ตอนที่ 68.2 ประสบการณ์ครั้งแรกของการปรับปรุงทักษะเวท (2)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

หอพระสูตรเต๋าตั้งอยู่กลางภูเขาด้านหลังยอดเขาพิชิตสวรรค์

หลี่ฉางโซ่วเดินไปโดยไม่มีผู้ใดสนใจ

แม้แต่ผู้อาวุโสที่นั่งสมาธิฝึกบำเพ็ญมาตลอดทั้งปีในโถงชั้นนอกก็ยังไม่สนใจจะลืมตาขึ้นมามองเขาเลย

หลังจากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็เริ่มค้นคว้าอยู่ในห้องหลอมและเริ่มศึกษาเต๋าในแขนงใหม่

“ไม่รู้ว่าท่านอาจารย์อาจะออกมาจากการปิดด่านเมื่อใด”

ในโถงด้านนอกของหอพระสูตรเต๋านั้น สามารถพบกฎห้ามเกี่ยวกับการหลอมอยู่มากมาย

คงจะดีไม่น้อยหากท่านอาจารย์อาจะสามารถเข้าไปที่โถงชั้นในและช่วยข้าบันทึกกฎห้ามระดับสูงที่บรรดาเซียนเสิ่นในสำนักเปิดเผยต่อสาธารณะได้ นั่นคงจะดีมาก

ไม่มีกฎห้ามภายในสำนัก และเซียนเสิ่นก็จะถ่ายทอดความรู้เหล่านั้นให้แก่ศิษย์ของพวกเขาที่ยังไม่ได้บรรลุสู่เซียน

หลี่ฉางโซ่วเคาะนิ้วบนโต๊ะขณะที่กำลังครุ่นคิดอย่างรอบคอบในใจ จากนั้นเขาก็นึกถึงผู้อาวุโสในสำนักคนหนึ่ง

ผู้อาวุโสว่านหลินหยุน

เตาทองคำร้อยพันพิษที่เขาใช้อยู่ในเวลานี้ได้รับการหลอมขึ้นมาโดยผู้อาวุโสว่านหลินหยุนเอง ดังนั้นเขาย่อมสามารถขอคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการหลอมเครื่องมือจากผู้อาวุโสคนนี้ได้อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม เขาได้รับผลประโยชน์มากมายจาก ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนมามากพอแล้ว และไม่ว่าเขาจะมีหนังหน้าหนาเพียงใด แต่ก็ยังรู้สึกกระดากเช่นกัน…

“ทว่าหากมันไม่ได้ผล ข้าก็จะถามถึงกฎห้ามของอาวุธเวทที่ข้าใส่พลังวิญญาณของข้าเอาไว้”

หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจเบาๆ

เขาติดหนี้บุญคุณผู้อาวุโสคนนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีเลยจริงๆ ทำให้เขารู้สึกว่า จากนี้ไปเขาจะต้องคิดหาวิธีที่จะตอบแทนเขาให้ได้ในอนาคต

และหลังจากอยู่ในห้องหลอมมาครึ่งวัน เขาก็ไปที่ห้องลับอีกครั้ง

เขาหยิบตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ออกมาสองสามตัวแล้ววางกระจายลงบนโต๊ะ จากนั้นก็ดูเหมือนว่าพวกมันฟื้นคืนชีพ พอยืนขึ้นบนโต๊ะ พวกมันก็เริ่ม…

กระโดดขึ้น กระโจนข้าม ต่อสู้ และเต้นระบำ

หลี่ฉางโซ่วจับจ้องอย่างตั้งใจ และสัมผัสมันอย่างระมัดระวัง และในไม่ช้าก็เริ่มหยั่งรู้บางอย่าง…

ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็หยิบมีดแกะสลักและใบไผ่ออกมา และเริ่มลงบันทึกแรกในการค้นคว้าเรื่อง ‘ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ที่วิวัฒน์สู่การจำแลงกาย’

จากนั้น การคิดค้นทักษะเวทก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

หากอยากเปลี่ยนแปลงทักษะเวทของเขาให้สมบูรณ์ เขาต้องกล้าหาญ ทะเยอทะยาน และขยายขอบเขตความคิดของเขา เขาต้องระมัดระวังรอบคอบ มีสติสัมปชัญญะ และมั่นคงสม่ำเสมออย่างต่อเนื่องรวมทั้งต้องฝึกฝนรวมทฤษฏีและปฏิบัติควบคู่กันไป…

ดังนั้น ในหกปีต่อมา

……

ท่ามกลางหมู่เมฆาขาวล่องลอยผ่านไปอย่างช้าๆ บนท้องฟ้าสีคราม

เวลานี้ที่หน้าประตูของสำนักตู้เซียน ฉีหยวนผู้สวมชุดคลุมเต๋าสีน้ำตาลและแส้ของเขา กำลังแจ้งเซียนผู้พิทักษ์ประตูเกี่ยวกับการออกไปของเขา

“ศิษย์น้องฉีหยวน ท่านจะออกไปกี่วันหรือ”

“ข้าจะกลับมาภายในสามวัน ข้ารู้สึกถึงแรงกระตุ้นบางอย่างในใจเป็นบางคราว จึงอยากออกไปดูสักหน่อย”

“ตกลง” เซียนผู้พิทักษ์ประตูไม่ได้สอบถามอะไรมาก จากนั้นค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาก็แยกเปิดเป็นช่องว่างให้ฉีหยวน

ฉีหยวนขอบคุณเขา แล้วเคลื่อนเมฆออกไปจากค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาและมุ่งหน้าไปยังทะเลบูรพา

หลังจากบินออกไปได้ราวพันลี้ ฉีหยวนก็ได้ยินข้อความเสียงหนึ่งกล่าวว่า

“ท่านอาจารย์ ท่านหาสถานที่ลับเพื่อวางกล่องไว้ จากนั้นก็ไปที่เหมืองวิญญาณและรอที่นั่น โปรดอย่าไปไกลจากสำนักมากเกินไป ข้าจะกลับมาภายในสามวัน แล้วท่านก็จะสามารถนำกล่องกลับไปได้ขอรับ”

“อ่า ตกลง” ฉีหยวนตอบและถามเบาๆ ที่แขนเสื้อของเขาว่า “แล้วเจ้าไม่ต้องการให้อาจารย์ทำอะไรมากกว่านี้อีกแล้วหรือ”

หลี่ฉางโซ่วยังคงกล่าวผ่านการส่งข้อความเสียงต่อไปว่า

“ท่านอาจารย์ โปรดอย่ากังวลขอรับ ศิษย์เพียงแค่จะไปซื้อขายโอสถและสมุนไพรในเมืองเพื่อรับศิลาวิญญาณและวัสดุล้ำค่ามาขอรับ”

ฉีหยวนถอนหายใจในใจ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด แต่เขาก็ทำตามคำแนะนำของศิษย์และบินเข้าไปในป่าบนภูเขา

เมื่อพบสถานที่รกร้างว่างเปล่าที่มนุษย์พบได้ยาก เขาก็วางกล่องไม้จันทน์ทรงสี่เหลี่ยมขนาดเท่ากำปั้นไว้บนพื้นหญ้าใต้ต้นไม้

หลังจากทำทั้งหมดนี้แล้ว ฉีหยวนก็แสร้งทำเป็นเดินเล่นไปรอบๆ และเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ที่นี่พร้อมกับแผ่เสี้ยวสัมผัสเซียนรับรู้ออกไปเพื่อสังเกตกล่องด้วยเช่นกัน

ไม่นานนัก ก็เกิดรอยแตกขึ้นในกล่องก่อนจะมีอัญมณีรูปเพชรขนาดเท่าเล็บมือปรากฏขึ้นและส่ายไปมา

แล้วอัญมณีนั้นก็ส่องประกายระยิบระยับออกมา

จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ส่งข้อความเสียงแผ่ไปถึงฉีหยวนอีกครั้ง

“ท่านอาจารย์ โปรดถอนสัมผัสเซียนรับรู้ของท่านก่อนเถิดขอรับ”

“ได้” ในขณะที่ยังงุนงงอยู่นั้น ฉีหยวนก็ถอนสัมผัสเซียนรับรู้ของเขาออกมาทันที

แล้วทันใดนั้น ประกายระยิบระยับของอัญมณีรูปเพชรที่อยู่นอกกล่องนั้นก็หายไป

ทันใดนั้น ‘แท่งลำกล้อง’ ที่ดูเหมือนกล้องเรือดำน้ำก็โผล่ขึ้นมาและมองไปรอบๆ

แล้วทันทีหลังจากนั้น ฝากล่องก็ถูกเปิดออกเบาๆ และร่างตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์สีเหลืองซีดก็กระโดดออกมา

ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ตัวนี้มีความหนากว่าหลายเท่าและมีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับตุ๊กตากระดาษธรรมดา ทั้งมันยังมีถุงผ้าใบเล็กสะพายอยู่บนบ่าอีกด้วย

จากนั้นมันก็เท้าเอวและส่ายไปมาในขณะที่มีแสงสว่างล้อมรอบตัว

แล้วในชั่วพริบตานั้น ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ก็กลายเป็นนักพรตเต๋าร่างผอมบางสูงแปดฉื่อ ซึ่งสวมชุดคลุมเต๋าสีเขียว เส้นผมยาวของเขาถูกมัดอย่างไม่ใส่ใจในขณะที่สะพายกระบี่ยาวเอาไว้บนหลังของเขา

ลมปราณของนักพรตเต๋ากระดาษผันผวนเล็กน้อย หลังจากเสถียรตัวเขาในขอบเขตเซียนหยวน ก็ลดระดับลงมาอยู่ที่คืนกลับเต๋าวิถี และปกปิดตัวเองอย่างรวดเร็ว

ดวงตาของนักพรตเต๋ากระดาษกะพริบเล็กน้อยและส่องแสงวิญญาณสว่างเป็นประกายอยู่ภายในนั้น บัดนี้ มันดูไม่ต่างจากคนที่ยังมีชีวิตอยู่

จากนั้นนักพรตเต๋าก็หยิบกระจกออกมาแล้วส่องมองดูตัวเองก่อนจะพึมพำว่า “อ่า หน้าตายังคล้ายกับข้าอีกด้วย”

ทันใดนั้น เขาก็ส่ายศีรษะก่อนจะวางกล่องสี่เหลี่ยมลงบนพื้น แล้วร่ายเวทปิดผนึกด้วยมือทั้งสอง จากนั้นก็หายตัวไปในพื้นดิน

นั่นเป็นผลจากการค้นคว้ามาเป็นเวลาหกปีของหลี่ฉางโซ่ว!

รุ่นการทดสอบปรับปรุงทักษะเวท…ตัดกระดาษกลายเป็นมนุษย์!

บัดนี้ ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ตัวนี้ก็นับเป็นร่างจำแลงกายในความเป็นจริงแล้ว

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการตัดสินใจใช้วิธีลัดเพื่อให้รวดเร็วขึ้นของหลี่ฉางโซ่ว ความจริงแล้ว ร่างจำแลงกายนี้จึงยังไม่มีอะไร

นอกจากนี้ยังมีข้อบกพร่องมากมายในตัวนักพรตเต๋ากระดาษหมายเลขหนึ่ง

ยกตัวอย่างเช่น หลี่ฉางโซ่วต้องใส่พลังวิญญาณต้นกำเนิดส่วนหนึ่งของเขาเข้าไป ซึ่งหากร่างจำแลงกายนี้ถูกสังหาร ร่างกายของเขาก็จะเสียหายไปด้วยเช่นกัน

เพียงเรื่องนี้อย่างเดียวเท่านั้นก็จำเป็นต้องทำการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

แล้วหลี่ฉางโซ่วก็ใช้ความพยายามอย่างมากที่จะป้องกันไม่ให้ร่างจำแลงกายถูกสังหาร

เฉกเช่นกระบี่ด้านหลังตุ๊กตากระดาษ แม้มันดูเหมือนกระบี่ แต่แท้จริงแล้วมันเป็นอาวุธเวทที่สร้างขึ้นจากโอสถและพิษ…

เดิมที หลี่ฉางโซ่วไม่ได้คิดจะทดสอบพลังการต่อสู้ของร่างจำแลงกายหมายเลขหนึ่ง

ทว่าจิตใจของมนุษย์นั้นชั่วร้าย และเขาก็ได้เผชิญเหตุร้ายเพราะความมั่งคั่งที่เผยออกมาในระหว่างการเดินทางครั้งแรกของเขาแล้ว

หลังออกจากบริเวณใกล้เคียงของสำนักตู้เซียน เขาก็ใช้เวทหลีกลี้ปฐพีซ่อนกายเป็นเวลาครึ่งวันเพื่อรีบไปที่เมืองหลินไห่ซึ่งมีชื่อเสียงในดินแดนเทวะบูรพา

และเพื่อความปลอดภัย เขาจึงขายโอสถชุดเล็กๆ ตามสถานที่และร้านค้าต่างๆ ภายใต้การปลอมแปลงตัวที่แตกต่างกัน และนอกจากนี้เขาก็ยังค้นพบร้านค้าหลายแห่งที่นี่ซึ่งเป็นของศิษย์สำนักตู้เซียน…

หลังจากนั้นเขาก็ใช้ศิลาวิญญาณและส่วนหนึ่งของศิลาอมตะที่เขาแลกเปลี่ยนมาบางส่วน เพื่อซื้อสมุนไพรวิญญาณ สมุนไพรพิษ วัตถุดิบล้ำค่า และลูกสัตว์วิญญาณมาเป็นจำนวนมาก

หากไม่นับรวมการลงทุนทองคำถังแรก กำไรจากการขายโอสถในครั้งนี้อยู่ที่ประมาณหกในสิบส่วนของต้นทุนของเขา ซึ่งนับว่าน่าประทับใจยิ่ง

และเพื่อปกปิดการปรากฏตัวของเขา เขาจึงตั้งแผงขายของที่นี่เป็นเวลานานครึ่งวัน ซึ่งเขาได้เร่ขายเครื่องมือวิเศษที่เขาได้ฝึกฝนและหลอมขึ้นมา ตลอดจนโอสถคุณภาพดีบางชนิดอีกด้วย

ราคาของสินค้าที่วางขายล้วนอยู่ในระดับปานกลางและเขาสามารถขายศิลาวิญญาณได้หลายก้อน

อย่างไรก็ตาม ด้วยความระแวดระวังของเขา หลี่ฉางโซ่วจึงตระหนักว่าร่างจำแลงกายกระดาษของเขายังคงถูกคนจับตามองอยู่ แม้เขาจะระมัดระวังตัวแล้วก็ตาม…

ในเวลานี้ ยังเหลือเวลาอีกครึ่งวันก่อนถึงเส้นตายสามวัน หลี่ฉางโซ่วจึงออกจากเมืองซึ่งเป็นดั่งความมั่งคั่งในโลกมนุษย์ไปอย่างเงียบๆ เขาขับเคลื่อนเมฆและบินไปยังป่าที่เขาสามารถใช้หลีกลี้ปฐพีซ่อนกายได้

อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่ามีร่างหลายร่างตามออกมาจากเมืองหลินไห่ แต่ละคนล้วนซ่อนขอบเขตพลังของตนเอาไว้และติดตามเขาไปอย่างเงียบๆ…

ดูเอาเถิด นี่คือโลกบรรพกาล

ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ถอนหายใจเบาๆ ในใจ และบินไปอย่างกังวลใจมากขึ้น

แล้วฉับพลันนั้น ก็มีตุ๊กตากระดาษถือกระบี่เล่มเล็กและขวดกระเบื้องบนแขนเสื้อที่ถูกตัดแต่งซึ่งสร้างขึ้นมาจากร่างจำแลงกาย ขณะนี้พวกมันกำลังถูฝ่ามือและเตรียมพร้อมพุ่งโจมตีทันที