บทที่ 204 พันธมิตร
บทที่ 204 พันธมิตร
ผู้อาวุโสตระกูลซ่างกวงตะโกนออกมาจนท้องฟ้าถล่มทลาย!
“เป็นแค่ครึ่งก้าวสู่ขั้นผู้พิชิตดารา แกกล้าขนาดนี้เลยเหรอ ห้าวหาญมากนักอย่างนั้นก็ตายๆ ไปซะ!”
ดูเหมือนว่าจะมีแค่ชายชราที่ได้ยินประโยคนี้ ทำให้ชายชราหวาดกลัวเป็นอย่างมาก เขาเสียใจที่ทำให้ผู้อาวุโสตระกูลซ่างกวงตรงหน้าฝีมือสูงส่งขึ้นขนาดนี้ ชายชรารู้สึกอึดอัดมากจริงๆ ในตอนนี้
แม้ตอนนี้จะเป็นเวลากลางวัน แต่ผู้อาวุโสตระกูลซ่างกวงก็ดึงพลังดวงดาวเข้าสู่ร่างกายได้ และเตรียมทะลวงขั้นพลังอย่างรวดเร็ว ซึ่งต้องบอกว่ามันเป็นเหมือนปาฏิหาริย์เลยทีเดียว หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงดวงตาที่ปิดสนิทก็เปิดออก
พลังดวงดาวของเขาเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ตอนนี้เขามาถึงขีดจำกัดของขั้นเต๋าแล้ว! จนท้ายที่สุดผู้อาวุโสตระกูลซ่างกวงได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นครึ่งก้าวสู่ผู้พิชิตดาราอย่างมั่นคง!
ซึ่งตัวผู้อาวุโสเองก็ยังไม่อยากที่จะเชื่อกับสิ่งที่เห็น เขายื่นมือออกมาเพื่อดูสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา มันน่าเหลือเชื่อจนเขาอดหัวเราะออกมาไม่ได้
“เข้าใจแล้วในที่สุดฉันก็เข้าใจถ้าอยากที่จะก้าวหน้ามีแต่จะต้องทุ่มให้สุดตัวเท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็เป็นได้แค่คนโง่!!”
“ยินดีด้วยผู้อาวุโส” ฉู่เหินและคนอื่นๆ เดินออกจากถ้ำ จากนั้นก็กำมือหมัดด้วยมือแสดงความยินดีกับผู้อาวุโสตระกูลซ่างกวง
ผู้อาวุโสซ่างกวงจ้องไปทางโป๋อีกู่ แล้วก็โค้งคำนับให้อีกฝ่ายสาเหตุที่เขาทะลวงขั้นพลังได้นั้นเขารู้อย่างชัดเจน
ฉู่เหินมองดูอย่างชื่นชมและพวกตะวันตกนั้นก็ดูไม่ดีเลย ก่อนหน้านี้พวกเขาหยิ่งมากและพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อฆ่า แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว
“ฆ่าทิ้งก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้วนะ!” แค่คำพูดสั้นๆ ของฉู่เหินก็สามารถตัดสินชะตากรรมของพวกนั้นได้แล้ว
“อย่าฆ่านะ อย่า พวกเราพวกเดียวกันนะ” ชายวัยกลางคนชาวเอเชียอ้อนวอน
“สวะอย่างแกน่ะ ฆ่าไปโลกน่าจะสงบขึ้นนะ” โป๋อีกู่และผู้อาวุโสซ่างกวนมองหน้ากันแล้วพุ่งไปฆ่าอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ซึ่งพี่เสือกับแรดก็ลงมือฆ่าด้วยเช่นกันแต่ทั้งสองรู้สึกเศร้าเสียใจเพราะฆ่าได้น้อยกว่าที่คิด
หลังจบการสังหารหมู่ ศพทั้งหมดก็ถูกจัดการเก็บกวาดจนกระทั่งตอนนี้การรวมตัวกันของกลุ่มอื่นๆ ที่มาที่นี่เริ่มสั่นคลอนและภายในหุบเขาหมอกผู้คนก็ค่อยๆทยอยกันออกมา หลังจากที่ออกมามันก็เป็นเรื่องยากมากที่จะเก็บซ่อนใบหน้าที่ตื่นเต้น
ฉู่เหินหยิบใบสัญญาออกมาจากแขนเสื้อ เขาใช้แต้มไปกว่า 10,000 เพื่อแลกมันจากระบบเชื่อมโลกาตราบใดที่ให้ตระกูลซ่างกวงทำสัญญานี้แล้ว พวกเขาก็จะไม่สามารถผิดคำสัญญาได้โดยเด็ดขาด
แม้ความเชื่อใจจะเป็นเรื่องที่ฉู่เหินคิดว่าเขายืนยันแล้ว สัญญานี้เป็นแค่เรื่องของพิธีการเท่านั้น
ชิงเฟิงกับคนของเขาเขียนชื่อและหยดเลือดลงไปตามลำดับ เพราะว่าพวกเขาทั้งหมดนับเป็นตัวแทน แล้วถ้าเกิดว่าใครบิดพลิ้วก็จะต้องโดนโทษทัณฑ์
ฉู่เหินเองก็ไม่มีข้อยกเว้น หลังจากนั้นพวกเขาก็กลายเป็นพันธมิตรกันอย่างสมบูรณ์ สำหรับกุญแจที่ใช้เข้าออกหุบเขาหมอกนั้นฉู่เหินก็ให้ไปทั้งชิงเฟิงและโป๋อีกู่ เขาเชื่อว่าอีกไม่นานตระกูลซ่างกวงจะแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ และเป็นกำลังให้เขาได้แน่ๆ
ส่วนทางฝั่งของฉู่เหินนั้นมีเงือกกว่า 20 ตน ที่เป็นขั้นเต๋ารวมทั้งโป๋อีกู่ด้วย หลังจากเรื่องนี้จบลง ฉู่เหินก็แยกตัวออกไป
ก่อนจะไปที่เทือกเขาเทียนซาน ฉู่เหินตั้งใจที่จะโทรไปหาเสี่ยวชิง แต่เขาก็ติดต่อเธอไม่ได้เลย หลังจากที่เขาโทรไปถามโจวหู่เขาก็ได้รู้ว่าเสี่ยวชิงกำลังเตรียมตัวสอบ เธอคงกลัวว่าโทรศัพท์จะรบกวนจึงปิดมันไว้
เทือกเขาเทียนซานอยู่ในเขตเมืองจูโจว ซึ่งอยู่บนที่ราบสูงไม่ติดทะเล
ดังนั้นจึงไม่สามารถที่จะเดินทางทางน้ำได้ ฉู่เหินจึงให้พวกฉลามพิษกลับไปที่เกาะเพื่อรอคำสั่งและบอกให้อย่าทำตัวหยิ่งหรือสร้างปัญหาอะไร
หลังสั่งการเสร็จ พวกฉลามพิษก็จากไป โดยครั้งนี้ฉู่เหินไม่ได้พาใครไปกับเขาด้วย เพื่อความปลอดภัยของทุกคน ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่อยากรบกวนโป๋อีกู่ที่กำลังยุ่งอยู่
เดิมทีฉู่เหินเตรียมที่จะให้ผู้อาวุโสปลาหมึกพาพี่เสือและแรดกลับไปที่เกาะด้วยแต่ผู้อาวุโสปลาหมึกไม่กลับและจะไปกับฉู่เหิน
ยิ่งพี่เสือกับแรดยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทั้งสองส่ายหน้าและไม่ยอมให้ฉู่เหินไปคนเดียวอย่างเด็ดขาด ด้วยความอับจนหนทางฉู่เหินจึงต้องไปด้วยกัน
ฉู่เหินรู้สึกว่าการเดินทางไปตามเส้นทางตรงๆ นั้นมันไม่เข้าท่า ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะลัดเลาะไปตามเขา แต่….มันจะดีไหมนะ?
อย่างแรก ต้องไม่ให้ใครรู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหนและอย่างที่สองเขาต้องแข็งแกร่งมากกว่านี้ ตอนนี้การฝึกตนของเขาพัฒนาค่อนข้างช้า แม้ว่าความแข็งแกร่งทางร่างกายนั้นจะเทียบได้กับขั้นเต๋าแล้ว แต่พลังที่แท้จริงยังไม่ถึง
ฉู่เหินเองก็รู้สึกได้อย่างชัดเจน นับตั้งแต่ความแข็งแกร่งทางกายพัฒนา พลังทางด้านจิตใจกลับไม่พัฒนาตามมาด้วย หากต้องการที่จะฝึกตนอย่างรวดเร็ว ด้านจิตใจต้องพัฒนาด้วยและดูเหมือนตอนนี้จะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะเจาะ
อาจจะเหงานิดหน่อยที่ต้องเดินทางคนเดียวแบบนี้ แต่มันก็เป็นการขัดเกลาจิตใจ…(ไม่นับสัตว์)
ระยะทางจากเมืองหยุนหลิงไปถึงเมืองจูโจวนั้นเกือบ 5,000 กิโลเมตร ต่อให้เป็นบนถนนก็ตาม ถ้าเดินเลาะตามภูเขาระยะทางจะเพิ่มขึ้นไปอีกแม้แต่ฉู่เหินก็ต้องใช้เวลาเดินทางราวๆ 3-5 วัน
ขณะที่กำลังข้ามผ่านภูเขา เสือกับแรดก็กำลังฝึกตนอยู่ในแหวน ส่วนแมวนพเวทย์นั้นมันไม่ยอมอยู่ในแหวน ฉู่เหินจึงได้แต่ถอนหายใจและไม่มีทางเลือกนอกจากปล่อยมันออกมา
แมวนพเวทย์ลดขนาดตัวเองลงและนั่งอยู่บนไหล่ของฉู่เหิน ส่วนอีกข้างคือกระต่ายต้องสาปเสี่ยวหง ทั้งสองนั้นจ้องหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง เสี่ยวหงพยายามจะสาปเสี่ยวจิ่ว แต่แล้วเสี่ยวจิ่วก็จ้องกลับมาด้วยดวงตาแดงก่ำ
อย่างไรก็ตาม เสี่ยวหงก็รู้สึกผิดหวังหลังจากที่มันได้รับรู้ถึงวิชาภาพลวงตาที่ทรงพลังของแมวนพเวทย์ พลังของแมวนพเวทย์ทำให้เสี่ยวหงเห็นภาพลวงตาว่าตัวเองกำลังอยู่ในพื้นที่ที่ว่างเปล่า ด้วยความสิ้นหวังในเรื่องของพลัง เสี่ยวหงจึงทำได้แค่นั่งหงอย ๆ อยู่บนไหล่ฉู่เหิงตามลำพังเท่านั้น……เศร้า
ก่อนหน้านี้เสี่ยวหงได้พยายามฝึกตนอย่างขันแข็ง จนสามารถควบคุมพลังคำสาปของตัวเองได้ แม้มันจะใช้คำสาปไปมันพลังของมันก็ไม่ได้ลดลงแถมยังพลังฟื้นฟูกลับมาอย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้นอัตราความสำเร็จก็ค่อนข้างสูงมากแต่หลังจากที่ได้พบกับแมวนพเวทย์แล้วมันก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง
“ไม่เอาน่า มาดูวิวภูเขาและแม่น้ำที่นี่เร็ว ธรรมชาติช่วยพัฒนาสภาพจิตใจด้วยนะ แถมยังมีประโยชน์อย่างมากสำหรับการฝึกตนในอนาคตอีกด้วย!” หลังจากเห็นทั้งสองตาโตใส่กันเมื่อครู่ ฉู่เหินก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องปลอบโยนเสี่ยวหงที่กำลังหงอย