ตอนที่ 144 ข้าคนนี้มีเหตุผล

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

“อ้วก”ประกายหยินยะเยียบในดวงตาของประมุขขุนเขาสั่นสะท้าน ไม่ทราบที่แท้สมควรหวั่นไหวคล้อยตามหรือยืนหยัดก้าวออกมาเตือนสตินายน้อยของพวกมันดี

อาวุโสตระกูลจวงบุกอย่างอาจหาญทะยานฟ้า เข้ามาพร้อมผู้เคราะห์ร้ายในเวลานี้พอดี

นอกประตูตระกูลซูยามนี้ไก่เตลิดสุนัขกระเจิงหนี ไร้ร่องรอยผู้คน

อาวุโสตระกูลจวงผู้นั้นถือมีดกวาดตาหาทั่วสี่ทิศ ด่าทอใส่ผู้เคราะห์ร้ายท่านนั้น “ดูเจ้าสิ ตนเองสู้ผู้เยาว์ของตระกูลเล็กๆ ยังไม่ได้ ปราณสุริยันขั้นสูงสุดเหมือนกันแท้ๆ น่าขายหน้านัก”

ผู้เคราะห์ร้ายปิดตาข้างหนึ่งไว้ “ตอนแรกข้าก็สู้กับมันดีๆ ใครจะคาดว่ามันใช้วิธีของคนต่ำช้า ยามคับขันกลับถ่มน้ำลายออกมาใส่ข้า น้ำลายร้อนๆ ทิ่มเข้าตาข้าพอดี ไม่งั้นข้าไม่มีทางแพ้มันแน่”

“อาวุโส คนพวกนี้ต่ำช้ายิ่ง ท่านเองก็ต้องระวังไว้”

“น่าขัน เราผู้เฒ่าท่องทั่วเมืองเทียนเอินมานับร้อยๆ ปี คลื่นลมใหญ่โตเพียงไหนล้วนผ่านมาหมดสิ้น วิธีการต่ำช้าที่ไม่อาจพบพานคนพวกนี้ ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”

ในห้องโถงใหญ่ ซูมู่ซวนอ้าปากหาวหวอดๆ คารวะขออภัยต่อฉินจิ่วเกอต่อเนื่อง คนผู้นี้คือผู้มีพระคุณที่สอนสั่งการต่อยตีผู้คนแก่ตนเอง ยังล้ำค่ากว่าทักษะยุทธ์ระดับเจ็ดอีก

อาวุโสตระกูลจวงเปิดประตู เพิ่งจะหันกาย พลันพบเขาแหลมยาวคู่หนึ่งขวิดเข้าใส่หน้าผากจนบวมปูดขึ้นมาทันทีสองลูกจนมันต้องมึนเวียนศีรษะไปชั่วขณะ รอจนมันคืนสติ หน้าผากก็บวมปูดโปนออกมาจนสูงเด่น

“เจ้าเด็กน้อย พวกเจ้าเล่นไม่ซื่อ ชั่วช้าไร้ยางอาย!”อาวุโสตระกูลจวงคลำหน้าผากป้อยๆ บทเรียนอันโชกเลือด

หลงเฟิงยังคงหน้าตายไร้อารมณ์ ไม่ต่างจากท่อนไม้ในโลงหิน สีหน้าเย็นชา “เจ้าคืออาวุโสตระกูลจวง?”

อาวุโสตระกูลจวงยังคงลูบหน้าผาก ปากแผลยังเจ็บแปล๊บๆ “เราผู้เฒ่านั่งไม่เปลี่ยนชื่อเดินไม่เปลี่ยนแซ่ *จวงเฉียนอาวุโสตระกูลจวง”

อุ๊บ

ขนาดหลงเฟิงเองยังไม่อาจกลั้นหัวเราะได้ ตระกูลนี้มีทั้งจวงปี้ (ปลอม) และจวงเฉียน (เงิน) ช่างไม่ต่างจากประมุขน้อยเท่าใด ล้วนแล้วแต่เป็นของชั้นเลิศ

ฉินจิ่วเกอดึงซูมู่ซวน “อย่าได้บอกว่าข้าไม่ให้โอกาสเจ้า ฉวยโอกาสที่หลงเฟิงรับมือกับอาวุโสตระกูลจวง พวกเราไปเสาะหาเจ้าเด็กนั่นทุบตีมันสักรอบหนึ่ง ช่วยเจ้าระบายอารมณ์”

“พี่ฉินช้าก่อน บาดแผลบนใบหน้าข้า…”

“อย่าอายไปเลย จะว่าไป เป็นฝีมือเจ้าหมอนั่นใช่หรือไม่ ช่างชั่วช้าจริงๆ ตีคนมุ่งตีใส่หน้า จิตใจเจ้าคนนี้ต้องชั่วร้ายอัปลักษณ์ขั้นสุด น่าชิงชังขยะแขยงจนสุดทนดู”

“แค่กแค่ก”ผู้นำตระกูลซูก้มหน้า กระแอมไอออกมา ไม่ทราบสมควรกล่าวกระไร

“พี่ฉิน ท่านฟังข้าว่ากล่าวก่อน”

“ไม่ต้องพูดแล้ว เจ้าเล่นงานมัน ส่วนข้าจะเล่นงานแหวนมิติของมัน เจ้ายังไม่รู้อะไร ข้าในตอนนี้บ้านช่องโตใหญ่กิจการใหญ่โต จนกรอบยิ่ง”

ไม่รอให้พูดอะไร ฉินจิ่วเกอก็ลากซูมู่ซวนออกจากห้องโถงไปแล้ว ส่วนหลงเฟิงและอาวุโสตระกูลจวงต่างก็ต่อยตีกันจนลมพัดน้ำกระพือ ส่วนเจ้าคนเคราะห์ร้ายนั่นไปหลบอยู่ห่างๆ ป้องกันลูกหลงของกลั่นดวงธาตุหลุดมา

ทันใดนั้นเอง ลมชั่วร้ายสายหนึ่งก็กรรโชกใส่ ผู้เคราะห์ร้ายหยีตา ไม่อาจมองโลกภายนอกชัดตา

อย่างรางเลือน เบื้องหน้าพลันปรากฏบุรุษหนุ่มนัยน์ตาโจร เบื้องหลังตามติดมาด้วยสุกรหัวหนึ่ง ถาโถมเข้าใส่มัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าคนหน้าโจรนั่น ปากยื่นคางย้อยทั้งใบหน้าไม่สมมาตรอย่างแรง สองมือควงหมัด สารรูปน่ารังเกียจ

ผู้เคราะห์ร้ายกำหมัดแน่น พร้อมเสี่ยงตายกับปีศาจ

มันสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายคือพิสุทธิ์ไพศาลที่มันไม่อาจสู้ได้ ส่วนหัวหมูที่ตามหลังมานั่นดูไปคล้ายคลึงกับเจ้าคนที่ต่อยตีพร้อมถ่มน้ำลายใส่มันผู้นั้น

“เดรัจฉาน ต่ำช้าสามานย์!”ผู้เคราะห์ร้ายสองตาคลอน้ำ ไหลลงบนใบหน้า

ต่อยตีถ่มน้ำลายนับว่าชั่วร้ายแล้ว ใครจะคาดว่ามันยังไปตามพิสุทธิ์ไพศาลมารุมตนเองอีก นี่มันไร้ยางอายสิ้นดี!

ตระกูลซูกระจ้อยร่อยแห่งเมืองล่วนโต้วเอง ไม่ทราบกลับไปขุดกลั่นดวงธาตุที่ไหนมาได้ตั้งแต่เมื่อใด ทั้งยังรับมือกับอาวุโสตระกูลมันอย่างสูสี โลกนี้มันโหดร้ายเกินไปแล้ว สมองของอีกฝ่ายลัดวงจรไปเรียบร้อย เบิกตามองดูกำปั้นที่พุ่งเข้ามาอย่างโง่งม

“ข้าต่อยตีกับคนมีสองหลักการ หนึ่งคือตีคนไม่อาจตีหน้า!”ฉินจิ่วเกอประกาศหลักการของตน ถลานำหน้าซูมู่ซวน ซัดใส่ผู้เคราะห์ร้ายจนล้มลงไปกับพื้น สองตาของอีกฝ่ายบวมฉึ่งเป็นหมีแพนด้า

“อ๊าอ๊า!”ผู้เคราะห์ร้ายปิดตา กลิ้งขลุกไปบนพื้น “เจ้าไม่ใช่บอกว่าไม่ตีหน้าหรอกหรือ!?”

ฉินจิ่วเกอท่าทางอวดเบ่ง “ข้าบอกว่าไม่ตีหน้าของข้าต่างหาก และกฎการตีกันที่สองของข้าคือยามตีคน ไม่อนุญาตผู้อื่นส่งเสียง จะกระทบต่ออารมณ์ของข้า”

ผู้เคราะห์ร้ายเลือดกำเดาไหล สภาพน่าเวทนา “เจ้ามันหน้าไม่อาย”

ฉินจิ่วเกอประกายตาสาดวาบ กวัดแกว่งกำปั้นขนาดเท่าถุงดินอีกครั้ง “ยังกล้าตีฝีปาก!”

“โอ๊ยโอ๊ย!”ผู้เคราะห์ร้ายร่วงลงกับพื้นอย่างสิ้นหวังจนปัญญาอีกครั้ง ปล่อยให้หมัดของผู้รังแกระรัวใส่ราวห่าฝน ส่งเสียงตกกระทบไม่หยุด

อาวุโสตระกูลจวงจวงเฉียนเห็นดังนั้นต้องเบิกตาจนกลมกว้าง ต้องตะโกนเสียงขึ้นจมูก “เด็กน้อย เจ้ารังแกคนเกินไปแล้ว เราผู้เฒ่าจะจัดการเจ้า”

กล่าวตามตรง อาวุโสตระกูลจวงออกหน้าครั้งนี้ คือการหยุดยั้งพฤติการณ์ผู้เข้มแข็งรังแกผู้อ่อนแอ ต้องการผดุงวิถีฟ้าอย่างบริสุทธิ์ใจ

หลงเฟิงขวางเบื้องหน้าอีกฝ่าย แทงเขาทั้งสองฝ่าอากาศ หมัดทั้งสองแหวกเป็นกระแสลม “ผ่านด่านข้าไปก่อนเถอะ”

ตูมมมม!

สองฝ่ายต่อยตีกันจนแยกไม่ออก ฟ้าดินเปลี่ยนสี สุริยันจันทราหม่นหมอง

ผู้เคราะห์ร้ายยามนี้ถูกทุบตีจนสิ้นสตินอนไร้ความรู้สึกอยู่บนพื้น เดี๋ยวๆ ก็แขนขากระตุกสั่นคล้ายมาถึงเส้นขอบแห่งความตาย บนใบหน้าสีม่วงแดงเหลืองพาดผ่าน มีทั้งรอยกลมรอยเหลี่ยม สารพันบุปผารูปร่างสีสันหลากหลายเบ่งบาน

ยามนี้ ในเมืองล่วนโต้ว ปรากฏหัวสุกรขึ้นมาสองหัว ซูมู่ซวนและผู้เคราะห์ร้ายสามารถกอดคอสัตย์สาบานเรียกหาอีกฝ่ายเป็นพี่น้องร่วมสาบานได้

หลังจากแย่งชิงเอาแหวนมิติของอีกฝ่ายมาอย่างหน้าด้านๆ ฉินจิ่วเกอก็คืนสู่ความสดชื่น ที่แท้ชิงแหวนมิติดีกว่าฉกชิงวิ่งราวเงินทอง จากนั้นยืนขึ้น วางฝ่ามือลงบนบ่าของซูมู่ซวน

จากสารรูปของอีกฝ่ายแล้ว แสดงว่าบนโลกนี้ ผู้ที่จะมาประชันขันแข่งความงามของบุรุษกับมันล้วนลดน้อยถอยลงไปคนหนึ่งแล้ว

ฉินจิ่วเกอยามนี้สภาพจิตใจดั่งคนรับประทานน้ำแข็งกลางฤดูร้อน

“พี่ซู เป็นอย่างไร สาแก่ใจหรือไม่?”มาอย่างไร้ร่องไปอย่างไร้รอย ใช้เวลาเพียงแค่สิบวินาที เรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบก็เสร็จสิ้นลง

ซูมู่ซวนจ้องมองท้องฟ้า สายตาพร่าเลือน อาการบาดเจ็บบนใบหน้าของมัน ที่จริงเป็นฝีมือท่านพ่อต่างหากเล่า

ทุบตีบุตรชายผดุงคุณธรรม ไม่ว่าบอกไปที่ใด ก็ต้องยกย่องว่าคุณธรรมค้ำฟ้า

ดังนั้น ซูมู่ซวนไม่บอกออกจากปาก รักษาความเงียบตั้งแต่ต้นจนจบ

ซูมู่ซวนใจตุ้มๆ ต่อมๆ บอกต่อฉินจิ่วเกออย่างคนมีความรับผิดชอบว่า บาดแผลบนใบหน้าของมันและผู้เคราะห์ร้ายที่นอนสลบไสลอยู่บนพื้นนั้นไม่มีใดเกี่ยวข้องกัน

กลับเป็นมันเองที่นอกจากจะสู้คนอื่นไม่ได้ ยังหยิบยืมใช้ทักษะเฉพาะของพี่ฉิน มังกรพ่นน้ำลายถ่มใส่ฝ่ายตรงข้าม พลิกแพ้เป็นชนะ

ไม่ว่ามองอย่างไร เป็นทางฝ่ายมันเองต่างหากที่ทำไม่ถูก ไม่เพียงไร้คุณธรรม ยังเรียกระดมพิสุทธิ์ไพศาลมารุมสกรัมอีกฝ่ายยามมาหาคนเพื่อถกเหตุผล ข่มเหงรังแกคนอ่อนแอกว่า ทุบตีจนอีกฝ่ายหมดสภาพความเป็นมนุษย์

หากมองอย่างยุติธรรม ผู้เคราะห์ร้ายตระกูลจวงนั่น เป็นอันธพาลที่โชคร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์แล้ว

พฤติการณ์อันบัดซบยิ่ง ซูมู่ซวนหน้าแดงด้วยความอับอาย กลับเป็นฉินจิ่วเกอ แม้บนใบหน้าปรากฏสีแดงขึ้นแว่บหนึ่ง แต่เพียงพริบตาก็จางหาย กลับยังยืดอกผึ่งผายได้อีก

“ข้าไม่สนเหตุผล แล้วยังไง พวกเราคือพี่น้อง ช่วยญาติพี่น้องไม่เกี่ยงหลักการ”ฉินจิ่วเกอเอ่ยขึ้นมาอย่างหน้าด้านๆ

สองตาซูมู่ซวนยิ่งว่างเปล่าใบหน้าบวมเป่งไร้สีหน้าใดๆ เพียงมุ่นคิ้วถาม “พวกเราเป็นญาติกัน?”

“แน่นอน ท่านลุงใหญ่ท่านลุงรองล้วนคือท่านลุงข้า ไม้ทำโต๊ะทั้งหลายยังไงก็มาจากป่าเดียวกัน”ฉินจิ่วเกออ้าปากร้องเพลงงิ้วรำลึกญาติอันเต็มไปด้วยชีวิตอันเก่าแก่โบราณ ระหกระเหินฝ่าคลื่นลมคมมีดของผู้คน

ซูมู่ซวนปิดหู ไม่มีหน้าตาไปชื่นชมเสียงร้องแปดหลอดของฉินจิ่วเกอได้จริงๆ

ผู้เคราะห์ร้ายยามนี้สิ้นสติสมประดี เพียงรู้สึกคล้ายใบหน้ายามนี้เหมือนมีหมื่นมีดทิ่มแทง เจ็บปวดด้านชาจนไม่อาจสัมผัสได้ถะึงอวัยวะทั้งห้าบนหน้า ยังต้องมารับฟังเสียงร้องเพลงอันสุดทานทน เหมือนเพชรทิ่มทะลวงใส่รูหู

คนต้องค่อยฟื้นตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย หอบหายใจกล่าวว่า “น่าสมเพชอะไรเช่นนี้ เสียงอุบาทว์อุบายเหลือเกิน แสยงรูหูข้าเหลือเกิน!”

ฉินจิ่วเกอไม่ใช่คนใจกว้าง ทั้งยังเจ้าคิดเจ้าแค้นยิ่ง หากกล่าวตามหลักการ วีรชนฉินผู้นี้พฤติการณ์ทั้งหลายทั้งปวงของมันนับว่าไม่อาจเรียกเป็นสุภาพบุรุษได้เต็มปากสักเท่าไร

“เจ้าว่าอะไร?”ฉินจิ่วเกอถกแขนเสื้อเล่นงานอีกรอบ

“โอ๊ยโอ๊ย!”ผ่านครั้งนี้ไป ผู้เคราะห์ร้ายก็เข้าใจหลักเหตุผลสองประการ

ประการแรก ยามต่อยตีห้ามทุบตีใบหน้า ประการหลัง บางครั้งการพูดเท็จก็ถือเป็นวิธีการป้องกันตนเองอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะยามพบเจอพวกใจแคบยิ่งกว่ากระเพาะหนูลำไส้ไก่ ทั้งยังชั่วช้าสุดแสน

จงอย่าได้ตอแยมันเป็นอันขาด แค่เสียงร้องของมันก็น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าสำเนียงมารแล้ว

“พวกเจ้า พวกเจ้าเกินไปแล้ว คอยดูเถอะ”จวงเฉียนโทสะอัดอก เห็นผู้เคราะห์ร้ายถูกอัดจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน นี่มันไร้มนุษยธรรมเกินไปแล้ว

โกรธก็โกรธ แถมยังไม่อาจเอาชัยหลงเฟิง เด็กน้อยนี้ เนื้อตัวใบหน้ามันแข็งแกร่งราวศิลา จวงเฉียนรีดเค้นเรี่ยวแรงตั้งแต่ยามดูดนมมารดาออกมา งัดทุกกลวิธี ยังไม่สามารถตีหินก้อนนี้จนแตกได้

ฉินจิ่วเกอโบกพัดจีบไหวๆ ก้าวย่างอย่างเสรี “พอได้แล้ว บุรุษหนุ่มสมควรรับแรงกระแทกจากภายนอกบ้าง มีประโยชน์ต่อการเติบโตของพลังฝีมือ”

“ไอ้คนต่ำช้าไร้ยางอาย เจ้ายังมีเหตุผลหรือไม่!”หากมิใช่มีหลงเฟิงขวางไว้ มันต้องควักเอาไส้ไอ้เด็กนี่ออกมาแน่ๆ

ฉินจิ่วเกอหมุนกาย คล้ายไม่สนใจจวงเฉียน “ไปบอกนายของเจ้า หรือก็คือจวงปี้ บอกมันว่าสหายเก่ารอคอยอยู่ที่เมืองล่วนโต้ว ให้มันมาด้วยตนเอง”

“เจ้ากล้าเรียกชื่อผู้นำตระกูลเราตรงๆ?”จวงเฉียนพิโรธโกรธกริ้ว หวนนึกถึงนามแท้จริงของผู้นำตระกูลของพวกมันจวงปี้ เรียกออกมาคราใดต้องมีคนแตกตื่นตกใจกันยกใหญ่

กล้าเรียกชื่อจวงปี้ตรงๆ ยังกล้าสร้างความวุ่นวายขึ้นบนทวีปฉงหลิง ย่อมต้องเป็นคนวงใน จวงปี้ไม่ใช่คนโง่ กระจ่างแจ่มใสเหนือโลก เป็นประมุขของตระกูลจวง

สายตาของอาวุโสไม่มีเจตนาดี หิ้วร่างลมหายใจรวยรินของผู้เคราะห์ร้ายขึ้น “ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นใคร หากคิดว่ากลั่นดวงธาตุขั้นสามกระจ้อยร่อยสามารถกร่างไปทั่วเมืองโดยไม่แยแสได้ เจ้าคิดผิดแล้ว”

“เฮอะ”ฉินจิ่วเกอเลียนแบบหลงเฟิง ทำสีหน้าดูหมิ่นออกมา

“เจ้าคอยดู รอจนยอดฝีมือตระกูลจวงมาถึงเมืองล่วนโต้วเมื่อไหร่ เจ้าจะได้แตกกระจายสลายเป็นควันแน่”

“บอกไปแล้วไง ข้าเป็นเพื่อนกับผู้นำตระกูลเจ้า เรียกให้มันมาเมืองล่วนโต้ว เล่าเรื่องราวปัจจุบันและความหลัง มิใช่งดงามบรรเจิดยิ่งหรอกหรือ”

“เจ้าคอยดู เราผู้เฒ่าไปก่อน”

อาวุโสรู้ว่าวันนี้ตีโดนจานเหล็ก กล่าวคำอาฆาตก่อนจากไปอย่างรวดเร็ว หิ้วร่างของผู้เคราะห์ร้ายราวกระสอบฟางออกจากเมืองล่วนโต้วไป

กลับมาถึงห้องโถง ผู้นำตระกูลซูร้อนรนไม่นิ่ง ไม่อาจนั่งลงได้

เดิมทีมันคิดว่าสามารถคลี่คลายด้วยการเจรจาอย่างสันติ ไม่คาดเลยว่าข้อขัดแย้งเดิมไม่ทันได้คลี่คลาย กลับยิ่งก่อแค้นใหม่เข้าไปอีก

นอกจากนี้ ผู้เข้มแข็งกลั่นดวงธาตุของตระกูลจวงยังกำลังจะมาเยือนถึงที่

กำหนดนัด ก็คือวันดับสิ้นของเมืองล่วนโต้ว หายนะทั้งมวลอยู่ในกำมือของอีกฝ่ายเพียงเส้นสายใยเดียวเท่านั้น