บทที่ 203 กล้านักนะ
บทที่ 203 กล้านักนะ
“โอ้ว ดูสินั่นใคร? ผู้อาวุโสของตระกูลซ่างกวงไม่ใช่เหรอเนี่ย? ทำไมไม่ออกจากตระกูลแล้วมาเป็นทาสซะล่ะ” แวมไพร์ตนหนึ่งพูดออกมา
พวกแวมไพร์ที่กำลังล่าถอยหยุดชะงักในทันที ในสายตาของพวกแวมไพร์นี่อาจจะเป็นการหลอกกันก็ได้ ที่ผู้อาวุโสตระกูลซ่างกวงทำแบบนี้อาจเป็นเพราะเจอสมบัติและต้องการเก็บไว้คนเดียว
“เป็นแค่พวกรองบ่อนกล้าอวดดีต่อหน้าฉันเชียวเหรอ บอกมาซะว่าเจออะไรมา ถ้าตอบถูกใจฉันวันนี้นายอาจจะรอดตายก็ได้นะ” ชายหนุ่มตระกูลแวมไพร์ก้าวออกมาข้างหน้า หลังจากนั้นเขาก็พูดอย่างหยิ่งยโส
“ไปซะ หรืออยากจะตายอยู่ตรงนี้” ผู้อาวุโสตระกูลซ่างกวงเริ่มโมโหแล้วพวกเขาหลีกเลี่ยงการปะทะมาตลอดแต่พวกแวมไพร์กลับทำตัวแบบนี้!!
เมื่อพวกแวมไพร์ได้ยินคำตอบของผู้อาวุโสตระกูลซ่างกวง พวกมันก็เริ่มเปลี่ยนสีหน้า
ชายหนุ่มแวมไพร์จิตใจเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งมันอยากจะถากถางอีกสักคำสองคำ แต่เขาก็สังเกตได้ถึงจิตสังหารของคนตรงหน้า เขาจึงต้องยอมถอยออกไปโดยไม่เต็มใจนัก
“แกกล้าหาญมากนะที่กล้าต่อกรกับตระกูลซ่างกวง”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่กล้าที่จะเข้ามามีปัญหาต่อ ผู้อาวุโสตระกูลซ่างกวงก็รีบวางท่าเพื่อควบคุมสถานการณ์ จิตสังหารของเขาชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ
“ถ้าฉันเชือดพวกแกทั้งหมด ก็คงไม่มีใครรู้สินะ?”
เมื่อได้ยินคำพูดที่แสดงความบ้าคลั่งออกมาอย่างชัดเจน พวกแวมไพร์ต่างก็หวาดกลัว ในโลกนี้สิ่งสำคัญในการต่อสู้นอกจากความแข็งแกร่งแล้วยังมีความบ้าคลั่งชนิดแลกตายอีกด้วย
“ฉัน…ฉันไม่แนะนำให้พวกแกทำแบบนั้นหรอกนะ เพราะเรื่องราวมันจะเกินกว่าที่แกจะเข้าใจได้ ถ้าแกกล้าฆ่าพวกเรา ผู้นำตระกูลซ่างกวงเจอดีแน่” ท่าทีของชายหนุ่มอ่อนลงไปในทันที น้ำเสียงของเขาเริ่มสั่นเทา
“ฆ่าแกแล้วก็ไม่มีใครรู้หรอกน่า ลงโทษเพราะผู้น้อยอย่างแกที่มันทำตัวหยาบคายไง แกกล้าดียังไงมาทำตัวอวดดีต่อหน้าฉันฮะ? อยากตายเรอะ!” สิ้นคำผู้อาวุโสตระกูลซ่างกวง เขาก็วาดมือขึ้นสูงราวกับต้องการที่จะตบพวกเขาให้หมอบในฝ่ามือเดียว
ระดับพลังที่สูงที่สุดในหมู่พวกเขาคือขั้นปราชญ์เท่านั้น พลังที่อ่อนแอแบบนี้จะมาสู้กับขั้นเต๋าได้ยังไง? สิ่งนี้ทำให้พวกแวมไพร์รู้สึกถึงความตายที่แท้จริงพวกมันเริ่มกลัวจนตัวสั่น
มือขนาดใหญ่เข้าใกล้กลุ่มคนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก่อนจะเกิดการปะทะก็มีเสียงดังขึ้นมาซะก่อน
“แกกล้ามากนะ!” คำพูดไม่กี่คำดังแทรกขี้นมา แต่ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวง โดยเฉพาะฝ่ามือยักษ์นั้นแตกสลายไปในทันที ทำให้ผู้อาวุโสตระกูลซ่างกวงที่ใช้วิชานี้กระอักเลือดออกมา
“เป็นแค่ขั้นเต๋าแต่กล้าทำตัวอวดดี เบื่อที่จะใช้ชีวิตแล้วสินะ!” สิ้นเสียงร่างหนึ่งก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว แม้แต่ฉู่เหินยังต้องตะลึง ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายห่างออกไปตั้งเกือบ 2-3 ไมล์แต่ตอนนี้กลับมาปรากฏอยู่ตรงหน้าทุกคนแล้ว!!
“ตอนนี้ฉันจะให้โอกาสแกเลือกวิธีตายของตัวเอง ถ้าแบบนั้นบางทีแกอาจจะตายคนเดียว แต่ถ้าทำให้ฉันอารมณ์ไม่ดีระวังมีคนโดนลูกหลงก็แล้วกัน” ชายคนนั้นพูดออกมาอย่างเย่อหยิ่ง ท่าทางที่เหยียดหยามผู้อื่นแบบนี้ราวกับจะบอกว่าเขาเก่งที่สุดในที่นี้แล้ว
“ถ้าจะฆ่ากัน ก็ไม่ต้องพูดอะไรไร้สาระหรอก” ผู้อาวุโสตระกูลซ่างกวงขมวดคิ้วแล้วพูดออกไปตรงๆ เขาคิดว่าเขาอาจจะหลบหนีจากอีกฝ่ายได้ เขาได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่เล็งเป้าหมายไปที่ตระกูลซ่างกวง
เมื่อฉู่เหินเห็นแบบนั้นเขาก็เตรียมที่จะออกไปด้านนอก เพราะว่าฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งมากแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางชนะซะทีเดียว ทว่าโป๋อีกู่เข้ามาห้ามเอาไว้ซะก่อน ถึงใบหน้าของอีกฝ่ายจะไม่ได้กระวนกระวายอะไร แต่ก็มีท่าทีที่ห้ามปรามอยู่
“พี่ฉู่ไม่ต้องกังวลหรอก ถ้าพี่อยากจะจัดการเขาล่ะรออีกนิดเถอะ เดียวผมออกไปดูสถานการณ์เอง!”
คำพูดของโป๋อีกู่ทำให้ผู้คนต่างพากันตกใจ เพราะว่าไม่มีใครคิดว่าเขาจะกล้าหาญขนาดนี้ แต่เพราะเห็นเขามั่นใจขนาดนี้คนอื่นเองก็โล่งใจ
พอเห็นโป๋อีกู่พูดแบบนี้ฉู่เหินเองก็โล่งอก เขาก็เลือกที่จะมองเหตุการณ์อยู่เงียบๆ
คนภายในตระกูลซ่างกวงต่างก็พูดกันภายในเกี่ยวกับสถานการณ์ตรงหน้าว่าบางทีผู้อาวุโสของพวกเขาอาจทะลวงขั้นเป็นขั้นผู้พิชิตดาราในการต่อสู้ครั้งนี้ก็ได้
ผู้อาวุโสตระกูลซ่างกวงเองก็ติดอยู่ขั้นเต๋ามานานแล้ว เหตุผลที่เขาไม่สามารถทะลวงผ่านไปได้เพราะเขาขาดความแน่วแน่ในจิตใจ คราวนี้มันเป็นโอกาสสำหรับเขา หากพลังดวงดาวในร่างกายผสานกับจิตใจและความคิด เขาก็อาจจะทะลวงขั้นพลังไปสู่ขั้นต่อไปได้
แต่โป๋อีกู่รู้สึกได้แม้ผู้อาวุโสตระกูลซ่างกวงจะไม่ได้พูดอะไรออกมาก็ตาม แต่ก็มีความกังวลในสายตาของเขา คนภายในตระกูลซ่างกวงเมื่อคิดตามแล้วพวกเขาก็ตื่นเต้นมาก หากผู้อาวุโสตระกูลซ่างกวงเข้าสู่ขั้นผู้พิชิตดาราได้ ทุกอย่างจะง่ายขึ้นมาก
“ความคิดของพวกนายง่ายเกินหน่อยแล้วมั้ง ถ้าผู้พิชิตดาราจะเป็นกันง่ายขนาดนั้นคงเป็นกันเกลื่อนเมืองแล้ว ไม่งั้นขั้นเต๋าระดับสูงกับขั้นผู้พิชิตดารา จะมีคำว่าครึ่งก้าวสู่ขั้นผู้พิชิตดาราไว้ทำไม? อย่างชายชราที่อยู่ตรงหน้าแท้จริงแล้วเขาก็เป็นแค่ครึ่งก้าวสู่ขั้นผู้พิชิตดาราที่ว่านั่นแหละ” โป๋อีกู่เห็นว่าผู้คนยังงงอยู่จึงอธิบายออกมา
ทุกคนในถ้ำกำลังเดือดพล่านที่ต้องมาดูเหตุการณ์ระหว่างความเป็นความตาย
“แกเก่งและกล้าดี ฉันชอบในความใจกล้านั้นนะ แต่ถ้าแกยอมคุกเข่าลงตอนนี้ฉันอาจอารมณ์ดีจนปล่อยเรื่องนี้ไป” ชายชราที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเหลือบมองผู้อาวุโสตระกูลซ่างกวง
หลังจากได้ยินแบบนี้ผู้อาวุโสตระกูลซ่างกวงก็ทำได้แค่กำหมัดกัดฟันเท่านั้น เขาคิดที่จะยอมแพ้เพราะหากเขาไม่ทำ ตระกูลซ่างกวงของเขาอาจต้องมารับเคราะห์แทน
แต่นี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วเหรอ? เขามีประสบการณ์มากว่าครึ่งชีวิต ทุกวันเขาใช้ชีวิตอย่างรอบคอบและระมัดระวัง อดทนเพื่อเกียรติยศของตระกูล สนับสนุนตระกูลซ่างกวงมาตลอด แต่จนถึงตอนนี้ตระกูลซ่างกวงก็ยังเป็นแค่ขุมพลังที่อ่อนแอเท่านั้น
ถ้าเขาต้องตายจากการต่อสู้มันอาจดีกว่ายอมแพ้แบบนี้ ส่วนเรื่องตระกูลซ่างกวงเขาไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้ว เพราะอีกไม่นานตระกูลซ่างกวงก็จะยิ่งใหญ่ภายใต้การนำของฉู่เหิน
หลังจากคิดเกี่ยวกับมัน ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นในดวงตาของเขาปรากฏความบ้าคลั่งและความกระหายเลือดอย่างไม่ปกปิด
“ชีวิตคนเราจะมีความสุขกันสักเท่าไหร่เชียว ความตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่ถ้าแกคิดจะฆ่าฉันก็บอกเลยว่ามันไม่ง่ายหรอกนะ” ในตอนนี้ผู้อาวุโสตระกูลซ่างกวงดูราวกับเป็นคนละคนไปแล้ว
ทันใดนั้นร่างของผู้อาวุโสตระกูลซ่างกวงก็เปล่งประกายออกมา แสงสว่างเปล่งประกายราวกับดวงอาทิตย์ พลังดวงดาวจากดาวบนท้องฟ้าพุ่งเข้ามาในร่างของเขาทันที
เมื่อเห็นอย่างนั้น ชายชราที่มาช่วยแวมไพร์เองไว้ก็ตะลึง ดวงตาของชายชราแคบลงและเริ่มคิดว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดีแล้ว ก่อนหน้านี้เขาพร้อมที่จะฆ่าฝ่ายตรงข้ามแต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับบ้าคลั่งจนกำลังทะลวงขั้นพลังของตัวเอง!!
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวังของชายชรา จู่ๆ ก็มีเสียงคำรามดังขึ้นที่ข้างๆ หูของเขา