นอกจากความพิโรธของสมาคมนักปรุงยา เรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นในเมืองเทียนเอินอันเป็นเหตุให้เฒ่าเรืองปัญญาจากไป และมีคนได้รับผลอู๋เลี่ยงสดไปครอง
ผลลัพธ์ก็ชัดเจนอยู่แล้ว สามแหวกชำระกายาถูกฆ่าไปสอง เรียกเสียงฮือฮาจากผู้คนนับไม่ถ้วน
การปะทะกันระหว่างขุมอำนาจใหญ่ หากโชคร้าย อาจมีกลั่นดวงธาตุขั้นหนึ่งขั้นสองที่ถูกลูกหลงไปด้วย
เพียงแต่ นอกจากจะเป็นศึกล้างเผ่าพันธุ์ ยอดฝีมือของทั้งสองฝ่ายย่อมไม่มีทางเลือกสู้จนตายกันไปข้าง
นอกจากนั้น ผู้ตายยังเป็นแหวกชำระกายาอันอยู่เหนือเก้าดวงธาตุสูงสุดขึ้นไปอีก กล่าวได้ว่าเป็นตัวตนที่ถัดจากกฎสรรพสิ่งไร้คู่ต่อกรโดยแท้
ไม่มีใครรู้ถึงประวัติความเป็นมาของพวกอาวุโสใหญ่ พรรคหลิงเซียวเล็กๆ แห่งนั้น ไม่มีใครเคยได้ยินชื่อมาก่อน
ดังนั้นจึงมีข่าวลือสารพัดแบบแพร่สะพัดออกไป แต่มีข่าวกระแสหลักอยู่อย่างที่ระบุว่ายอดฝีมือและผู้เยาว์ที่ได้ผลอู๋เลี่ยงสดไปนั้น มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามนุษย์
ตำหนักเหนือสุดก่อนสวรรค์!แดนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามนุษย์ สยบครองหมื่นชั่วอายุคน
ที่นั่นคือแก่นแกนหลักของเผ่ามนุษย์ เป็นที่ที่ยอดฝีมือมารวมตัวกันมากที่สุด
นับแต่บรรพชนวิญญาณละสังขารไปเมื่อหนึ่งล้านปีก่อน ตำหนักเหนือสุดก่อนสวรรค์ก็เปรียบเหมือนปราการปกป้องเผ่ามนุษย์ชั่วกาล รับมือกับการจู่โจมจากเผ่ามารอสูรมานับครั้งไม่ถ้วน
ยักษ์ใหญ่เหนือโลกที่ตั้งตระหง่านมานานนับล้านปี การคงอยู่ของมันกระทั่งยาวนานยิ่งกว่าก่อนที่สมาคมนักปรุงยาจะก่อตั้งเสียอีก
ภายในนั้น ยอดฝีมือมีมากมายดั่งเมฆบนท้องนภา ทั้งหมดล้วนแต่เป็นหัวกะทิของเผ่ามนุษย์ ทั้งบรรพชนและสัตว์ประหลาดเฒ่าต่างหลับใหลอยู่อย่างไม่ขาดสาย
เมื่อมีความเป็นไปได้นี้อยู่ สี่ขุมอำนาจในเมืองเทียนเอินจึงได้แต่ปิดปากเงียบ ไม่กล้ามีความคิดเรื่องผลอู๋เลี่ยงสดอีก เมืองเทียนเอินจึงอยู่ในความสงบชั่วคราว ไม่มีใครกล้าหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีก
ฉินจิ่วเกอย่อมไม่ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงอันพลิกผันของเมืองเทียนเอิน
ตำหนักเหนือสุดก่อนสวรรค์อะไรนั่นห่างไกลจากตัวมันมาก ฉินจิ่วเกอเองก็คิดไม่ถึงว่าท่านอาจารย์ของมันจะห่วงใยปกป้องมันถึงขนาดนั้น ยอดฝีมือแหวกชำระกายาบอกว่าฆ่าเป็นฆ่า
โดยเฉพาะอาวุโสสอง เรียกได้ว่าร้ายกาจจนแทบบินได้
แน่นอน ผลงานของอาวุโสสามอยู่ในขั้นพอหลับตามองข้ามไปได้ ถึงจะทำร้ายอีกฝ่ายพิการ แต่ก็ไม่ได้เอาชีวิต กลับถูกส้นเท้าของอาวุโสใหญ่เตะโด่งไปไกลโข กลายเป็นหัวไชเท้าปักอยู่กับดินไปหลายวัน
นอกเมืองล่วนโต้ว หนุ่มรูปงามเหนือโลกานำพาชายชราเหี่ยวแห้งผิวพรรณเหมือนเปลือกส้มมาถึง
ยังมีอีกหนึ่งหน่อที่มีเขางอกอยู่บนหัว ดูไปคล้ายตัวประหลาดบำเพ็ญเพียร คนทั้งหกรวมกลุ่มกันเข้าเมืองอย่างเป็นทางการ
มาถึงหน้าประตูบ้านตระกูลซู ประตูอลังการ เสาบ้านสูงตระหง่าน ผู้คุ้มกันชั้นพิสุทธิ์ไพศาล ดูโดดเด่นไม่ธรรมดา
ดูท่าหลังการล่มสลายของตระกูลหยวน ชีวิตของตระกูลซูจะราบรื่นสวยงามน่าดู
“เจ้าเป็นใคร?” พิสุทธิ์ไพศาลที่อารักขาประตูคฤหาสน์สีหน้าไม่ต้อนรับ เจ้าเด็กนี่สายตาอันธพาลคนต่ำช้า ดูก็รู้ว่าไม่ใช่ตัวดี
ยามนี้ตระกูลซูกำลังเผชิญหายนะใหญ่ ทั่วทั้งตระกูลล้วนระแวดระวังอย่างสูง
แต่กลับมีพิสุทธิ์ไพศาลคนหนึ่งพลันปรากฏ ไม่ทราบกินอิ่มไร้เรื่องราวหรือไม่ มายืนขวางประตูหน้าบ้านเช่นนี้
ว่าไปแล้วฉินจิ่วเกอเองไม่ทราบเป็นอย่างไร ทุกครั้งมาหาตระกูลซู ตระกูลซูต้องกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของความหายนะทั้งตระกูลพอดี
หรือนี่จะเป็นเจตนาฟ้า?
“ข้าเป็นญาติสนิทของผู้นำตระกูลเจ้า” ฉินจิ่วเกอเอ่ยตอบอย่างนุ่มนวล
ผู้เฝ้าประตูมองดู ว่ากันว่าเคราะห์ร้ายย่อมไม่มาเพียงลำพัง ตอนนี้ดันมีญาติสนิทมาเคาะประตูเรียก ยังหนีบตาแก่ท่าทางกร้านโลกมาอีกสี่ ระดับพลังฝีมือไม่อาจทาบ ดูท่าแล้วแม้แต่ปราณสุริยันก็ยังไม่มีปัญญา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันยังพาปศุสัตว์มาตัวหนึ่ง เอามาทำอะไร?
ฉินจิ่วเกอมากมารยาทยิ่ง ทั้งหมดล้วนเพื่อความร่วมมือ “โปรดแจ้งต่อท่านผู้นำว่าหลานผู้น้องมาหา ฮี่ฮี่ ยังพาของขวัญมาด้วย นี่เป็นตุ๊กตาสัตว์มงคลของพวกเรา เรียกว่าหนิวหนิว”
มันชี้นิ้วไปทางหลงเฟิง ฉินจิ่วเกอดำเนินกลยุทธ์มารยาทนำ ย่อมไม่มีใครออกปากด่าว่า
เมื่อเห็นอีกฝ่ายนำของขวัญมาด้วย ผู้เฝ้าประตูส่งเสียงฮึมฮัมสองสามครั้ง จากนั้นเข้าไปรายงาน
สัตว์มงคลตัวนี้ดูไม่ค่อยดี มองระดับพลังของมันไม่ออกเหมือนกัน ดูท่าคงประมาณปราณสุริยัน แถมยังผอมโซ จะไถนาไหวหรือนี่
“ข้าไม่ได้ว่าลักษณะของเจ้านะ” ฉินจิ่วเกอหลิ่วหน้าหลิ่วตา ท่าทางน่ารังเกียจขั้นสุด
หลงเฟิงยังคงรักษาสีหน้าโลงศพของมันเช่นเดิม ตอนนี้มันคิดทุบตีไอ้คนตรงหน้าให้ฟันฟางร่วงกระจายหายไม่เห็น เพียงเกรงต่อพลังปีศาจของอีกฝ่าย ทำให้มันไม่กล้าลงมือ
ผู้นำตระกูลซูยามนี้นั่งอยู่ในห้องโถง ทอดตามองท้องฟ้าอย่างเงียบงัน
ใบหน้าอัดแน่นด้วยความวิตกทุกข์ร้อน ใบหน้ายับย่นยู่ยี่
มิผิด สกุลหยวนศัตรูของพวกมันถูกทำลายแล้ว ตัวมันกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจไปได้ไม่กี่วัน
แต่ผ่านไปปีเดียว ตระกูลซูก็พบพานกับคู่มือที่ร้ายกาจกว่าเดิม ตอนนี้ร้อนรนไม่ต่างจากถูกโยนลงกระทะร้อนๆ
“ท่านผู้นำ ด้านนอกมีคนมาหา เอาวัวมาด้วยตัวหนึ่ง คนนำขบวนบอกว่ามันเป็นญาติของท่าน” ผู้เฝ้าประตูเคาะบอกพลางผลักเปิดประตูเข้ามาอย่างแผ่วเบา รายงานด้วยเสียงแผ่ว
ผู้นำตระกูลยามนี้วิตกกังวลยิ่ง ไม่ต่างจากไก่ตัวเมียที่ไข่ไม่ออก ลนลานไปทั่วร่าง
“ญาติ?” ตระกูลซูยามนี้ไก่เตลิดไข่กระจาย ยังมีญาติหน้าไหนโผล่มาอีก?
“เอาศิลาวิญญาณระดับต่ำมาเล็กน้อย ส่งพวกมันกลับไป” ผู้นำตระกูลซูไม่มีอารมณ์สนใจ จากนั้นเรียกบุตรของมันมา ซึ่งก็คือซูมู่ซวนเอง
ปีนั้น วรยุทธ์ของซูมู่ซวนยังอยู่ระดับชั้นปราณสุริยันขั้นสูงสุด ถือเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีฝีมือ
เพราะเหตุนี้ ซูมู่ซวนที่เพิ่งสำเร็จวิชา จึงเดินส่ายอาดๆ กลางถนน ตระเตรียมรับการท้าทายทุกรูปแบบ
การท้าทายที่ว่ามาหาอย่างรวดเร็ว ดันไปมีเรื่องกับทายาทสายตรงของตระกูลจวงเมืองเทียนเอินเข้า ที่สำคัญคืออีกฝ่ายดันเป็นพวกสวะไร้ราคา จึงถูกซูมู่ซวนอัดเละไม่มีชิ้นดี
ตระกูลจวงคือทรราชปกครองเมืองเทียนเอินรอบใน เพียงเป็นรองสี่พรรคใหญ่เท่านั้น โดยเฉพาะหลังจากเฒ่าเรืองปัญญาออกจากเมืองเทียนเอิน พวกมันเปรียบประดุจสลัดหลุดจากโซ่ตรวน กลั่นดวงธาตุขั้นแปดไร้คู่ต่อกร
ต่อให้เจ้าคุณชายเศษสวะนั่นน่าอนาถกว่านี้ ผู้อาวุโสของพวกมันมีอิทธิพลอำนาจสุดคาดคิด เพีงคนเดียวก็สามารถทำลายล้างตระกูลซูทั้งตระกูล
อีกฝ่ายลั่นปากไว้ว่า ให้ตระกูลซูล้างคอรอถูกเชือด ไม่ใช่เรื่องโชคร้าย จะเป็นอะไรได้อีก
ซูมู่ซวนจมูกหัวหูบวมเป่ง บนใบหน้าปรากฏสีเขียวเหลือม่วงช้ำบวมพองผิดสารรูปจนแม้แต่เจ้าอ้วนน่าตายยังดูดีกว่า สีสันบนใบหน้าผสมปนเป ดูไปราวทุ่งบุปผาบานประชันขันแข่งกัน
“ลูกทรพี ยังไม่เข้ามาอีก!” ประมุขซูตบโต๊ะตะโกนเสียงดัง
เจ้าลูกทรพี มาถึงที่แล้วยังมัวแต่มองไปทางไหนกัน ข้าอยู่ตรงนี้ต่างหาก บัดซบที่สุด
ซูมู่ซวนรู้สึกอยุติธรรมยิ่ง เบิกสองตาบวมฉึ่ง “ท่านพ่อ ท่านตีข้าจนตาบวมปริบเหลือเส้นเดียวแบบนี้ รูนิดเดียวข้าจะมองเห็นได้ยังไง”
“บัดซบ ข้าอยู่ทางด้านหลัง!” ผู้นำตระกูลซูอารมณ์เสีย
“สมาคมนักปรุงยาไม่สามารถแทรกแซงความแค้นส่วนตัวระหว่างกองกำลังในเมืองเทียนเอินได้ ข้าว่าครั้งนี้ ตระกูลซูของเราตกที่นั่งลำบากแล้ว”
เมื่อเอ่ยถึงตระกูลจวง ผู้นำตระกูลซูไม่มีแม้กระทั่งความคิดต่อต้านแม้แต่น้อย
แต่หากอีกฝ่ายยินยอมแลกชีวิตเฒ่าชราของมันกับบุตรชายและตระกูล มันยังยินดีรับไว้
“พ่อ เรื่องข้าเป็นคนก่อ ข้าก็จะรับไว้เอง!” ซูซู่ซวนกำหมัดแน่น กัดฟัน
ผู้นำตระกูลซูตบบุตรชายจนถลา “หยุดพูดจาไร้สาระ คืนนี้เจ้าต้องออกจากเมือง ตั้งแต่นี้เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่ เรื่องครั้งนี้ ข้ารับเอง!”
นอกประตูคฤหาสน์ตระกูลซู ฉินจิ่วเกอในมือถือศิลาวิญญาณระดับต่ำ มองดูแล้วเจ็บปวดใจยิ่ง
“ไม่ใช่ล่ะม้าง ข้านับดูแล้ว พวกเราตรงนี้มีห้าคนบวกวัวหนึ่งตัว ทั้งหมดเป็นหก เจ้าเอามาให้แค่ห้าก้อน แล้วพวกข้าจะแบ่งกันยังไง?”
ผู้เฝ้าประตุไม่สนใจ เชิดจมูกกล่าวต่อฉินจิ่วเกอ “ก็พวกเจ้าบอกเองว่ามันเป็นวัว ยังจะแบ่งทำอะไร ตระกูลซูเราตอนนี้กำลังเจอปัญหาใหญ่ พวกเจ้ามาไม่ถูกจังหวะ ไปๆ”
ฉินจิ่วเกอฟังแล้วต้องยินดีขึ้นมาทันที “น่าสนใจๆ บัญชีคราวที่แล้วของตระกูลซุก็เป็นข้าช่วยสะสาง ทำไม ตระกูลซูทำสถิติใหม่ ปัญหาที่เจอใหญ่กว่าเดิมสินะ? งั้นยิ่งต้องมาหาข้า”
“ไร้สาระ ไสหัวไป” ผู้เฝ้าประตูก้าวเข้ามาอย่างกักขฬะ ยื่นมือออกคิดผลักไสฉินจิ่วเกอ
ประมุขหยางถลึงตา ประกายตาอันดุดันสองสายทิ่มแทงเข้าใส่ผู้เฝ้าประตู สร้างความแตกตื่นจนต้องล้มลงกับพื้น เหงื่อทะลักโซมร่าง
“กล้าเสียมารยาทต่อเราประมุขน้อยเรา ไสหัวกลับเข้าไป ไปรายงานเร็วเข้า” ประมุขหลิวรอจนหมดความอดทนแล้ว ฉินจิ่วเกอพร่ำว่าวัวมงคลตัวนั้นตัวนี้ นั่นไม่ไกลจากตัวมันเท่าไหร่ มันไม่พอใจเท่าใดนัก
“พวกเจ้า พวกเจ้าคือคนของตระกูลจวง?” ผู้เฝ้าประตูพลันเรืองปัญญาขึ้นมา คิดว่าห้าคนและหนึ่งวัวนี้คือเจ้าหนี้บัญชีแค้น
ทั่วทั้งเมืองเทียนเอินนี้ คนที่ตระกูลซูล่วงเกินไป มีแต่ตระกูลจวงเท่านั้น
“ตระกูลจวง?” คนเคยพบกันมาก่อน ฉินจิ่วเกอนิ่งคิดชั่วครู่ เอ่ยถามว่า “หรือว่า จะเป็นจวงปี้[1]?”
ชื่อนี้ช่างสดใหม่ได้อรรถรสจริงๆ
ไม่ว่าฉินจิ่วเกอฉินปาเตา ยังมีซ่งเล่อลั่วเฉินอันใด ล้วนไม่อาจเทียบได้กับท่านพี่จวงปี้ท่านนี้
“ว่าแล้วเชียว!” ผู้เฝ้าประตูแววตาอึมครึม สีหน้าสิ้นหวัง ตะกายแขนแขาถลาเข้าไปภายใน “เจ้าข้าเอ๊ย กองกำลังตระกูลจวงมาถึงแล้ว!”
“ฮี่ฮี่” ฉินจิ่วเกอที่รสนิยมสูงส่งมีระดับ เร่งระดับเสียงของมันขึ้นสำทับ “พวกเราคือปรมาจารย์ผู้มีคุณธรรมจากตระกูลจวง พี่น้องทั้งหลาย อย่าได้เข้าใจผิดไป”
เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังประสบปัญหา ฉินจิ่วเกอไม่พลาดโอกาสส่งหมอนให้ในความมืด
พอดีเลย สามารถใช้โอกาสนี้ รวบตระกูลซูเข้าร่วมกับบรรพตสละฟ้า
จากนั้น ฉินจิ่วเกอเก็บศิลาวิญญาณลงกระเป๋าอย่างดี นำทางคนทั้งหมดสาวเท้าเข้าประตูไป
ในห้องโถงใหญ่ ผู้นำตระกูลซูดวงตาแดงก่ำ กำลังช่วยบุตรชายจัดแจงเสื้อผ้าอาภรณ์ พลันไ้ด้ยินเสียงผู้เฝ้าประตูตะโกนร้องแรกแหกกระเชอ
“มาได้เร็วจริงๆ เจ้ารีบหลบออกไปทางประตูหลัง” ผู้นำตระกูลซูมีจิตคิดปกป้องบุตรชาย ผลักซูมู่ซวนออก จัดแจงเสื้อผ้าก่อนก้าวออกรับหน้า
อาวุโสทั้งหลายลากดึงซูมู่ซวน ผลักมันออกไปทางประตูหลัง
ซูมู๋ซวนแกล้งทำเป็นคล้อยตาม จากนั้นระเบิดพลังสลัดอาวุโสทั้งหลายออก ถาโถมเข้าใส่ห้องโถงใหญ่
เมื่อเข้าสู่ประตู ฉินจิ่วเกอกำลังท่องบ่นบทสนทนาซ้ำแล้วซ้ำอีก ว่ายามพบหน้าผู้นำตระกูลซูอีกครั้ง สองคนสมควรทอดถอนใจยามพบหน้า จากนั้นถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ รับประทานข้าวดื่มน้ำกันหรือยังอะไรเทือกนั้น
ขณะกำลังใคร่ครวญ เสียงฝีเท้าสับเข้ามาอย่างเร็วรี่ สี่ประมุขขุนเขาติดตามมาทางด้านหลัง ทิ้งระยะห่างหลายช่วง ด้วยเกรงว่าจะทำลายภาพพจน์ของราชันออกทอดทัศนาชาวประชาราษฎร์ของมันไป
และในเวลานี้เอง ผู้นำตระกูลซูเดินเข้ามาด้วยสายตาพร้อมกลับสู่บ้านเก่า คิดเร่งพบหน้ากับฝ่ายตรงข้าม
ส่วนฉินจิ่วเกอกำลังก้มหน้าก้มตา ยังคงขบคิดใคร่ครวญวิธีการเจรจาความ
ซูมู่ซวนที่สลัดหลุดจากอาวุโสตระกูลซูก็วิ่งเข้ามาเพื่อเสี่ยงชีวิตกับศัตรู
มันที่มีความคิดตกตายตามกันถาโถมเข้ามาด้วยระดับความเร็วที่ไม่อาจหยุดยั้งทัน
คนเร่งเท้าขึ้นมาเล็กน้อย พอดีมาถึงยามฉินจิ่วเกอและผู้นำตระกูลซูพบหน้ากับ ซูมู่ซวนก็วิ่งเข่นห่าเข้าใส่
“ตายซะเถอะ!”
ซูมู่ซวนอัดแน่นด้วยเพลิงแค้น แล่นถลาเข้าใส่ราวพายุอสนีบาตลมหมุนดินพลิก ตันเถียนของมันสั่นสะท้าน ทุ่มเทสรรพกำลังจู่โจมเข้าใส่ฉินจิ่วเกอ
ฉินจิ่วเกอที่กำลังก้มหน้าขบคิดแววตาเหม่อลอย ไม่คิดว่าพิสุทธิ์ไพศาลขั้นต้นเช่นมัน กลับถูกปราณสุริยันขั้นสูงสุดทลายปราการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันวิ่งเข้าใส่ดั่งสัตว์อสูรคลั่ง กำปั้นเหล็กของมันน่ากลัวยิ่ง
ก่อนหน้านี้ ยังทำท่าเป็นนายเหนือสูงสุดแห่งกลั่นดวงธาตุ ยามนี้เมื่อมาอยู่ภายใต้ไฟแค้นของซูมู่ซวน คนกลับกลายเป็นกระต่ายน้อยน่ารักไร้เดียงสาไป
“เกิดอะไรขึ้น?” ฉินจิ่วเกอเพียงเพิ่งออกปาก ก็ถูกกำปั้นเสี่ยงชีวิตของซูมู่ซวนกระแทกเข้าเต็มรัก
“หา?” สี่ประมุขขุนเขายังไม่ทันปะติดปะต่อเรื่องราว ไม่ใช่บอกว่ามาบ้านลุงของมันหรอกหรือ แล้วนี่อะไร?
โครม!
ยอดยุทธ์ไร้เทียมทานแปลงร่างเป็นเทวดาลอยฟ้า กระเด็นกลับหัวกลับหางหมุนตลบอยู่กลางอากาศเจ็ดแปดรอบ สุดท้ายหัวทิ่มลงปักพื้น จมในกองฝุ่นคลีไม่ทราบเป็นตายร้ายดี
[1] จวงปี้ แปลว่ากำแพง พ้องเสียงกับจวงปี้ที่แปลว่าเสแสร้ง หลอกลวง ปลอมเปลือก