ตอนที่ 77 เมื่อตะเกียงส่องสว่างขึ้นมา

“ท่านหัวหน้า พวกเราจะทำเช่นไรดีเจ้าคะ?” ชิวจูรู้สึกกระวนกระวายใจและนางรีบหันไปถามชิวเยวี่ยถงทันที

“เจ้าคิดเช่นไร?” ชิวเยวี่ยถงไม่ได้ตอบคำถามแต่กลับหันไปถามหญิงสาวอีกคนหนึ่ง

“ท่านหัวหน้า ข้าคิดว่านี่ต้องเป็นปัญหาใหญ่แน่นอนเจ้าค่ะ หรือให้ข้าลองไปถามเรื่องนี้จากคุณชายซูเจ้าคะ?” ชิวเหม่ยตอบกลับมาทันที ราวกับว่านางคิดว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับที่ซูจินหลุนพูดถึงในวันนี้อย่างแน่นอน

แต่ในตอนนี้นางก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้มันช่างแปลกประหลาดเกินกว่าจะเข้าใจได้

หัวหน้ากลุ่มโจรภูเขาคนเก่ากล่าวเอาไว้ก่อนที่เขาจะตายว่าหากตะเกียงนี้ส่องแสงขึ้นมาเมื่อไหร่ นั่นหมายความว่าหมู่บ้านแห่งนี้กำลังตกอยู่ในอันตราย

ในวันนี้ซูจินหลุนยังได้บอกอีกว่าตระกูลของเขาได้ส่งผู้ที่กองทหารนับพันก็ไม่อาจหยุดได้มาช่วยเหลือเขา เมื่อชายคนนั้นมาที่นี่กลุ่มโจรภูเขาของพวกนางย่อมไม่มีทางชนะได้เลย

ในตอนแรกนางคิดว่าคำพูดของซูจินหลุนนั้นเพียงแค่ให้พวกนางรู้สึกตกใจกลัวและคิดว่ามันเป็นเพียงคำพูดที่เกินความจริงเท่านั้น แต่ในตอนนี้นางเริ่มเชื่อคำพูดของเขาขึ้นมาแล้ว

ชิวเหม่ยได้นำคำพูดนี้มาบอกกล่าวแก่พวกนางทั้งสองคนในวันนี้ แต่นางก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นพร้อมกันจนน่าประหลาดใจ

ชิวเยวี่ยถงคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็โบกมือออกไปทันที

“พรึบ!”

สายลมที่รุนแรงพัดไปยังเปลวเพลิงที่อยู่ภายในตะเกียงซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 2 เมตร

“ฟุบ!”

สายลมที่รุนแรงทำให้เปลวเพลิงในตะเกียงดับลงไปทันที ชิวจูและชิวเหม่ยที่รู้สึกกระวนกระวายอยู่ก่อนหน้านี้ก็โล่งใจขึ้นมาทันทีราวกับว่าปัญหาทุกอย่างได้รับการแก้ไขแล้ว

แต่ก่อนที่พวกนางจะได้แสดงความดีใจออกมานั้น เปลวเพลิงในตะเกียงก็ถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง

ไม่มีน้ำมันเชื้อเพลิง ไม่มีการจุดไฟ มันเป็นแค่ตะเกียงที่ว่างเปล่าเท่านั้นและในตอนนี้เปลวเพลิงก็ลุกขึ้นมาอีกครั้งอย่างน่าแปลกประหลาด

ชิวจูและชิวเหม่ยมองหน้ากันด้วยความรู้สึกที่หวาดกลัวมากยิ่งขึ้น

แม้แต่ชิวเยวี่ยถงก็ต้องมีสีหน้าที่ตึงเครียดในตอนนี้

“ท่านหัวหน้า พวกเรานิ่งเฉยต่อเรื่องนี้ไม่ได้แล้ว” ชายชราที่เป็นผู้เฝ้าศาลาบรรพบุรุษแห่งนี้รีบพูดขึ้นมาทันที เขากลัวว่าชิวเยวี่ยถงจะทำอะไรที่เป็นการลบหลู่ศาลาบรรพบุรุษแห่งนี้อีกครั้ง

“ท่านลุงขู ก่อนที่ชายคนนั้นจะตายไปเคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นหรือไม่” ชิวเยวี่ยถงถามออกมาตรงๆแต่ดูจากสรรพนามที่นางเลือกแล้วดูเหมือนว่านางจะยังไม่อาจยกโทษให้กับชายคนนั้นที่เป็นบิดาของนางได้

“ไม่เคยเลย แต่ข้ารู้จักท่านหัวหน้าคนเก่าเป็นอย่างดี เขาไม่เคยให้คำสัญญา ไม่เคยพูด หรือไม่เคยทำในเรื่องที่เขายังไม่มั่นใจโดยเด็ดขาด” ชายชราคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับมา

“ชิวเหม่ย ไปแจ้งพี่น้องทุกคนในหมู่บ้านให้เตรียมพร้อม ชิวจู เจ้าไปกับข้า” ชิวเยวี่ยถงออกคำสั่งด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

“เจ้าค่ะ ท่านหัวหน้า” ชิวจู ชิวเหม่ย รับคำสั่งพร้อมๆกัน

ส่วนลุงขูนั้นเขายังคงเฝ้าศาลาบรรพบุรุษแห่งนี้ต่อไป หลังจากที่พวกชิวเยวี่ยถงทั้งสามคนออกจากที่นี่ไปแล้ว เขาก็คุกเข่าลงที่พื้นและสวดพึมพำกับตนเองทันที

“ท่านยังไม่ไปผุดไปเกิดอีกหรือ เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่?” มู่อี้จ้องมองไปยังร่างที่อยู่บนหลุมศพอย่างโดดเดี่ยว

การฝ่าฝืนกฎแห่งสวรรค์และโลกนั้นย่อมต้องมีการจ่ายค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้ออย่างแน่นอน ดังเช่นวิญญาณของชายที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้แม้ว่าชายผู้นี้จะสามารถทำให้วิญญาณของตนเองหลุดพ้นจากกฎแห่งสวรรค์และโลกด้วยการผูกติดวิญญาณของตนเองกับจิตวิญญาณของภูเขา เขาต้องสูญเสียจิตวิญญาณและพลังทั้งหมดของตนเองไปเพื่อที่จะสามารถปกป้องทุกๆคนที่อยู่ในภูเขาเสี่ยวหานแห่งนี้ แต่ราคาที่เขาต้องจ่ายนั้นก็มากพอที่จะทำให้เขาไม่สามารถกลับชาติมาเกิดใหม่ได้อีก

มู่อี้สามารถมองเห็นรูปร่างหน้าตาของชายที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างชัดเจน เขามีอายุประมาณ 40 ปี มีใบหน้าที่ดูสุขุมและสงบนิ่งเมื่อรวมกันแล้วทำให้เขาดูเหมือนชายที่สง่างามคนหนึ่ง แต่ดวงตาของเขามีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้นราวกับว่าเขาปราศจากสติปัญญาใดๆ

หลังจากที่เขาปรากฏตัวขึ้นมามู่อี้ก็ยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ ดูเหมือนว่าตราบใดที่มู่อี้เริ่มเคลื่อนไหวเขาจะลงมือโดยปราศจากความเมตตาแน่นอน

มู่อี้กำลังคิดว่าเขาจำเป็นต้องทำลายวิญญาณของชายคนนี้หรือไม่ แม้ว่าอีกฝ่ายจะผูกวิญญาณของตนเองเอาไว้กับจิตวิญญาณของภูเขาแห่งนี้แต่มู่อี้ก็เชื่อว่าถ้าหากตนเองต้องลงมือจริงๆ ธงราชันย์แห่งวิญญาณ ยันต์สายฟ้า และตะเกียงทองแดงคงเพียงพอที่จะทำลายดวงวิญญาณของชายคนนี้ได้แน่นอน

แต่ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วเสียงจากการต่อสู้ที่เกิดขึ้นคงทำให้ทุกๆคนที่อยู่ในภูเขาแห่งนี้ต้องรู้ตัวแน่นอนและทุกๆอย่างที่เขาทำไปก่อนหน้านี้ก็จะสูญเปล่า แต่ถ้าหากมันจำเป็นจริงๆเขาก็ไม่คิดมากที่จะทำแบบนั้น

เพราะเป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้ก็เพื่อช่วยเหลือซูจินหลุน ถ้าหากว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับซูจินหลุน แม้ว่าเขาจะทำลายกลุ่มโจรภูเขานี้ไปทั้งหมดแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร?

“ออกไปซะ” ในที่สุดวิญญาณของชายที่อยู่ตรงหน้าก็พูดขึ้นมา น้ำเสียงของเขาปราศจากอารมณ์ใดๆราวกับเป็นหุ่นเชิดที่สามารถส่งเสียงได้เท่านั้น

เนี่ยนหนิวเอ้อร์จ้องมองไปที่อีกฝ่ายด้วยความกระตือรือร้น ถ้าหากไม่ใช่เพราะมู่อี้ห้ามปรามเอาไว้ก่อน นางคงกระโดดออกไปสู้กับอีกฝ่ายในทันที หลังจากได้ดูดกลืนดวงวิญญาณมากมายที่อยู่ภายในธงราชันย์แห่งวิญญาณของฉือกุยไปนั้น พลังของเนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็ถือว่าเพิ่มขึ้นมากเลยทีเดียว

การฝึกฝนหรือการบ่มเพาะเพื่อเพิ่มพลังให้กับตนเองนั้นไม่ได้มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่สามารถทำได้แต่รวมถึงดวงวิญญาณด้วยเช่นกัน ถ้าเทียบกันแล้วการที่พลังของดวงวิญญาณสามารถเพิ่มขึ้นได้นั้นยากยิ่งกว่ามนุษย์เสียอีก แม้ว่าเนี่ยนหนิวเอ้อร์จะเป็นดวงวิญญาณที่มีสติปัญญามาตั้งแต่กำเนิดและมีโอกาสที่จะสามารถไปถึงระดับราชันย์แห่งวิญญาณได้ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่นางจะข้ามผ่านระดับวิญญาณอาฆาตไปสู่ระดับวิญญาณชั่วร้ายได้

ตามที่มู่อี้ได้ประเมินเอาไว้ การที่เนี่ยนหนิวเอ้อร์จะข้ามผ่านระดับวิญญาณอาฆาตไปสู่ระดับวิญญาณชั่วร้ายได้นั้นจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 ปีหรือ 2 ปี แม้ว่าเวลานี้จะถือว่ายาวนานมากเมื่อเทียบกับเขาแล้วแต่ความจริงนั้นมันกลับถือว่ารวดเร็วมาก

การที่มนุษย์ปกติสามารถข้ามผ่านระดับความยากแห่งการฝึกฝนจิตใจขั้นที่ 1 ไปได้นั้นถือเป็นเรื่องที่ใหญ่มากในชีวิต และผู้ที่สามารถเข้าสู่ระดับความยากขั้นที่ 2 ได้ก่อนอายุ 30 ปีนั้นต่างก็ถูกเรียกว่าอัจฉริยะทั้งสิ้น สำหรับระดับความยากขั้นที่ 3 นั้นปัจจัยที่จะสำเร็จได้ล้วนไม่แน่นอน มันต้องมาจากการฝึกฝนและพยายามอย่างหนักรวมไปถึงโชคชะตาในชีวิตด้วยเช่นกัน

มู่อี้ไม่กล้าคิดไปถึงระดับความยากขั้นที่ 3 เพราะว่านั่นมันถือว่าไกลตัวเขาไปมาก ตราบใดที่เขาสามารถไปถึงระดับความยากขั้นที่ 2 ได้เขาก็จะมีพลังมากพอที่จะทำให้ตนเองได้ออกเดินทางท่องโลกกว้างอีกครั้งและตามหาสิ่งที่ท่านปู่ของเขาได้ทิ้งเอาไว้ในอดีต

เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายแล้วมู่อี้ก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะผ่านที่นี่ไปได้อย่างราบรื่นแน่นอน ดังนั้นเขาจึงก้มศีรษะลงไปพูดกับเนี่ยนหนิวเอ้อร์ทันที “เจ้าขึ้นไปบนภูเขาก่อน ตามหาตัวซูจินหลุนและปกป้องเขาเอาไว้”

ตราบใดที่ซูจินหลุนไม่เป็นอะไร ก็ถือว่าเป้าหมายของเขายังไม่ล้มเหลวใช่ไหม?

มู่อี้รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขาฝึกฝนมายาวนานกว่าครึ่งปีและใกล้จะได้เข้าสู่ระดับความยากขั้นที่ 2 แล้ว เหลือแค่เพียงเวลาเท่านั้นที่จะทำให้เขาก้าวเข้าสู่ระดับความยากขั้นที่ 2 ได้ ในตอนนี้เขาย่อมรู้สึกภาคภูมิใจในตนเองอย่างไม่ต้องสงสัย

แม้ว่าพลังของศัตรูจะยังไม่แน่ชัดแต่สิ่งหนึ่งที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปก็คือศัตรูของเขาเป็นวิญญาณอย่างแน่นอน ด้วยยันต์สายฟ้า ธงราชันย์แห่งวิญญาณ และตะเกียงทองแดงที่เขามี เขาย่อมไม่รู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย

การระมัดระวังและไม่ประมาทในการต่อสู้ย่อมเป็นเรื่องที่ดีแต่ถ้าหากระมัดระวังจนเกินไปจนเหมือนเต่าที่หดหัวอยู่ในกระดองก็ย่อมทำให้ความสง่างามและจิตวิญญาณของนักสู้หายไปด้วยเช่นกัน

เนี่ยนหนิวเอ้อร์ทำตามคำสั่งของมู่อี้อย่างไม่เต็มใจมากนัก ในความคิดของนางนั้นมู่อี้คือคนที่สำคัญมากที่สุดและนางไม่ได้มีความรู้สึกใดๆต่อซูจินหลุนเลยแม้ว่าเขาจะถือเป็นญาติของนางคนหนึ่ง ผู้ที่นางใกล้ชิดมากที่สุดมีเพียงมู่อี้เท่านั้นและนางก็เข้าใจอุปนิสัยของมู่อี้ได้เป็นอย่างดี แม้ว่านางจะรู้สึกไม่เต็มใจในตอนนี้แต่นางก็บินขึ้นไปบนภูเขาตามคำสั่งของมู่อี้ทันที

ทันทีที่เนี่ยนหนิวเอ้อร์แยกตัวออกไปนั้นอีกฝ่ายก็เริ่มลงมือทันที เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกหวาดกลัวต่อเนี่ยนหนิวเอ้อร์ที่อยู่ที่นี่ก่อนหน้านี้

แต่มู่อี้ก็เริ่มลงมือด้วยเช่นกันและเมื่อมือขวาของเขาสะบัดออกมานั้นธงราชันย์แห่งวิญญาณก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศตรงหน้าเขาทันที

“พรึ่บ!”

จากนั้นมู่อี้ก็ใช้ยันต์ปราบปีศาจออกไป เขายังไม่อยากใช้ยันต์สายฟ้าออกไปตอนนี้เพราะการต่อสู้เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้นและเขาจำเป็นต้องเก็บท่าไม้ตายของตนเองเอาไว้ก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้หญิงสาวที่เป็นหัวหน้าของกลุ่มโจรภูเขายังไม่ปรากฏตัวออกมาเลย ถ้าหากว่าเขาใช้ทุกสิ่งทุกอย่างของตนเองออกไปย่อมไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน