รับฟังมาจนถึงตอนนี้ ชิงอวี่ก็เริ่มรู้สึกสงสัยในตัวคนผู้นั้นมากขึ้น
ได้เห็นว่าซู่หลีม่อและลั่วหลานจือทรงพลังถึงเพียงไหนในวันนั้นแล้ว เช่นนั้นเฟิ่งเทียนเหิงศิษย์สายหลัก และผู้ก่อตั้งภาควิชาพิเศษผู้นี้จะเก่งกาจถึงเพียงไหนกัน?
การเดินทางไปสำนักละอองหมอกชักจะเริ่มน่าสนใจขึ้นเรื่อย ๆ เสียแล้ว
หลังจากฉินฟางอธิบายพื้นที่สำนักละอองหมอกสั้น ๆ จบแล้ว ก็เริ่มอธิบายเรื่องสำคัญต่อ
“อีกหนึ่งเดือนจะถึงการประลองเข้าสำนักแล้ว และในวันนั้น ไม่เพียงมีแต่สำนักละอองหมอกเท่านั้น แต่ทั้งสำนักไร้สิ้นสุดและหุบเขาไร้กังวลก็จะเปิดประตูรับศิษย์เช่นกัน เมื่อปีก่อน ๆ ก็เคยเกิดตัวอย่างที่เกิดการแย่งชิงคนเข้าสำนักมาแล้ว ในเมื่อพวกเจ้าเลือกจะเข้าสำนักละอองหมอกกันแล้วก็อย่าได้ลังเลใจอีก แม้อีกสองสำนักจะไม่ได้เลวร้าย แต่ก็ยังเทียบกับสำนักละอองหมอกไม่ได้”
ฉินฟางเอ่ยคำเหล่านั้นออกมานับว่าเป็นการปกป้องสำนักละอองหมอก อีกทั้งน้ำเสียงยังจริงจังไม่น้อย
จนกระทั่งพวกนางพยักหน้ารับ ท่าทางจึงอ่อนลงเล็กน้อยแล้วเอยต่อ “เกณฑ์แรกในการเข้าประลองได้นั้นคือต้องมีอายุระหว่าง 14-30 ปี เป็นบุรุษสตรีที่ยังไม่แต่งงาน…..”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ฉินฟางก็เผยแววเขินอายออกมาอย่างหาได้ยาก กระแอมออกมาสองครั้งด้วยกัน “พวกเจ้าคงจะรู้ดีว่ากฎระเบียบของสำนักละอองหมอกเข้มงวดนัก ห้ามไม่ให้ศิษย์ดื่มสุราของมึนเมา ไม่รับศิษย์ที่มีจิตใจโลภโมโทสัน จะต้องมีคุณธรรมและซื่อตรง แม้แดนมุกหยกจะค่อนข้างเปิดกว้าง แต่กฎที่เข้มงวดที่สุดในสำนักละอองหมอกนั้นคือศิษย์ทุกคนจะต้องยังไม่แต่งงาน….. และรักษาความบริสุทธิ์ไว้”
ฉินฟางอายุกว่าห้าสิบปีแล้ว ปีนี้ก็ใกล้จะหกสิบเต็มที แต่เพื่อให้ตนบำเพ็ญวิชาพิเศษได้จึงยังไม่แต่งงานและไร้ทายาท ยังคงความบริสุทธิ์มาจนถึงวันนี้ การเอ่ยเรื่องเช่นนี้กับเด็ก ๆ จึงอดทำให้เขารู้สึกเขินอายไม่ได้
ชิงอวี่ได้ยินก็ทำเพียงเลิกคิ้วขึ้นเท่านั้น หากแต่ใบหูของเด็กหนุ่มด้านข้างกลับแดงก่ำ ทั้งเยี่ยนซีอู่และเยี่ยนซีโหรวก็ดูเขินอาย ด้วยพวกนางยังเป็นเด็กสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือนกันทั้งสิ้น
เอ่ยเรื่องน่าอายออกไปแล้ว ฉินฟางก็รีบพูดต่อ “การประลองเข้าสำนักย่อมต้องมีการทดสอบพรสวรรค์ ศิลาทดสอบพรสวรรค์ในสำนักละอองหมอกนั้นมีขนาดใหญ่มาก ดังนั้นจึงมีพลังและสามารถรับพลังได้มากกว่า ดังนั้นเมื่อถึงเวลาทดสอบก็อย่าได้ซุกซ่อนความสามารถที่แท้จริง มีเพียงแสดงความเจิดจรัสของตนเองออกมาเจ้าจึงจะมีโอกาสเลือกมากกว่าคนอื่น ๆ”
คำเหล่านี้ซ่อนความนัยเอาไว้ คล้ายจะพูดกับชิงอวี่โดยเฉพาะ
นับตั้งแต่รู้ว่าชิงอวี่ซ่อนความสามารถตนเองเอาไว้ ฉินฟางก็พยายามทดสอบนางทั้งทางตรงและทางอ้อมมาโดยตลอด แต่ก็ไม่เคยสำเร็จ แม่นางน้อยซ่อนเร้นฝีมือไว้เสียมิดไม่เปิดเผย แม้คาดเดาก็ไม่อาจทำได้
ชิงอวี่ย่อมต้องจับความนัยนั้นได้ ริมฝีปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มก่อนเอยตอบ “ผู้อาวุโสโปรดวางใจ พวกเราทุกคนย่อมต้องพยายามให้ถึงที่สุด”
ฉินฟางพยักหน้าด้วยความพอใจยามได้ยิน
“หลังจากทดสอบพรสวรรค์แล้วก็จะเป็นการเลือกความชำนาญ จากนั้นเข้ารับการทดสอบอีกหนึ่งครั้ง สำเร็จเสร็จสิ้นก็จะแยกย้ายกันไปตามภาควิชาทั้งห้า ตัวแทนจากภาควิชาจะมาทดสอบเจ้าอีกครั้ง จากนั้นถึงจะกล่าวได้ว่าผ่านการทดสอบแล้ว”
มาถึงจุดนี้ก็นับว่าอะไรที่ควรเอ่ยก็เอ่ยไปจนสิ้น ฉินฟางมองไปทางเยี่ยนซีอู่และเยี่ยนซีโหรว “พวกเจ้าสองคนยังต้องพยายามมากกว่าเดิม ไม่เช่นนั้นจะผ่านขั้นตอนทดสอบพรสวรรค์ไปได้ยาก คนอย่างชิงเป่ยที่เผ็นผู้ใช้สองธาตุไม่จำเป็นต้องห่วงมาก ส่วนชิงอวี่…..”
เขาหยุดไปเล็กน้อย ในใจคิดว่าเด็กคนนี้ยังไม่เผยพลังที่แท้จริงออกมา “ชิงอวี่เองมีวิชาแพทย์ ตอนนี้นับว่าเลือกเข้าได้สองภาควิชา ฉะนั้นคนที่ข้าต้องห่วงคือพวกเจ้าสองคน”
เยี่ยนซีโหรวและเยี่ยนซีอู่ก้มหน้าลง รู้สึกละอายใจอยู่เล็กน้อย
ฉินฟางเห็นแล้วก็ให้ถอนใจ “เวลาอีกหนึ่งเดือนที่เหลืออยู่ ข้าจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้พวกเจ้าแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ พวกเจ้าเองก็ต้องตั้งใจร่ำเรียนเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า”
ทั้งสองพลันเอ่ยขึ้นพร้อมกัน “พวกเราจะพยายามเจ้าค่ะ รบกวนผู้อาวุโสโปรดชี้แนะ”
ชิงอวี่และชิงเป่ยพบว่าไม่มีอะไรให้ลงมือทำมากนัก ทั้งสองมีพลังเช่นนี้ย่อมไม่ต้องให้ฉินฟางต้องเป็นกังวล หลังจากชี้แนะสั่งสอนอีกเล็กน้อยก็อนุญาตให้กลับไปได้
“พี่ ท่านคิดว่าเข้าสำนักไปได้แล้วจะได้ไปอยู่ภาควิชาไหนหรือ?” ตอนที่ได้ยินฉินฟางอธิบายเรื่องภาควิชาต่าง ๆ เขาก็อยากเอ่ยคำถามนี้กับนางแล้ว
ชิงอวี่ได้ยินก็เหลือบตามองเขา “อะไรกัน? เจ้าคิดจะมาอยู่ด้วยหรือไร?”
ชิงเป่ยลูบท้ายทอยเบา ๆ “ข้าเพียงอยากถามเท่านั้น อยู่ด้วยกันหรือไม่ก็ไม่ต่าง อย่างไรก็สำนักเดียวกันอยู่แล้ว ได้เห็นหน้ากันอยู่ดี”
ชิงอวี่เม้มปากครู่หนึ่งก่อนคลี่ออกเป็นยิ้ม “คิดเช่นนั้นได้ก็ดีนัก เพราะอย่างไรพวกเราก็จะถูกแยกไปตามสิ่งที่ถนัด ดังนั้นไม่แน่ว่าอาจไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ตอนนี้เจ้ามีพลังบำเพ็ญขั้นนี้ คงไม่มีใครรังแกเจ้าได้ง่ายดายนัก”
“อืม” ชิงเป่ยพยักหน้า “เช่นนั้นท่านคิดจะเข้าภาควิชานักปรุงยาหรือภาควิชาผู้ฝึกยุทธ์?”
จริง ๆ แล้วเขาอยากอยู่กับชิงอวี่ อีกทั้งตอนนี้เขาเรียนรู้เกี่ยวกับการปรุงยามาเล็กน้อย ดังนั้นจึงอาจพอเข้าภาควิชานั้นไปได้ แต่เมื่อครู่ได้เห็นสีหน้าไม่พอใจของชิงอวี่อยู่เล็กน้อยแล้ว คำที่ติดอยู่ที่ปลายลิ้นกลับถูกกลืนลงคอไปอย่างรวดเร็ว
ชิงอวี่อยากอยากให้เขาเป็นอิสรเสรีมากกว่านี้!
ยามเขาอยู่คนเดียวจึงจะสามารถแข็งแกร่งได้ เด็ดเดี่ยวได้ และเผยไหวพริบออกมาได้ แต่หลังจากที่อยู่กับชิงอวี่มานานก็เริ่มเคยชินกับการพึ่งพานางจนมากเกินควร
อาจเป็นเพราะเมื่อครั้งที่เขารู้สึกเจ็บปวดและสิ้นหวังอย่างที่สุด เคยคิดปลิดชีวิตตนมานับครั้งไม่ถ้วน ยามความเจ็บปวดจากการถอนพิษกำจายจนเกินทานทน นางคอยเป็นคนที่ดึงเขาออกจากความมืดมิด อยู่เคียงข้างเขาให้ฝืนทนช่วงชีวิตที่เจ็บปวดมาโดยตลอด
ดังนั้นในใจเขาจึงอยากพึ่งพิงนางอย่างไรเหตุผล เพราะนางเป็นคนที่เขาไว้ใจที่สุด เป็นครอบครัวเพียงคนเดียวของเขา
ยามเห็นแววตาเด็กหนุ่มแปรเปลี่ยนไปหลากอารมณ์ ชิงอวี่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายหลุดเข้าภวังค์ไปอีกครั้ง นิ้วเรียววางบนศีรษะอีกฝ่ายแล้วออกแรงขยี้ไปมาเต็มกำลัง
อาจเพราะนางไม่ได้ทำเรื่องที่ทำให้อบอุ่นใจเช่นนี้มานาน ทำให้เด็กหนุ่มถึงกับชะงักค้างไปในพลัน
กล่าวกันว่าศีรษะคนไม่ควรแตะโดยง่าย กระทั่งกับเด็กที่ยังไม่โตเป็นหนุ่มอย่างชิงเป่ยก็เช่นกัน
แต่ทุกครั้งที่เขาฝืนปัดป้องก็พบว่าศีรษะตนถูกขยี้หนักกว่าเดิม สุดท้ายเขาก็ชินชากับการกระทำนี้ไป ดังนั้นเมื่อชิงอวี่หยุดขยี้หัวเขาไปพักหนึ่งจึงรู้สึกแปลกไปเล็กน้อย
นับตั้งแต่ที่คนทั้งคู่เตรียมตัวเข้าสำนักละอองหมอก ต่างคนต่างพยายามเพิ่มพลังตนเองอย่างหนักหน่วง ดังนั้นจึงไม่ได้เกิดการขยี้หัวกันเช่นนี้มานาน
ชิงอวี่มองเด็กหนุ่มที่มีนัยน์ตาละห้อยคล้ายสัตว์ตัวน้อย จากนั้นยื่นมือไปขยี้หัวเขาเล่นอีกครา “คิดว่าข้าโกรธหรือ?”
“แล้วท่านไม่โกรธหรือ?” ชิงเป่ยถามกลับ
ชิงอวี่เลิกคิ้วขึ้น “เหตุใดต้องโกรธด้วย?”
ชิงเป่ยได้ยินแล้วก็ลังเลอยู่ในที “หากข้าเข้าภาควิชานักปรุงยาไปกับท่านจริง ท่านจะไม่โกรธหรือ?”
“มีอะไรให้ข้าโกรธกัน? หากเจ้าทำได้ก็เอาเลยสิ!” ชิงอวี่มองเขาท่าทางขำขัน “อีกอย่าง ข้าบอกเมื่อไรว่าจะเข้าภาควิชาการปรุงยา? วิชาแพทย์ของข้าในตอนนี้ยังต้องเข้าภาควิชาไปเรียนรู้สิ่งใดอยู่อีกหรือ?”
หากนางจะเข้าภาควิชานักปรุงยาแล้วก็คงนับว่าเสียเวลาและแรงไปโดยเปล่า เทียบกับความรู้ในตำราแพทย์แดนเซียนแล้ว วิชาแพทย์ของดินแดนเหล่านี้ด้อยกว่านัก
“เช่นนั้นจะเข้าภาควิชาผู้ฝึกยุทธ์หรือ? ได้ยินว่าเป็นภาควิชาที่มีศิษย์อยู่มากที่สุด อีกทั้งผู้คนสองในสามส่วนของดินแดนต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์กันทั้งสิ้น ดังนั้นจึงไม่ขาดผู้มีฝีมือ เข้าไปก็คงโดดเด่นได้รับความใส่ใจขึ้นมาได้ยาก” ชิงเป่ยคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ย
ชิงอวี่ส่ายหน้าพลางเอ่ยยิ้ม ๆ “ไม่ได้อยากเข้าทั้งสองภาควิชานั้นหรอก ข้าสนใจภาควิชาอาจารย์วิญญาณอยู่เล็กน้อย อีกทั้งมันยังเป็นภาควิชาพิเศษที่ก่อตั้งโดยศิษย์สายหลักอันดับต้น ๆ”
ชิงเป่ยกะพริบตามองนางด้วยความแปลกใจ “ภาควิชาอาจารย์วิญญาณมีเกณฑ์คือต้องมีจิตกล้าแข็งมาก ต้องแกร่งกว่าคนปกติธรรมดาสิบเท่าเป็นอย่างน้อย ส่วนเรื่องภาควิชาพิเศษนั่น ได้ยินว่ามีคนไม่ถึงยี่สิบ ใน 5 อันดับแรก มีสามคนที่มาจากภาควิชานี้ อีกสองเป็นนักประดิษฐ์และอาจารย์วิญญาณ เกรงว่าหากจะเข้าสองภาควิชานี้คงจะตึงมือไปสักหน่อย”
“แล้ว?” ชิงอวี่ใช้หางตาเหลือบมองเขา “หากไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไร?”
ว่าแล้วชิงอวี่ก็พลันหันไปมองเขาตาเป็นประกาย “ข้ารู้สึกได้ว่าเสี่ยวเป่ยควรจะไปลองเป็นอาจารย์วิญญาณเสียหน่อย เพราะเจ้ามีจิตใจเข้มแข็งนัก เจ้าเคยบอกไว้ไม่ใช่หรือไรว่ายามอยากรู้สิ่งใด เพียงคิด เรื่องต่าง ๆ ก็เด้งขึ้นมาในหัวแล้ว?”
“ถูกต้อง” ชิงเป่ยพยักหน้า
ชิงอวี่ว่าต่อ “เจ้าอาจไม่รู้ แต่นั่นนับเป็นหนึ่งในความสามารถของอาจารย์วิญญาณ หากไร้ซึ่งความแกร่งทางจิตใจแล้วก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้หรอก”
ชิงเป่ยพลันเบิกตากว้าง ชี้ตนเองด้วยความตกใจ “ท่านจะบอกว่า….. ข้ามีพรสวรรค์ในการเป็นอาจารย์วิญญาณงั้นหรือ?”
ชิงอวี่ยิ้มแล้วพยักหน้า
“เช่นนั้นในวันประลองเข้าสำนักก็คงต้องลองดู” ชิงเป่ยดูท่าทางมีกำลังใจดียิ่ง จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าอยากให้การประลองมาถึงในเร็ววัน
ที่อีกด้านหนึ่ง โหลวจวินเหยาที่ในใจรู้สึกไม่เป็นสุขมานานก็ค้นพบต้นตอแห่งความไม่สบายใจนั้นในที่สุด
“บอกข้าอีกทีสิ หมายความว่าอย่างไรที่คนผู้นั้นหายไป”
น้ำเสียงทุ้มต่ำน่าดึงดูดของชายหนุ่มคล้ายกับเป็นคำสาปจากแดนสวรรค์ เสียดแทงเข้าจิตใจคนที่กำลังก้มหัวลงอย่างนอบน้อมด้านล่าง เป็นเพียงคำสั้น ๆ ที่เอ่ยขึ้นเสียงเบาเท่านั้น แต่กลับทำให้เขาถึงกับเข่าทรุดลงกับพื้นได้
“นายท่าน! โปรดระงับความโกรธด้วย หัวหน้าทั้งหลายได้ออกตามหาร่องรอยจนสุดความสามารถอยู่ขอรับ” เขาเตรียมใจฝืนรับแรงกดดันจากอีกฝ่ายเต็มที่ น้ำเสียงสั่นน้อย ๆ
ชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีม่วงลึกล้ำเอ่ยเสียงเย็น “หากรับมือได้จริงก็คงไม่ต้องให้เจ้ามารายงานข้า”
เขาจึงรีบกดหัวลงต่ำกว่าเดิม ไม่รู้จะเอ่ยคำใด เพราะนายท่านกล่าวได้ถูกต้อง เรื่องเกิดมาครึ่งเดือนแล้ว พวกเขาต่างรู้ดีว่าไม่อาจปิดบังได้อีกต่อไป ดังนั้นจึงสั่งให้เขาลงมาจากแดนเมฆาสวรรค์ รายงานเรื่องนี้กับนายท่านเพื่อหาทางแก้ไข
ร่างสูงของโหลวจวินเหยาเหยียดตรง เขาพลันลุกขึ้นยืน กลิ่นอายคลุมเครือซ่อนเร้น ก่อนเอ่ยขึ้นเสียงทุ้ม “ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง เจ้ากลับไปบอกพวกเขาให้หยุดการค้นหาเสีย อย่าให้ขุมอำนาจอื่นล่วงรู้เรื่องราวได้”
แม้เขาจะไม่รู้ว่าโหลวจวินเหยาหมายความว่าอย่างไร แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยค้าน ทำได้เพียงรับคำสั่งกลับไปเท่านั้น
ห้องใหญ่ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง โหลวจวินเหยายืนทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง แสงสว่างและความมืดผสานกลมกลืนกันในนัยน์ตา หากแต่เส้นสีดำพลันพุ่งทะยานขึ้นราวกับมีบางสิ่งบางอย่างกำลังคุกรุ่นอยู่ภายใน
เป็นเรื่องบังเอิญจริงหรือ?
ร่างในแคว้นมารหายไป ช่วงนี้เขาก็ได้ยินเสียงเพรียกหา ทุกอย่างคล้ายกับจะบอกบางอย่างให้เขารับรู้
เป็นข้อความที่ไม่อาจมั่นใจได้ว่าคือสิ่งใด แต่มองเห็นได้อย่างชัดเจนนัก