ตอนที่ 143 แขกผู้มีเกียรติเชิญนั่ง

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

“ประมุขน้อย! ”

สี่ประมุขแตกตื่นลนลาน สถานการณ์พลิกผันหน้ามือหลังมือ

ยุคสมัยนี้ มดปลวกชั้นปราณสุริยันขั้นสูงสุดถึงกับกล้าลงมือต่อมดใหญ่พิสุทธิ์ไพศาลขั้นต้น

ที่สำคัญที่สุด มดใหญ่ตัวนี้ถึงกับพ่ายแพ้ ร่วงลงกับพื้นไม่ทราบเป็นหรือตาย

“กลั่นดวงธาตุ! ” ประมุขซูตื่นตกใจ เพื่อที่จะจัดการกับตระกูลซูของพวกมัน ตระกูลจวงถึงกับส่งตัวยอดฝีมือกลั่นดวงธาตุมาถึงสี่

ยังมีวัวประหลาดตัวนั้นที่เขาแหลมไปถึงสวรรค์ สองขาเหมือนเสาค้ำฟ้า แถมมันเองก็เป็นกลั่นดวงธาตุ เหนือล้ำยิ่งกว่าบรรพชนตระกูลหยวน

“ฉินจิ่วเกอ? ”

มองดูบุรุษหนุ่มรูปงามที่กำลังนอนจมกองเลือดอยู่บนพื้น ฟันขบแน่น ราวกับว่ากำลังจะตายได้ทุกเมื่อ

ประมุขซูก็ตะลึงจนโง่งม บุตรชายตนเองร้ายกาจเกินไปแล้ว แม้แต่ยอดฝีมือชั้นพิสุทธิ์ไพศาลยังต้องนอนราบแก้ว

ที่ทำให้มันยิ่งตกใจขึ้นไปอีกก็คือ ฉินจิ่วเกอผู้นี้ หนึ่งปีก่อนชัดเจนว่ายังอยู่เพียงชั้นปราณสุริยัน นี่จะรุดหน้าเร็วเกินไปหน่อยหรือไม่

แต่พลังยุทธ์ของมันกลับเหมือนกระดาษ เพียงพริบตาก็ถูกบุตรชายตนทุบตีจนหมดสารรูปเช่นนี้

นึกถึงญาติที่เมื่อครู่อ้างว่าเป็นหลานมัน คงจะไม่ใช่เจ้าเด็กแสนอาภัพตรงหน้านี้หรอกนะ?

ในขณะที่สี่ประมุขยังคงร่ำไห้หาบิดามารดาอยู่นั้น ฉินจิ่วเกอก็ค่อยๆ ฟื้นคืนสติ สองแขนอ่อนเปลี้ย “พี่ซู ท่านลงมือได้อำมหิตดีจริงๆ ”

แม้ใบหน้าของซูมู่ซวนจะบวมฉึ่งเป็นหน้าสุกรไปแล้ว แต่จากหว่างคิ้วของมัน ฉินจิ่วเกอยังคงคุ้นเคยกับแพะอ้วนที่เคยถูกตนเชือดอยู่

ซูมู่ซวนเกาหลังคออย่างกระอักกระอ่วน พี่ฉินช่างน่าเวทนาโดยแท้

พบเห็นแววตาปานจะฆ่าฟันของห้ากลั่นดวงธาตุ ประมุขซูคล้ายตื่นจากความฝัน ที่แท้ตนเข้าใจผิดไป……

หลังจ่ายค่ายารักษาให้ ฉินจิ่วเกอก็ฟื้นสภาพกลับมาทั้งที่เลือดยังท่วมตัว กลับมานั่งอยู่ในห้องโถงตระกูลซูด้วยสภาพคึกคะนองมีชีวิตชีวา พูดคุยถามไถ่กับประมุขซูด้วยความเป็นกันเอง

ส่วนสี่ประมุขขุนเขา พวกมันต่างก็เฝ้าอารักขาฉินจิ่วเกอไม่ห่าง โดยเฉพาะกับเจ้าคนหน้าสุกรนั่น จำต้องระวังไม่ให้มันเข้าใกล้เกินสิบก้าว

“แปลว่า พวกท่านดันไปล่วงเกินตระกูลจวงเข้า? ” สุภาพบุรุษฉินเป็นผู้เปิดกว้าง ในเมื่อได้ค่าชดเชยเป็นยารักษามามากพอ ก็ไม่จำเป็นต้องคิดแค้นฝังใจ หันมาพูดคุยเรื่องธุรกิจกันจะดีกว่า

ประมุขซูนั่งกระสับกระส่ายอยู่กับที่ ก่อนจะต้องทิ้งตัวลงกับเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรง จากนั้นก็ทำท่าเหมือนจะลุกขึ้นมา

ห้ากลั่นดวงธาตุตรงนั้นไม่คิดที่จะนั่งลง ตนที่เป็นเพียงพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุด ในสายตาของพวกมัน คงไม่อาจเทียบได้แม้แต่ปลวก

“เกินไปแล้ว! ” ฉินจิ่วเกอตบพนักเก้าอี้ดังฉาด “ตีคนไม่อาจตีใบหน้า ตระกูลจวงระรานผู้คนปานนี้ จะต่างอะไรกับเดียรัจฉาน ชัดเจนว่าพวกมันตั้งใจจะไม่ให้ท่านมีโอกาสได้ตบแต่งมีภรรยา เพื่อที่ว่าสายเลือดตระกูลซูของท่านจะถูกตัดสะบั้นลงเพียงเท่านี้ นี่มันช่างอำมหิตเกินมนุษย์โดยแท้”

ประมุขซูกระอักไออย่างกระอักกระอ่วน บาดแผลบนใบหน้าของบุตรมัน เป็นมันเองที่ลงมือยามเห็นความถูกต้องมาก่อนสายสัมพันธ์

ฉินจิ่วเกอไม่ทราบ แต่ก็ยังเคารพอย่างสุดซึ้ง

บ้านตระกูลซูนี้นั้น ช่างดุร้ายเกรี้ยวกราดจริงๆ

ดูจากตัวซูมู่ซวนและบิดามัน ก็มองออกได้ทันทีว่าบ้านตระกูลนี้นั้น ไม่ว่าจะต่อตนเองหรือผู้คน ต่างก็อำมหิตไร้ใจสิ้น

“เอาล่ะ พวกเรามานั่งคุยกัน ในเมื่อประมุขซูรับปากข้าว่าจะยอมจ่ายเงินสามสิบล้านให้กับข้าภายในเวลาสิบปี พวกท่านเองก็ไม่จำเป็นต้องประหม่ากังวลถึงเพียงนี้”

“เช่นนั้นไม่ทราบว่าสาเหตุที่วีรชนฉินมาเยือนตระกูลซูของเราเป็นเพราะสาเหตุใดกันหรือ? ” น่าแปลกพออยู่แล้วที่ห้ากลั่นดวงธาตุถึงกับยอมรับฟังคำสั่งจากเด็กชั้นพิสุทธิ์ไพศาลคนหนึ่ง ทำให้ประมุขซูยิ่งไม่กล้าล่วงเกิน

แม้แต่ทายาทตระกูลจวงที่ซูมู่ซวนไปตอแยเองก็ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะให้กลั่นดวงธาตุมายืนอารักขาเช่นนี้

“ที่ข้ามา เพราะต้องการดำเนินธุรกิจกับตระกูลซู” ฉินจิ่วเกอโพล่งออกมาตรงๆ

ประมุขซูถอนใจ “วีรชนฉินคงจะไม่ทราบ แต่ที่พวกเราตระกูลซูเผลอไปล่วงเกินเข้าครั้งนี้ ไม่ใช่ขุมอำนาจระดับตระกูลหยวนนั่นแล้ว แต่เป็นตระกูลจวงที่เป็นรองเพียงสี่ขุมอำนาจสูงสุดเท่านั้น แม้แต่สมาคมนักปรุงยายังไม่คิดที่จะสอดมือก้าวก่าย”

“ง่ายมาก ข้าจะช่วยตระกูลท่านคลี่คลายปัญหาเรื่องตระกูลจวงเอง และนับแต่นี้ตระกูลซูก็จะเป็นขุมอำนาจที่ขึ้นตรงกับพวกเรา เป็นอย่างไร? ”

ประมุขซูเกิดความตื้นตันขึ้นมาเล็กน้อย

ตระกูลจวงทรงอำนาจ กลั่นดวงธาตุมีหนี้ให้ต้องชำระกับตระกูลซู เป็นคนอื่นย่อมไม่มีใครยอมไปล่วงเกินตระกูลจวงอันเป็นขุมอำนาจขนาดยักษ์เพื่อตระกูลซูเช่นนี้แน่

มีทุนรอนพอที่จะล่วงเกินหรือไม่ กล้าพอที่จะล่วงเกินหรือไม่ นี่ก็คือปัญหาสำคัญ

ประมุขซูกัดฟัน กล่าวให้คำมั่น “หากพวกเราข้ามผ่านอุปสรรคตรงหน้านี้ไปได้ ตระกูลซูต่ำสูงย่อมหวังให้มียอดฝีมือกลั่นดวงธาตุมาคุ้มกะลาหัวให้ นี่ไม่ใช่ข้าอวดอ้างสรรพคุณตัวเอง แต่อาศัยเส้นสายและแวดวงการค้าธุรกิจของตระกูลซู ในเมืองเทียนเอินแห่งนี้ไม่มีใครเทียบเราได้อีก”

“ดี ข้าเชื่อพวกเจ้า”

ขอเพียงตระกูลซูพยักหน้า ยินดีที่จะเข้าร่วมกับบรรพตสละฟ้า ไม่เท่ากับว่าได้กำลังหนุนอันทรงพลังมาอยู่ใต้ร่มธงเดียวกันหรอกหรือ กองหนุนกองนี้ บางทีตอนนี้อาจจะยังไม่เห็นภาพ แต่ในวันข้างหน้า พวกมันจะต้องชักนำกระแสความมั่งคั่งให้ไหลสะพัดเข้าสู่บรรพตสละฟ้าอย่างต่อเนื่องไร้สิ้นสุดเป็นแน่

“เพียงแต่ ตระกูลจวงมีกลั่นดวงธาตุอยู่ไม่น้อยเลย แถมยังมีสายสัมพันธ์กับเขาพิรุณเซียนอันเป็นสี่กองกำลังสูงสุดอีกด้วย วีรชนฉิน อาวุโสทั้งห้าข้างหลังนั้น พอที่จะ……”

ประมุขซูมิอาจไม่กังวล อย่างไรเสียมันก็ยังไม่ทราบถึงระดับฝีมือของยอดฝีมือกลั่นดวงธาตุทั้งห้า ไม่ว่าพวกมันจะรับมือกับตระกูลใหญ่ที่มีมรดกมากกว่าหนึ่งพันปีขึ้นไปได้หรือไม่ก็ยังไม่ทราบ

ซูมู่ซวนทุบตีทายาทสายตรงตระกูลจวง เท่ากับเป็นการตบหน้าตระกูลจวงอย่างจัง อีกฝ่ายจะต้องส่งตัวอาวุโสออกมาประกาศศักดาอย่างแน่นอน กล้าที่จะสยบตระกูลซู ไม่ใช่ไม่มีกองกำลังไหนไม่เคยริอ่าน เพียงแต่ไม่มีความกล้าพอที่จะลงมือต่างหาก

ใครก็ตามที่คิดละเว้นตระกูลซู เท่ากับไม่เห็นหัวตระกูลจวง ในเมื่อไม่เห็นหัวตระกูลจวง ก็ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับผลลัพธ์ที่จะตามมา กระทั่งว่าแม้แต่เขาพิรุณเซียนก็อาจเจียดกำลังส่วนหนึ่งออกมาร่วมมือ

มังกรไม่อาจกำราบงูเจ้าถิ่น กองกำลังหลายฝักหลายฝ่ายในทวีปฉงหลิงล้วนคาบเกี่ยวกันอยู่ พลังของคนเพียงคนเดียวช่างเล็กจ้อยจนไม่มีบทบาทอะไรเลย

“ถามเจ้าอย่าง” ฉินจิ่วเกอยกชาขึ้นมาจิบ หลังเอนพิงกับเก้าอี้

“เชิญเลยท่าน”

“ได้ยินว่าตระกูลจวงมีคนชื่อจวงปี้ มันเป็นใคร”

“นั่นคือผู้นำตระกูลคนปัจจุบันของตระกูลจวง ร้อยปีก่อนเข้าสู่นาวาเรืองปัญญา และเพิ่งจะออกจากที่คุมขังมาไม่ได้ไม่กี่ปีนี้เอง ลือกันว่านาวาเรืองปัญญาออกจากเมืองเทียนเอินไปแล้ว และในช่วงหลายหมื่นปีนี้ ถึงกับมีคนได้รับผลอู๋เลี่ยงสดไปครอง! ”

ฉินจิ่วเกอเชิดมุมปากขึ้นอย่างพึงพอใจไม่น้อย ก่อนต้องยกมือปิดหน้าตัวเอง ล้อกันเล่น นอกจากศิษย์น้องรอง บนโลกนี้จะยังมีใครที่โดดเด่นเฉิดฉายยิ่งไปกว่ามันอีก สายตาของประมุขซูยังขาดแคลนอยู่นะนี่

“งั้นก็ไม่มีปัญหา ดูเหมือน อาวุโสจากตระกูลจวงจะมาถึงแล้ว”

หลังทะลวงสู่พิสุทธิ์ไพศาล ผนึกหลิงไถ สัมผัสเทวะของฉินจิ่วเกอก็เพิ่มพูนขึ้นสิบเท่า แม้จะนั่งอยู่ในห้อง แต่ก็ยังรับรู้ถึงขุมพลังไม่อ่อนโทรมได้จากด้านนอก นั่นเป็นของผู้ฝึกตนที่บรรลุมหาวิถีทองคำแล้ว

“ระดับฝีมือขั้นใด? ” ฉินจิ่วเกออ้าปากหาว ถามอย่างเกียจคร้าน

ระหว่างตนกับประมุขจวง ถือว่ายังมีวาสนาต่อกันอยู่บ้าง เพียงแค่นามของอีกฝ่าย ก็คู่ควรให้ฉินจิ่วเกอผูกมิตรด้วยแล้ว

ประมุขหยางเข้ามากระซิบข้างหู “ขั้นสามกลั่นดวงธาตุ พลังฝีมืองั้นๆ ”

ประมุขซูพอได้ฟัง ถึงกับนั่งไม่ติดที่

นี่เทียบกับบรรพชนหยวนแล้ว ยังเหนือกว่าสองช่วงชั้นย่อย สามารถกวาดล้างตัวตนสูงสุดในเมืองล่วนโต้วได้ไม่ยาก ต่อให้พลิกแผ่นดินหา ยังไม่อาจหาตัวกลั่นดวงธาตุขั้นสามได้สักราย

“นี่.. วีรชนฉิน ห้าอาวุโสข้างหลังท่าน ใครสามารถออกหน้าลงมือได้บ้าง? ” ประมุขซูใช้มือนวดง่ามนิ้วอย่างกังวล

ซูมู่ซวนใช้ตาที่เหลือเพียงตะเข็บเล็กๆ จ้องมองฉินจิ่วเกออย่างวาดหวัง ไม่แน่ว่าเจ้าหมอนี่อาจสามารถนำพาตระกูลซูของพวกมันฟื้นผงาดกลับมาเหมือนหงส์ได้อีกครั้ง แม้ตระกูลซูจะต้องผจญกับภัยพิบัติไปเสียทุกคราว แต่ไม่ว่ามองหน้ามองหลังอย่างไรก็ต้องเจอเงาของดาววิบัตินี้ทุกครั้งไป

ฉินจิ่วเกอตวัดมือ ชี้นิ้วไปทางประมุขหยางที่ทำท่าเหมือนเป็นเกียรติอย่างล้นพ้น บุคคลลำดับสองของบรรพตสละฟ้าที่เพิ่งเลื่อนฐานะมาหมาดๆ “ประมุขหยางท่านนี้ สามารถตัดภูผาหั่นมหานที สั่นเขย่ามวลมิติ นับแต่เริ่มต้นบำเพ็ญเพียร ยากจะมีคู่ต่อกร”

“โอ้ ประเสริฐ ประเสริฐ” ประมุขซูผงกศีรษะหงึกหงัก ในเมื่อยากมีคู่ต่อกร เช่นนั้นก็ให้ท่านผู้นี้เป็นคนลงมือเถอะ

แต่ฉินจิ่วเกอกลับถอนใจออกมา “เพียงแต่ประมุขหยางท่านนี้ บังเอิญเพิ่งได้รับบาดเจ็บร้ายแรงทางสายตา แค่ลมพัดยังน้ำตาไหล จึงไม่อาจออกหน้าภายใต้สถานการณ์ที่มีกระแสลมก่อหวอดเช่นนี้ได้”

ประมุขหยางตะลึงงัน จากนั้นเป็นต้องยกมือปิดตาตัวเอง บ่งบอกว่ามีปัญหาด้านสุขภาพ

“ส่วนประมุขหลิวของข้าท่านนี้ พละกำลังยิ่งใหญ่ไร้ทัดเทียม สามารถผ่าเปิดห้วงสมุทร กับอีแค่กลั่นดวงธาตุขั้นสาม ย่อมไม่คณนามือมัน”

“เช่นนั้นก็วิเศษไปเลย ขออาวุโสโปรดลงมือ”

แต่ฉินจิ่วเกอกลับถอนใจยืดยาวออกมาอีก “เสียดายที่ประมุขหลิวของเราผู้นี้ ไม่นิยมลงมือท่ามกลางสภาพแวดล้อมขาดแคลนกันดาร ท่านเองก็รู้ ยอดฝีมือล้วนแต่เป็นพวกจู้จี้มากเรื่อง หากสภาพจิตใจย่ำแย่ก็ย่อมส่งผลกระทบถึงผลที่จะออกมา”

“แต่ท่านไม่ต้องกังวลไป” มองดูประมุขซูที่ทำท่าเหมือนมารดาเพิ่งล่วงลับ ฉินจิ่วเกอก็เอ่ยอย่างใจกว้าง “ประมุขจูของพวกเราท่านนี้ อย่าได้ดูว่ามันผอม เทียบกันแล้ว อาวุโสตระกูลจวงท่านนั้นยังเป็นได้แค่มดปลวกที่พยายามจะโค่นล้มไม้สูงเท่านั้น”

“เช่นนั้นก็……” ประมุขซูได้รับบทเรียน เลยไม่ได้รีบสอบถามความเห็นจากหมอเหมือนก่อนหน้า

อย่างที่คาด ฉินจิ่วเกอส่ายหน้าคล้ายกำลังเล่นตลกออกมาอีกครั้ง “เสียดายที่ประมุขจูเป็นพวกเก็บตัวและมีจิตใจอันเมตตา ไม่นิยมลงมือใช้กำลัง แต่ถนัดในการโน้มน้าวจิตใจผู้คนด้วยศีลธรรมมากกว่า แค่กๆ ทั้งหมดนี้ล้วนมีข้าเป็นต้นแบบ”

“มาดูกันต่อที่ประมุขโหวของเราท่านนี้กันดีกว่า รูปร่างสูงใหญ่ดั่งขุนเขาหมื่นจั้ง ไม่เคยเห็นสิ่งใดอยู่ในสายตา เพียงแค่ดูกล้ามเนื้อพวกนี้ ก็รู้ได้ทันทีว่าไม่อาจตอแย ดีไม่ดีเมืองล่วนโต้วอาจหายไปในชั่วข้ามคืนเอาง่ายๆ ”

“แต่มันเองก็ไม่อาจออกหน้าลงมือ” ประมุขซูเอ่ยดักคอ สีหน้าเต็มไปด้วยความขมขื่นปานกลืนยาพิษลงท้อง

“หรือว่าพี่ฉินตั้งใจจะออกหน้าเอง? ” ซูมู่ซวนพลันเกิดความเลื่อมใสในตัวพี่ฉินผู้นี้ขึ้นมากะทันหัน สมแล้วที่เป็นบุคคลปาฏิหาริย์ พิสุทธิ์ไพศาลคิดต่อยตีกับกลั่นดวงธาตุ อันใดคือรนหาที่ตาย นี่แหละคือรนหาที่ตาย

ฉินจิ่วเกอยกมือกุมศีรษะ กุมหัวใจ กุมตับไต “เดิมทีข้าก็ตั้งใจว่าจะออกหน้าเองนั่นแหละ กับอีแค่กลั่นดวงธาตุขั้นสาม ต่อให้เป็นเจ็ดดวงธาตุ ข้าก็สามารถสับประหารมันด้วยมีดหั่นหมูของข้าได้ทั้งนั้น”

ทุกคนต่างเผยสีหน้าดูแคลนออกมาโดยพร้อมเพรียง มีเพียงสีหน้าของประมุขขุนเขาที่ยังคงเป็นปกติ ฉินจิ่วเกอไม่ได้พูดม้าๆ ต่อให้อาศัยไพ่ตายที่เฒ่าเสียเยว่เหลือทิ้งไว้ แต่มันก็เป็นคนกำจัดฆ่ายอดฝีมือกลืนตะวันและผนึกน้ำแข็งด้วยตัวเอง

“พูดไปก็น่าเสียดายจริงๆ แต่เผอิญเมื่อกี้ข้าถูกหมัดระเบิดเวหาของพี่ซูต่อยเข้าอย่างจัง ดังนั้นจึงไม่ควรที่จะขยับร่างกายเกินกว่านี้”

ประมุขซูเดินเป็นหนูติดจั่น สีหน้าร้อนรน “แล้วนี่จะทำยังไงดี อาวุโสตระกูลจวงเองก็มาถึงแล้ว แถมเจ้าปู่น้อยศิษย์สายตรงที่มู่ซวนไปล่วงเกินเข้าก็มาด้วย”

“อย่าแตกตื่นไปเลย ดูข้า” ฉินจิ่วเกอชี้นิ้วมาทางตัวเอง “ต่อให้เขาไท่ซ่านถล่มลงตรงหน้าข้าก็ยังเฉย ท่ามกลางห้วงจักรภพอันไพศาลไร้ขอบเขตมีเพียงข้าที่ยังปลอดโปร่งไม่นำพา”

ประมุขซูเค้นความโศกเศร้าออกมาจากใจ “ตระกูลซูของข้าตายไม่เสียดาย แต่หากล่มสลาย เพียงเสียดายศิลาวิญญาณที่ติดค้างวีรชนฉิน เกรงว่าชาตินี้คงไม่มีหวังได้ชดใช้ ช่างน่าเศร้า.. น่าเศร้าอะไรอย่างนี้! ”

ฉินจิ่วเกอล้มโต๊ะเก้าอี้ เท้าเหยียบลงบนม้านั่ง “หลงเฟิง เป็นเจ้าก็แล้วกัน ไปจับตัวอาวุโสตระกูลจวงนั่นมาให้ข้า”

เผ่าพิสดาร ถือครองมรดกสายเลือดและสังขารอันทรงพลังกว่าเผ่าอสูร รวมถึงพรสวรรค์ทางสติปัญญาอันติดตัวมาของมนุษย์ ศักยภาพของพวกมันเองก็ไม่อาจดูเบาได้

“สิบล้านนะสิบล้าน” ฉินจิ่วเกอทำปากกระซิบกระซาบ

หลงเฟิงแค่นเสียงทีหนึ่ง จากนั้นเอามือพาดไหล่เดินดุ่มๆ ออกไป

“วีรชนฉิน แม้เจ้าโครงกระดูกที่ท่านพามาจะดูน่าตกใจไปบ้าง แต่เกรงว่าอาจจะไม่ใช่คู่มือฝ่ายนั้น” ประมุขซูเห็นภาพนี้ก็ตะลึงไป อีกฝ่ายเป็นถึงยอดฝีมือกลั่นดวงธาตุขั้นสาม เจ้าช่วยจริงจังกว่านี้หน่อยได้หรือไม่

“หายห่วง สบายบรื๋อ” ฉินจิ่วเกอจิบชาอย่างไม่แย่แส แสดงชัดถึงความศักดิ์สง่ามีราศี

“คนหนุ่มคนสาวจำต้องออกหาประสบการณ์ติดตัวให้มากไว้ ดั่งคำที่ว่าวิถีเต๋าขัดเกลาผ่านพ้นลำบากหมื่นเคราะห์ พายุซัดทรายสาดจึงพบทองคำ มรรคาแห่งการฝึกตน เปรียบเหมือนนาวาที่ลอยทวนกระแสน้ำ มนุษย์จะเสาะหาเส้นทางสายใหม่ได้ก็ต่อเมื่อได้รับแรงกดดันอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้งนี่เอง”

“วาจาของประมุขน้อยช่างล้ำค่าดั่งมุกพลอย มากด้วยปัญญาและความสามารถ น่าเลื่อมใสๆ ” ประมุขโหวไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป รีบนำเสนอแนวคิดใหม่ออกมาไม่หยุด

“หามิได้ๆ ” ฉินจิ่วเกอวางแก้วชาในมือลง จากนั้นนั่งแอ่นอกผึ่งผาย “สิ่งสำคัญคือใบหน้าและรูปโฉมอันงามล้ำเกินคนของข้าต่างหาก ทั้งสองสิ่งนี้ช่วยแต่งเติมสติปัญญาและเสน่ห์รัญจวนใจอันไร้ขีดจำกัดอยู่แล้วให้มากมายเท่าทวีขึ้นไปอีก”