— แดนเมฆาสวรรค์สุดเขตตะวันตก ฐานที่ตั้งของคนเถื่อน —

เป็นเพราะอาศัยอยู่ในทะเลทรายกว้างใหญ่ที่มีแต่พายุทรายซัดกระหน่ำ คนเถื่อนเหล่านี้จึงสร้างหอสูงเอาไว้กันลมแรง หลายร้อยปีก่อนหน้านี้ บ้านเมืองของพวกเขาถูกพายุทรายทำลายมาด้วยนับครั้งไม่ถ้วน คนตายไปก็มาก ดังนั้นหัวหน้าเผ่าจึงหาช่างมาทำการก่อสร้างปราการทรายเหล่านี้ขึ้นเพื่อป้องกันภัย หลังจากนั้นก็ไม่มีใครต้องตายเพราะพายุทรายอีก คนในเผ่าอยู่กันอย่างสงบสุข ไม่เผยกายสู่โลกภายนอก

“เอ๋? ตื่นแล้ว!”

ผ้าที่กั้นทางเข้ากระโจมพลันถูกยกขึ้น ก่อนที่เด็กหญิงอายุราวสิบขวบจะเดินเข้ามา นางมีท่าทางน่ารักมีชีวิตชีวา เปียสองข้างดูน่ารักน่าชัง นัยน์ตากลมโตเป็นประกายเต็มไปด้วยความยินดีเมื่อมองคนที่อยู่ด้านใน

นางมองคนที่ลุกขึ้นนั่งหลังตรงบนเตียง คราแรกที่มองยังนึกว่าตนได้พบกับเทพเซียนเข้าเสียแล้ว

เรือนผมเงางามยาวเคลียไหล่ สวมชุดสีแดงจัด เป็นโฉมงามล่อลวงใจคนมองนัก

ยามได้ยินเสียงเรียกนางก็เงยหน้าขึ้น ใบหน้างามหมดจดนั้นคล้ายกับว่านางเป็นเซียนที่ร่วงลงมาจากแดนสวรรค์ ทั้งสะอาดบริสุทธิ์ นัยน์ตาใสกระจ่างไร้สิ่งเจือปน มองไปทางใดก็งาม แม้นางจะขมวดคิ้วจนแทบเป็นปม คนก็ยังไม่อาจละสายตาจากใบหน้านี้ได้เลย

เด็กสาวจ้องอีกฝ่ายเหม่อไปครู่หนึ่งก่อนจะหลุดจากภวังค์ ท่าทางเขินอายอยู่เล็กน้อย “ไม่สบายตรงไหนหรือไม่? ข้า ข้าเป็นนักปรุงยา ช่วยดูอาการให้ท่านได้”

นัยน์ตาเหม่อลอยไร้จุดรวมสายตาของหญิงสาวค่อย ๆ แปรเปลี่ยน สายตาจ้องมองไปยังเด็กน้อยท่าทางเขินอายที่กำลังก้มหน้า นางพลันเอ่ยเสียงเบาขึ้น “เจ้าเป็นคนช่วยข้าไว้หรือ? ขอบคุณเจ้ามาก”

สตรีผู้นี้ไม่เพียงมีรูปโฉมงดงาม กระทั่งน้ำเสียงก็ยังน่าฟัง มันกระจ่างใสคล้ายกับลูกประคำหยกที่ร่วงหล่นลงบนถาด สะท้านใจคนฟัง กระเพื่อมเป็นระลอกคลื่นอันอ่อนโยน

ใบหน้าน้อยพลันมีแดงอ่อน ๆ แต้มที่แก้มทั้งสอง “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอก ท่านไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”

เด็กสาวพูดแล้วก็จ้องมองหญิงสาวด้วยความประหลาดใจ แต่ก็แฝงแววมองประเมินอยู่ในที “ตอนที่ข้าช่วยท่านกลับมา ร่างวิญญาณของท่านนั้นอ่อนแอจนแทบจะมองไม่เห็นแล้ว เหตุใดตอนนี้จึงมีร่างเนื้อแล้วเล่า?”

แม้จะไม่ได้แตะตัว แต่มองดูก็รู้ว่านางมีร่างกายเป็นเนื้อหนังจับต้องได้แล้ว

ได้ยินแล้วอีกฝ่ายก็สายตาทะมึนลง นิ้วเรียวยกขึ้นแตะแก้มตนเบา ๆ ดูท่าทางครุ่นคิดเหม่อลอย

นางจำได้ว่าร่างเนื้อนางถูกทำลายไปแล้ว แยกออกเป็นชิ้น ๆ ดูน่ากลัวนัก

หลายปีมานี้นางไม่รู้ว่าตนไปอยู่ที่ใดหรือตายเพราะสาเหตุอะไร ทุกอย่างช่างพร่ามัวไปหมด แต่คล้ายกับในใจนางจะมีเสียงหนึ่งคอยเพรียกบอกนางว่าอย่างไรก็ห้ามตาย นางต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ยังมีคนรอคอยนางอยู่ ไม่ว่านานเท่าไรก็จะยังรอคอยนาง

แต่ว่า….. คนผู้นั้นเป็นใครกัน? นางจำไม่ได้จริง ๆ

นางพลันรู้สึกคล้ายกับในหัวมีสิ่งใดระเบิดออก ความเจ็บปวดแสนสาหัสแล่นขึ้นมาเป็นริ้ว นางยกมือขึ้นกุมหัว พยายามกดความเจ็บปวดไว้

“เป็นอะไรหรือไม่!?” เด็กสาวเห็นแล้วก็ตกใจรีบเดินเข้าไปหา เมื่อลองเอื้อมมือแตะร่างอีกฝ่ายก็พบว่าเย็นเฉียบ ไร้ซึ่งไออุ่นใด

เด็กสาวตกใจกับความเย็นยะเยือก ชักมือกลับในพลัน

อุณหภูมิร่างกายเช่นนี้…. คล้ายกับของคนตาย แต่….. นางยังพูดยังขยับกายได้อยู่นี่นา! ไม่เห็นเหมือนคนตายตรงไหน!

ใบหน้าจิ้มลิ้มของเด็กสาวเครียดขึงขึ้น นางกุมมืออีกฝ่ายไว้แล้วส่งพลังวิญญาณเข้าไป พริบตาต่อมานางก็เบิดตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ

เป็นไปได้อย่างไร…..

ในร่างของอีกฝ่ายมีวิญญาณอยู่เพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น ส่วนอื่น ๆ นั้น….. หายไปจนหมด!

คนต่ำช้าที่ไหนกล้าทำเรื่องเช่นนี้ได้ลงคอ? หากร่างวิญญาณไม่สมประกอบเช่นนี้ก็อาจทำให้สิ้นสติได้โดยง่าย เลวร้ายไปกว่านั้นคืออายุขัยสั้นลง มีชีวิตอยู่ต่อได้อีกไม่นาน

แม้หญิงสาวจะไม่ได้เสียสติไป แต่ก็มีสภาพย่ำแย่นัก ร่างกายเย็นเฉียบคล้ายกับไร้ชีวิตมานานแล้ว อีกทั้ง…..

เด็กสาวเอ่ยถามเสียงกังวล “ท่านจำได้หรือไม่ว่าท่านเป็นใคร?”

หญิงสาวที่ยกสองมือกุมหัวพลันสะดุ้งเฮือก ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมองเด็กสาว “ข้า….. ข้าคือ…..”

นางเป็นใครกัน?

“เฟยเอ๋อร์ เจ้าต้องจำข้าไว้ ถึงข้าตายไปก็ห้ามลืมข้า”

เป็นเสียงใครกัน?

นางดูงุนงงอยู่เล็กน้อย นางคือ….. เฟยเอ๋อร์หรือ?

เมื่อเห็นอาการเช่นนี้แล้ว จะไม่รู้ได้อย่างไรว่านี่คือร่างวิญญาณไม่สมประกอบt? แม้จะไม่ได้เสียสติไปแต่ก็เสียความทรงจำในอดีตไปจนสิ้น จำไม่ได้แม้กระทั่งตนเอง

เด็กสาวไม่รู้จริง ๆ ว่าช่วยเหลือนางกลับมาแบบนี้เป็นเรื่องดีหรือไม่

เด็กสาวพลันถอนใจเสียงเบา “ท่านอย่าห่วง ข้าจะช่วยท่านฟื้นความทรงจำแน่นอน”

แม้เผ่าคนเถื่อนจะเป็นเผ่าที่รักสงบที่สุดในแดนเมฆาสวรรค์ เก็บเนื้อตัวอยู่แต่ในเขตแดนของตน แต่ก็เป็นชนเผ่าที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุดบนดินแดนแห่งนี้ ในเผ่ามีวิชาลับโบราณมากมาย หากคิดจะช่วยตามหาเศษร่างวิญญาณของนางกลับมาก็ไม่ใช่เรื่องยาก

แต่ยังมีเรื่องหนึ่งที่ออกจะยากไปสักหน่อย

นางเพิ่งจะพาหญิงสาวคนนี้กลับเผ่ามาโดยที่ไม่มีใครรู้ แต่หากนางคิดใช้วิชาลับของเผ่าก็ต้องมีคนจับได้เป็นแน่

อีกทั้งคุณปู่ก็ไม่ชอบคนนอกเผ่า ดังนั้นหากรู้ว่านางเอาคนนอกเจ้ามา กระทั่งใช้วิชาลับของเผ่าเพื่อช่วยเหลือแล้วด้วย ไม่เพียงตัวนางที่จะถูกลงโทษ แต่หญิงสาวคนนี้ก็คงไม่รอดไปด้วยเป็นแน่

เด็กสาวนัยน์ตาหม่นแสง หันไปมองหญิงสาวที่นั่งอยู่บนเตียงอีกครั้งหนึ่ง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรนางจึงรู้สึกว่าตนคุ้นเคยกับอีกฝ่ายนัก ดังนั้นจึงลอบพาอีกฝ่ายกลับมาด้วย

เรื่องนี้นางต้องคิดวางแผนให้รอบคอบเสียก่อน

———-

ยามราตรีดึกสงัดมากแล้ว หากแต่ยังมีก้อนหิมะดูนุ่มนิ่มก้อนหนึ่งนอนนิ่งอยู่บนโต๊ะ ขาน้อย ๆ สะบัดไปมาเป็นบางครั้ง ปากเล็กทำเสียงเบาออกมาเป็นระยะ ๆ

เดินเข้าไปใกล้จึงเห็นว่าเจ้าตัวเล็กกำลังนอนทำปากแจ๊บ ๆ หลับสบายอยู่ ปากน้อย ๆ ของมันอ้าออกราวกับกำลังฝันว่าได้กินของอร่อย ที่มุมปากยังมีของเหลวใสสายหนึ่งไหลออกมา หยดลงเสียงแหมะเบา ๆ กลายเป็นกองของเหลวอยู่ด้านล่าง

ชิงอวี่ส่ายหน้าด้วยความขำขัน ก่อนจะอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้น

แม้เจ้าอสูรน้อยจะหลับอยู่ แต่ก็ยังตื่นตัวอยู่ตลอด มันตื่นขึ้นในพลัน ยามได้กลิ่นอันคุ้นเคยจึงผ่อนคลายร่างลง เรียกเสียงเบาออกมา “ท่านแม่”

“ชู่ว ท่านแม่จะพาเจ้าไปนอนบนที่นอนนิ่ม ๆ โต๊ะข้างนอกยามนี้อากาศหนาวเย็นเกินไป” ชิงอวี่เอ่ยเสียงอ่อนโยน จากนั้นวางมันลงบนเก้าอี้นุ่มที่อยู่ไม่ห่างจากเตียงมากนัก กระทั่งห่มผ้าให้มันด้วย

แม้โร่วโร่วจะมีขนนุ่มฟูที่คอยรักษาความอบอุ่นอยู่แล้ว ไม่เกรงกลัวความหนาวเย็น แต่การกระทำของเด็กสาวก็ทำเอาอสูรน้อยซึ้งใจนัก ในตากลมโตใสแจ๋วของมันมองดูนางด้วยความซาบซึ้ง หากแต่ก็ฝืนทนความง่วงไม่ไหว เปลือกตาค่อย ๆ ปิดลงแล้วหลับไป

เจ้าอสูรน้อยไม่ตื่นตัวและดุร้ายเช่นอสูรวิญญาณส่วนมาก แต่กลับเงียบขรึมและเชื่อฟังเป็นอย่างดี ไม่กินก็จะนอน ที่แปลกคือตัวมันไม่ใหญ่ขึ้นเลย ยังเป็นก้อนกลมนุ่มขนาดเท่าเดิม

นางไม่รู้ว่ามันเป็นอสูรวิญญาณประเภทใด แต่นางชอบมันไม่น้อย ดังนั้นจึงเก็บมันไว้ข้างกาย

นางกำลังคิดจะถอดชุดนอกแล้วเข้านอน หากแต่ฉับพลันก็ต้องชะงักไป สายตาจับจ้องไปยังจุดหนึ่ง ใบหน้าฉายแววกระวนกระวายอยู่เล็กน้อย ก่อนจะเดินเสียงเบาออกไปอีกครั้ง

ประสาทการรับเสียงนางดีเกินไปจริง ๆ ดังนั้นจึงมักได้ยินเสียงที่คนอื่นไม่ได้ยินอยู่เนือง ๆ

มันยังคงเป็นสวนแห่งเดิมที่ห่างไกลไร้ผู้คน แต่ทั้งปีไม่เคยจับฝุ่นเกรอะ คลื่นน้ำหลายวงเกิดขึ้นเป็นระลอกบนผืนน้ำ คล้ายกับมีบางอย่างร่วงหล่นลงไป

ชิงอวี่เดินเข้าไปเพ่งมองด้วยความสงสัย อาจจะเป็นคนพวกนั้นอีกกระมัง กลางค่ำกลางคืนไม่หลับไม่นอน มาที่นี่ให้ได้อะไรขึ้นมา?

แต่เมื่อเพ่งมองดูใกล้ ๆ กลับไม่เห็นเงาคน นอกจากระลอกน้ำเป็นวงแล้วก็ไม่มีเสียงใดอีก

หรือนางจะหูฝาด?

แต่ในตอนที่กำลังจะก้าวเท้าเดินจากไปนั่นเอง ที่ด้านหลังพลันรู้สึกเย็นวาบ ขนอ่อนตรงลำคอพากันลุกชัน

หลายวันมานี้อากาศดีมาก ทั้งพระจันทร์ยังสว่างกระจ่างเป็นยิ่งนัก หากแต่มีเงาดำขนาดใหญ่ของบางสิ่งบางอย่างกำลังคืบคลานเข้ามา ค่อย ๆ บดบังแสงจันทร์จนพื้นที่โดยรอบมืดไป

นางพลันสัมผัสได้ถึงอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามาเช่นกัน คล้ายกับเลือดในกายแข็งไปจนหมดแล้ว นางค่อย ๆ หันร่างที่เย็นดั่งน้ำแข็งของตนเองไปด้านหลัง

อะไรน่ะ…..

จังหวะที่นางกำลังจะหันไปมองนั่นเอง มือหนึ่งพลันพุ่งขึ้นมาจากริมทะเลสาบ จับหมับเข้าที่ข้อเท้าแล้วลากนางลงน้ำไปอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเงาดำขนาดใหญ่ก็โฉบผ่านเหนือน้ำไปด้วยความรวดเร็ว

หากชิงอวี่ไม่ถูกดึงลงน้ำมาก็คงถูกเงาดำนั่นโจมตีไปแล้ว

ที่ใต้น้ำ ชิงอวี่ที่ทั้งตกใจและประหลาดใจเกือบสำลักน้ำอึกใหญ่ เคราะห์ดีที่นางตั้งสติทัน กลั้นหายใจไว้ สร้างเกราะกันน้ำขึ้นมาเพื่อให้ตนเองสามารถขยับกายใต้น้ำได้อย่างอิสระ

เมื่อเงยหน้าขึ้นมองรอบกายก็เห็นคนที่ดึงนางลงน้ำมา นัยน์ตาสีม่วงของคนร้ายนั้นสุกใสเป็นยิ่งนัก เจือไว้ด้วยแววยิ้มขณะที่มันจับจ้องมายังนาง “เป็นอันใดหรือไม่?”

“เหตุใดท่านจึงอยู่ที่นี่?” ชิงอวี่ถามด้วยความประหลาดใจ

โหลวจวินเหยาคลี่ยิ้ม “แล้วเจ้าคิดว่าข้าเป็นใครหรือ? เวลาเช่นนี้ เด็กสาวอย่างเจ้าไม่เข้านอน แต่กลับเดินมายังสถานที่เปลี่ยวร้างอย่างที่นี่ได้ ไม่เกรงกลัวอันตรายเลยกระมัง?”

ชิงอวี่ได้ยินก็มุมปากกระตุก เปลี่ยนน้ำเสียงไปทันควัน “ที่นี่คือบ้านข้า เหตุใดจึงจะไม่กล้ามาเยือนที่นี่? แต่สำหรับท่าน ได้ยินว่าเป็นคนมีชื่อมีฐานะบนแดนเมฆาสวรรค์ ลักลอบเข้าบ้านผู้อื่นกลางดึกเช่นนี้ ทั้งยังว่าข้าเช่นนี้อีก เดี๋ยวภาพพจน์สุภาพชนจะเสียหายเอาได้”

คำของนางเชือดเฉือนใจนัก กระทั่งซู่หลีม่อได้ยินคำยังต้องอับอายจนหน้าแดง

แต่นางดูถูกผิวหนังด้าน ๆ ของชายหนุ่มผู้นี้มากเกินไปหน่อย เขารอจนนางว่าเสร็จจึงกะพริบตาอย่างใสซื่อคราหนึ่ง “ข้าเคยบอกเมื่อไรว่าเป็นสุภาพชน?”

ชิงอวี่พยายามกดความอยากด่าคนเอาไว้ภายใน เพราะอย่างไรนางก็เป็นสตรีที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาดี อีกฝ่ายพูดไม่กี่คำ นางจะเสียกิริยาไม่ได้

“พวกท่านคิดจะมาทำอะไรกันแน่? ในน้ำนี่มันมีสมบัติอยู่หรือไร?” ชิงอวี่เอ่ยถาม ขมวดคิ้วแน่นเป็นปม ทุกครั้งที่นางคิดอยากพักผ่อน เป็นต้องได้ยินเสียงที่ทำให้ไม่อาจนอนได้อย่างสงบสุขทุกครา นางจึงเริ่มคิดแล้วว่ามันช่างแปลกนักที่อีกฝ่ายดูจะสนใจทะเลสาบในจวนนางมากเช่นนี้

โหลวจวินเหยานัยน์ตาทะมึนลง แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร

ใต้น้ำนี่มีสมบัติอยู่แน่นอน อีกทั้งยังเป็นสมบัติที่ล้ำค่ากว่าสิ่งใด

ชิงอวี่เห็นว่าเขาคงไม่อยากบอกอะไรมาก ดังนั้นจึงไม่คิดซักไซ้มากความ ทำท่าจะว่ายกลับริมฝั่ง แต่ข้อมือกลับถูกดึงคราเดียวจนร่างนางกระแทกอกอีกฝ่ายเข้าเต็ม ๆ แม้น้ำจะช่วยลดแรงกระแทกลงได้มากแต่ก็ทำให้ร่างทั้งสองแนบชิดกันอย่างไม่ต้องสงสัย

ชิงอวี่ดิ้นขลุกขลักในพลัน หากแต่ชายหนุ่มกลับเอื้อมแขนมารัดเอวนางไว้ รั้งร่างนางเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดแกร่งทันที

ร่างนางแข็งค้าง ชะงักไปในพลัน

นางไม่ชอบอยู่ใกล้ชิดกับคนอื่นมากเกินไป คนที่ใกล้ชิดกับนางที่สุดมีเพียงชิงเป่ยคนเดียวเท่านั้น

แต่คนผู้นี้กลับ….. ได้กอดนางอยู่หลายครั้งแล้ว!?

แน่นอนว่าก่อนหน้านี้ที่นางได้รับบาดเจ็บจนหมดสติ นางย่อมรู้ดีว่าอีกฝ่ายก็อุ้มนางไว้ในอ้อมแขนอยู่หลายครั้งแล้ว!