามารถเดินได้จริงๆ

ผ่านไปอีกครึ่งเดือน บรรพตสละฟ้าเข้ายึดครองสามกองกำลัง กลายเป็นอันดับหนึ่งในที่สุด

มีคนไม่น้อยที่กลับใจมาเข้าร่วม ฉินจิ่วเกอเองก็ไม่คัดค้าน ทั้งคนทั้งอสูรในเขตพรมแดนล้วนกวาดมาเข้าร่วมบรรพตสละฟ้าทั้งสิ้น

เพียงแต่ทรัพยากรของเขตพรมแดนรอยต่อมีน้อยจนเกินไป หากต้องใช้บำรุงสนับสนุนผู้ฝึกตนในปกครองทุกวี่วัน ต้นทุนของบรรพตสละฟ้าก็มีน้อยเกินไป

เมื่อศึกภายในระงับมั่นคงแล้ว สายตาของฉินจิ่วเกอก็เล็งไปยังเมืองเทียนเอินที่ห่างไปไกลกว่าหมื่นลี้

นั่นจึงจะเป็นก้อนเนื้อโอชะที่เต็มไปด้วยไขมัน ตั้งอยู่ใจกลางทวีป ไม่ว่าไอพลังวิญญาณหรือทรัพยากรการฝึก ยังมากมายกว่าเขตพรมแดนนี้เกินกว่าห้าเท่า

ทุกผู้คนต่างมีฝันที่ยิ่งใหญ่ สรุปแล้ว แผนบุกเข้าเมืองเทียนเอิน ถูกยกขึ้นโต๊ะพิจารณา

เมืองเทียนเอิน ตั้งอยู่ใจกลางทวีป รัศมีเหนือใต้ข้างละสามหมื่นลี้ รัศมีตะวันออกตะวันตกห้าหมื่นลี้ แบ่งออกเป็นเมืองส่วนนอกและใน เมืองล่วนโต้วและตระกูลซู นับเป็นส่วนกองกำลังรอบนอกของเมืองเทียนเอิน

ส่วนเมืองรอบใน คลาคล่ำไปด้วยกลั่นดวงธาตุ ฉินจิ่วเกอมีโอกาสได้รับทราบถึงขุมกำลังเต็มพิกัดทั้งสี่กองกำลังของเมืองเทียนเอิน กลั่นดวงธาตุรวมกันนับร้อย หัวหน้าล้วนเป็นเก้าดวงธาตุขั้นสูงสุดทั้งสิ้น

ไม่นับเหล่าไพ่ตายและตัวประหลาดที่ซุกซ่อนไว้ หากมองจากภายนอก สี่กองกำลังตั้งมั่นอยู่ในเมืองเทียนเอินมานานกว่าพันปี กล้ามเนื้อที่เปิดเผยออกมาดูท่าไม่ด้อยไปกว่าพรรคใหญ่ทั้งสี่

มิเช่นนั้นล้วนไม่อาจยืนหยัดอยู่ในตำแหน่งปัจจุบัน ทรัพยากรที่ได้มาในแต่ละปีไม่ต่ำกว่าล้านศิลาวิญญาณระดับกลาง

เมืองเทียนเอิน คือหนึ่งในสถานที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดของทวีปฉงหลิง ขนาดพิสุทธิ์ไพศาลหรือกลั่นดวงธาตุขั้นต่ำ ยังเป็นได้เพียงอันธพาลน้อยหรือโจรร้าย เห็นได้ชัดว่า การแข่งขันระหว่างพวกมันดุเดือดเพียงใด

ฉินจิ่วเกอวางแผนค่อยยึดครองจากรอบนอกเมืองเทียนเอินก่อน เช่นนั้นจึงไม่ฉุกละหุก ทั้งยังสามารถทดสอบขีดจำกัดความอดทนของกองกำลังใหญ่ทั้งสี่ ถ้าให้ดีที่สุดคือสามารถบรรลุข้อตกลงร่วมมือกับกองกำลังพื้นถิ่นในแถบนั้นได้ อันที่จริงบรรพตสละฟ้ามีผู้หนุนหลังเป็นกฎสรรพสิ่งผู้ฝึกวิชาปีศาจ อีกฝ่ายมิอาจไม่ใคร่ครวญให้ดี

รอบนอกเมืองเทียนเอินแบ่งออกเป็นเมืองน้อยหลายสิบเมือง ในบรรดาเหล่านั้นมีกองกำลังเจ้าถิ่นที่กอปรไปด้วยกลั่นดวงธาตุขั้นหนึ่งขั้นสอง เหล่านี้เมื่อเผชิญหน้ากับบรรพตสละฟ้า ถือเป็นกองกำลังกระจ้อยร่อย เพียงหลงเฟิงก็สามารถขย้ำพวกมันจนจมเขี้ยว

ประมุขหยางเสนอเมืองน้อยเมืองหนึ่งเป็นฐานที่มั่น แต่ถูกฉินจิ่วเกอปัดตกไป

ทางที่ดีที่สุดคือต้องรวมกำลังกับบรรดากองกำลังรอบนอกให้ได้ เช่นนั้นจึงจะสามารถยันสี่กองกำลังหลักเมืองเทียนเอินได้ และยังสามารถหยุดยั้งคมเขี้ยวที่จะหันมาแว้งกัดเผ่าพิสดาร

สุดท้าย ฉินจิ่วเกอเป็นคนเลือกเมืองล่วนโต้ว ขุมกำลังของเมืองนี้ นับเป็นระดับกลางค่อนไปทางต่ำในบรรดาเมืองรอบนอกทั้งหมด

ประการแรก การเคลื่อนกำลังของบรรพตสละฟ้าไปยังเมืองเทียนเอิน ย่อมไม่ดึงดูดความสนใจเท่าใด

ประการสอง ในเมืองล่วนโต้ว มีตระกูลการค้าอย่างตระกูลซูอยู่

หากสามารถร่วมมือกับตระกูลซูได้ บรรพตสละฟ้ามียอดฝีมือ ตระกูลซูมีเส้นสาย สามารถใช้เครือข่ายของสมาคมการค้าแผ่ขยายในเมืองเทียนเอิน เพิ่มน้ำหนักแก่บรรพตสละฟ้าอย่างไร้ร่องรอย

เมื่อผ่านการขบคิดใคร่ครวญ ฉินจิ่วเกอก็พาสี่ประมุขและหลงเฟิงมุ่งหน้าไปยังเมืองล้วนโต้ว เริ่มดำเนินแผนการ

ยามนี้เป็นพิสุทธิ์ไพศาลแล้ว มิใช่ปราณสุริยันเช่นก่อนหน้าสามารถเทียบเคียงได้

ดังนั้นฉินจิ่วเกอไม่เลือกขี่ม้า แต่ใช้วิธีการเดินทางของมนุษย์นก นั่นก็คือการเหาะ บินไปอย่างอิสรเสรีกลางท้องฟ้ากว้าง

ในโลกก่อนของฉินจิ่วเกอ นอกจากเครื่องบินต่างๆ ที่สามารถบินได้แล้ว หากมีเพียงกำลังมนุษย์ ล้วนไม่อาจบินขึ้นจากพื้น

ขณะเดินทางอย่างรีบร้อน ฉินจิ่วเกอตื่นเต้นตลอดทาง ดั่งผีเสื้อเริงร่าท้าบุปผา

ในสายตาของหลงเฟิง ไหนเลยจะเป็นผีเสื้ออันใด สมควรเป็นแมลงวันหัวขาดบินอย่างไร้ทิศทางเสียมากกว่า น่ารังเกียจสิ้นดี สมควรตบให้ตายในฝ่ามือเดียว นั่นจึงเป็นวิถีฟ้าที่ถูกต้อง

“ประมุขน้อย พวกเราเข้าเขตเมืองรอบนอกเมืองเทียนเอินแล้ว เมืองล่วนโต้วที่ท่านว่าอยู่ไหนรึ?” ประมุขหยางตามอารักขาทางด้านหลังฉินจิ่วเกอแจ เกรงว่าแมลงวันหัวขาดจะถูกคนตบตายในฝ่ามือเดียว

ทำยังไงได้ ในเมื่อพวกมันต่างก็เป็นยอดยุทธ์ชั้นสูงอันอาจหาญ ศักดิ์ฐานะหากกล่าวออกไปยังถึงกับสูงกว่าคนทั่วไปสองช่วงศีรษะ บินได้แล้วยังไง นึกว่าตัวเองเป็นต้าหลัวจินเซียนแห่งโลกไท่จี๋ที่อมตะไม่ตายหรือยังไง มีนัยน์ตาอยู่บ้างได้หรือไม่เล่า

ฉินจิ่วเกอผินหน้าไป “ข้างหน้านี้เอง ตระกูลซูแห่งเมืองล่วนโต้วกับข้ามีความสัมพันธ์กันมาบ้าง”

“ช่างเป็นโชควาสนาของพวกมัน พวกเราบรรพตสละฟ้าภายใต้การนำอย่างเปรื่องปราดของประมุขน้อยย่อมต้องรุ่งโรจน์ชัชวาลแน่นอน” ประมุขโหวหน้าบานราวดอกเบญจมาศ เอ่ยเสียงเริงร่า

ฉินจิ่วเกอผงกศีรษะ เอ่ยขึ้นว่า “ยังมี เรื่องประเภทที่ว่าข้าผู้นี้มีคุณลักษณะโดดเด่นหล่อเหลาสง่างามตามธรรมชาติ ประดุจหยกต้านลม ให้พรรณนาออกมาให้หมดสิ้น เรื่องอื่นไม่สำคัญเท่าใด ที่สำคัญคือต้องเน้นย้ำความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของข้า”

“นั่นสินั่นสิ” ประมุขโหวพยายามเค้นหาไอเดียใหม่มาสรรเสริญอย่างไม่ละความพยายาม “ประมุขน้อยองอาจสง่างาม เจ็ดคดเคี้ยวแปดวิปริต ท่าทางเป็นผู้เป็นคน หายากในแดนดิน ข้าเทียบไม่ติดเลย”

ฉินจิ่วเกอทำหน้าเหมือนรับประทานแมลงวันเข้าไปเต็มปาก สีหน้ายากทนดู “เฒ่าโหว ต่อไปออกมาทำภารกิจ ห้ามบอกว่าเจ้ามาจากบรรพตสละฟ้าเด็ดขาด น่าขายหน้าจริงๆ”

เบื้องหน้าปรากฏเมืองแห่งหนึ่ง ประชากรราวหนึ่งล้าน ล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ นั่นก็คือเมืองล่วนโต้ว

นับแต่ฉินจิ่วเกอจากไป กองโจรทั้งหลายในเขตนี้ล้วนสงบสุข กลับกันกับเมืองอวี่เกอ ประชากรทั้งหลายของเมืองล่วนโต้วต่างขอบคุณฉินจิ่วเกอ รวมทั้งอาวุโสใหญ่ผู้ร้อนแรงราวเทพยดาท่านนั้น

ตระกูลหยวนที่ลงมือล่วงเกินนักปรุงยาจากสมาคมนักปรุงยา ล้วนประสบชะตากรรมสิ้น

ในทวีปฉงหลิง สมาคมนักปรุงยาและสมาคมนักจัดวางค่ายกล คือขุมกำลังใหญ่สองขุม

รอจนสมาคมนักปรุงยารับรู้เรื่องราว ยอดฝีมือระเบิดโทสะ ตระเตรียมเสาะหาตระกูลหยวนเพื่อคิดบัญชี ก็พบว่าอีกฝ่ายราบเป็นหน้ากลองไปแล้ว

ตระกูลซูภายใต้อิทธิพลหนุนเสริมของสมาคมนักปรุงยา กลายเป็นหัวหอกของเมืองล่วนโต้ว แม้ไม่มีกลั่นดวงธาตุ แต่ก็ไม่มีใครกล้าหาเรื่อง