บทที่ 156 เจ้านี่เอง!

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 156 เจ้านี่เอง!

คลื่นพลังที่รุนแรง และมีเสียงครืนครันหนักๆ รวมไปถึงพลังเวทที่แผ่กระจาย

สวี่ชิงหยุดเท้าลง ขณะที่มองออกไปไกล ความคิดต่างๆ ก็ปรากฏขึ้นในหัวอย่างรวดเร็ว

ตรงหน้านี้เห็นได้ชัดว่าค่ายกลส่งข้ามเปิดใช้งานแล้ว มีผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรเข้ามาแล้วอีกด้วย

และจากเสียงการต่อสู้ก็ยืนยันได้ว่ามีผู้บำเพ็ญเจ็ดเนตรโลหิตอยู่ที่นี่และพบกับพวกเขา

ศิษย์ส่วนใหญ่ตอนนี้รับภารกิจต่างๆ อยู่ด้านนอก แม้โลกใต้ทะเลจะมีคน แต่ในสองเดือนสวี่ชิงนี้ก็เจอน้อยมาก

ดังนั้นความเป็นไปได้ก็คือคนที่รับภารกิจให้มาค้นหาค่ายกลแบบเขานั่นเอง

สวี่ชิงไม่กระทำการบุ่มบ่าม เก็บซ่อนร่องรอยค่อยๆ เข้าใกล้ จนกระทั่งเกือบถึงสนามรบเขาก็นั่งย่อตัวก้มหน้าลงมองเงา

เจ้าเงาติดตามสวี่ชิงมานาน คุ้นเคยกับนิสัยของเขาเป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อหนึ่งเดือนก่อนหลังจากต้องแข่งขันกับบรรพชนสำนักวัชระ ตอนนี้จึงค่อนข้างทุ่มกำลังรีบร้อนแผ่ยืดออกไปอย่างเต็มที่

ต้นกำเนิดแสงของโลกใต้ทะเลมาจากปะการังหลากสีที่เปล่งแสงออกมาบริเวณรอบๆ แสงนี้สามารถทำให้ผู้บำเพ็ญมองรอบด้านได้ชัดเจน แต่เนื่องจากไม่ใช่แสงที่สว่างมาก ดังนั้นที่นี่จึงแทบจะสังเกตไม่เห็นเงาเลย

การยืดตัวของเจ้าเงาจึงไม่ถูกพบเห็น

โดยเฉพาะสถานที่นี้เดิมก็เต็มไปด้วยไอพลังประหลาดอยู่แล้ว นี่ทำให้เจ้าเงาค่อยๆ เข้าใกล้พื้นที่ต่อสู้ได้อย่างไร้ซุ่มเสียง

มันสำรวจที่นั่นอย่างรวดเร็ว แล้วกลับมาในพริบตา หลังจากส่งถ่ายความรู้สึกบางส่วนให้กับสวี่ชิง จากนั้นจึงเผยรูปร่างบางส่วนที่มีเพียงสวี่ชิงเท่านั้นที่มองเห็นจากบนพื้น

สวี่ชิงก้มหน้ามอง แม้เขาจะควบคุมเงาได้ แต่ก็ยังไม่สามารถยืมดวงตาของมันเพื่อมองดูโลกได้

แต่ว่ารูปร่างที่เจ้าเงาแสดงออกมาก็ยังทำให้สวี่ชิงเห็นภาพนั้นได้อย่างชัดเจน

“เผ่าสิงซากสมุทรระดับสร้างฐานสามคน รุมโจมตีสร้างฐานของเจ็ดเนตรโลหิตหนึ่งคน…จากสัมผัสของเจ้าล้วนไม่ได้มีสภาวะแสงนภาอย่างนั้นหรือ” สวี่ชิงเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ

เงารีบร้อนพยักหน้า จากนั้นก็กระตือรือร้นอยากริอยากลองออกมา

“เจ้าสังเกตดีแน่แล้วหรือเจ้าเงา เจ้าต้องทำให้ความปลอดภัยของนายท่านอยู่ในระดับสูงสุดเหมือนที่ข้าทำด้วยนะ ห้ามประมาทโดยเด็ดขาด” ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

บรรพชนสำนักวัชระในเหล็กแหลมสีดำคว้าโอกาสนี้เอ่ยเสียงขรึม

ขณะเดียวกันในใจก็กระหยิ่มยิ้มย่อง แอบคิดว่าถ้าหากเกิดเรื่องไม่คาดคิด คำพูดนี้ของตนเองจะสามารถเพิ่มคะแนนจากจอมมารสวี่ได้เหมือนกัน ยกผลงานให้กับเจ้าเงา แต่ถ้าหากเจ้าเงาทำงานพลาด เช่นนั้นคำพูดของตนเองก็จะทำให้ตำแหน่งของตนเองในใจจอมมารสวี่สูงขึ้นด้วย

เจ้าเงาแผ่จิตสังหารออกมา พุ่งเป้าไปที่เหล็กแหลมสีดำ

สวี่ชิงไม่สนใจพวกเขา หลังจากครุ่นคิดร่างกายก็มุ่งหน้าเข้าประชิด

เขาตอนนี้เปิดช่องเวทไปแล้วยี่สิบแปดช่อง ถ้าหากสังหารอีกสักสามคน เช่นนั้นก็น่าจะสามารถเปิดช่องเวทที่สามสิบได้แน่นอนจากการคำนวณของสวี่ชิง

“ปล่อยไปไม่ได้!”

สวี่ชิงเก็บซ่อนพลังบำเพ็ญมาตลอดทาง ค่อยๆ สาวเท้าเข้าใกล้เบื้องหน้า คลื่นพลังตรงหน้าเวลานี้ยิ่งแจ่มชัดขึ้น เสียงครืนครันเองก็ถี่ยิ่งขึ้น

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง สวี่ชิงในที่สุดก็มองเห็นค่ายกลส่งข้าม

ที่นั่นเป็นพื้นที่ที่หญ้าทะเลขึ้นเต็มไปหมด แม้หญ้าทะเลต้นยาวจะปกคลุมค่ายกลไว้ แต่กลับปิดบังแสงส่งข้ามที่ค่อยๆ แผ่ออกมาจากบนค่ายกลไม่ได้

และตอนนี้มีผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรคนหนึ่งกำลังนั่งยองปรับสภาพค่ายกลอย่างรวดเร็วบนค่ายกล เหมือนกับว่ากำลังเตรียมส่งข้ามเผ่าสิงซากสมุทรเข้ามาอีก

เผ่าสิงซากสมุทรคนนี้ตอนที่มีชีวิตอยู่คือเผ่ามนุษย์ ตอนนี้นอกจากผิวหนังกับพิษศพที่แผ่ออกมาแล้ว รูปร่างนั้นแตกต่างจากคนเป็นอย่างมาก

ดูแล้วเหมือนเป็นพวกบัณฑิต สวมชุดนักพรตสีดำทั้งตัว คลื่นพลังบำเพ็ญบนตัวก็รุนแรงอย่างมาก

อีกด้านคือชายหนุ่มยอดเขาลำดับสามของเจ็ดเนตรโลหิตในชุดนักพรตสีเหลืองเข้มคนหนึ่ง คนที่เขาต่อสู้ด้วยคือเผ่าสิงซากสมุทรสร้างฐานที่กลิ่นอายอ่อนแอกว่าหน่อยอีกสองคน

ขณะเดียวกันรอบด้านยังมีการวางกับดักอื่นไว้อีก สวี่ชิงเพิ่งจะเข้าใกล้ ก็สัมผัสได้ว่าการเชื่อมต่อในป้ายฐานะของตนเองถูกตัดขาด ถูกปิดกั้น

สวี่ชิงไม่ใส่ใจ หันไปตรวจสอบสนามรบอย่างละเอียด

ชายหนุ่มชุดนักพรตสีเหลืองยอดเขาลำดับสามในสนามรบ สองมือสวมถุงมือสีดำบางๆ ไว้ ระหว่างที่โบกมือก็มีปราณดำแผ่ออกมา และเกิดเงาเลือนรางของสิ่งประหลาดหลายร่างขึ้นรอบด้าน

ขณะเดียวกันบนหน้าผากเขายังมีแผ่นหลังของสิ่งที่เหมือนภาพวาดอยู่ด้วย กำลังพยายามจะหันหลังมา

แต่เหมือนถูกจำกัดเอาไว้จึงไม่สามารถหันกลับมาได้

สวี่ชิงสัมผัสได้ว่าคู่ต่อสู้อย่างเผ่าสิงซากสมุทรสองคนเหมือนกับผู้บำเพ็ญสร้างฐานยอดเขาลำดับสามที่ยังไปไม่ถึงสภาวะแสงนภาไม่ผิดเพี้ยน แต่ก็น่าจะเปิดช่องเวทไปแล้วยี่สิบกว่าช่อง

ตอนนี้ลงมือควบคุมไอพลังประหลาดเพื่อโจมตีบวกกับกายเนื้อและพิษศพที่แข็งแกร่งของตนเอง อีกทั้งยังสองต่อหนึ่งทำให้ชายหนุ่มยอดเขาลำดับสามตกอยู่ในอันตรายหลายครั้ง

“ยอดเขาลำดับสามใช้วิชาเวทประหลาด!”

สวี่ชิงหรี่ตาลง มองไปยังแผ่นหลังบนหน้าผากของชายหนุ่มยอดเขาลำดับสาม นึกถึงการประเมินยอดเขาลำดับสามของสำนักขึ้นมา

และขณะเดียวกัน จังหวะที่เขามองไปยังคนเหล่านี้ พวกเขาเองก็สังเกตเห็นสวี่ชิงแล้วเช่นกัน

ชายหนุ่มยอดเขาลำดับสามลงมือฉับพลัน จัดการบีบเผ่าสิงซากสมุทรข้างๆ ทั้งสองคนให้ถอยไปเล็กน้อย จากนั้นคำรามเสียงต่ำมาทางสวี่ชิง

“เผ่าสิงซากสมุทรสะกดที่นี่จนส่งสื่อเสียงออกไปลำบาก เจ้ามาช่วยข้า จบเรื่องข้าจะมอบหินวิญญาณให้หนึ่งแสนก้อน!!”

ศิษย์ของเจ็ดเนตรโลหิตเมื่อพบกันในสถานการณ์แบบนี้ส่วนใหญ่ก็พูดเหมือนกันหมด ต่อให้เป็นสำนักเดียวกันก็ไม่แน่ว่าจะต้องเข้าไปช่วยเหลือเปล่าๆ ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

พริบตาที่ชายหนุ่มยอดเขาลำดับสามพูดออกมา บัณฑิตชุดคลุมดำเผ่าสิงซากสมุทรชุดดำที่กำลังจัดการค่ายกลอยู่ข้างๆ คนนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมา โยกตัวจนเกิดเสียงครืนครัน พุ่งเข้าหาสวี่ชิง

ขณะที่กำลังจะมาถึงตัว สองมือเขาก็ทำปาง พลังรอบด้านที่สามารถทำให้ป้ายฐานะถูกตัดขาดการเชื่อมต่อก็แผ่ซ่านออกมาฉับพลัน ทำให้สวี่ชิงที่เดิมทีอยู่นอกอาณาเขตเข้ามาอยู่ด้านใน

เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้ศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตตรงหน้าอยากจะหนีก็หนีไม่ทันแล้วจากการพิจารณาของเขา

ในเมื่อมาพบกันที่นี่ เช่นนั้นเขาก็ตัดสินใจจะสังหารทิ้งเสียที่นี่

และเขาก็มีความมั่นใจใจในตนเองเพียงพอ แม้ตนเองจะยังไม่เปิดสภาวะแสงนภา แต่เขาก็มาถึงยี่สิบเก้าช่องเวทแล้ว

นอกจากนี้กายเนื้อกับความสามารถการฟื้นฟูของเผ่าสิงซากสมุทร เมื่อรวมกับก้นทะเลที่เต็มไปด้วยไอพลังประหลาด เขาก็มีความมั่นใจที่จะสังหารระดับเดียวกันส่วนใหญ่ลงได้ ไม่ต้องพูดถึงเผ่ามนุษย์ระดับสร้างฐานเลย

เผ่ามนุษย์สร้างฐานที่เขาสังหารไปก็มีอยู่ไม่ใช่น้อย

เวลานี้ช่องเวทในร่างกายเขาเปิดออก ส่งเสียงครืนครันอย่างรวดเร็ว แต่พริบตาต่อมาในดวงตาเขาก็เผยความรู้สึกเกินคาด เพราะว่า…ผู้บำเพ็ญเจ็ดเนตรโลหิตตรงหน้าคนนั้น ไม่ได้ถอยหนีแบบที่เขาคิดเอาไว้ แต่กลับพุ่งเข้ามาหาเขาฉับพลันทางนี้

“นี่คิดว่าพลังต่อสู้พลังบำเพ็ญของตนเองเพียงพอแล้วหรือ ถึงได้พุ่งเข้าหาไม่ถอยหนี นี่ไม่สอดคล้องกับวิธีการของยอดเขาลำดับเจ็ดแห่งเจ็ดเนตรโลหิตเอาเสียเลย

“เช่นนั้นก็มาดูว่าพลังของเจ้ากับกายเนื้อของข้าใครจะแกร่งกว่ากัน!” ผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรคนนี้เอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา ไม่ลดความเร็วลงเลยแม้แต่น้อย เหมือนจะใช้กายเนื้อกระแทกกายเนื้อของสวี่ชิงให้แตกสลาย

ในพริบตา พวกเขาสองคนก็ต่างเข้าใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความเร็วของตนเอง

“ชุดสีม่วง นี่เป็นคนจากยอดเขาลำดับเจ็ด ยอดเขาลำดับเจ็ดไม่ควรจะมีพวกโง่สิ…” ชายหนุ่มยอดเขาลำดับสามที่ถูกรุมโจมตีคนนั้น คิดจะถือโอกาสปลีกตัวตอนนี้ แต่ก็ยังทำไม่ได้ จึงทำได้เพียงฝืนป้องกันตัวเองไปก่อน

และพริบตาต่อมา ชายหนุ่มยอดเขาลำดับสามก็ม่านตาหดลงฉับพลัน

ไม่ไกลออกไปนัก ตอนที่ผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรกับสวี่ชิงที่กำลังเข้าใกล้อย่างรวดเร็วนั้นอยู่ห่างเพียงสิบจั้ง ก็ใช้วิชาพร้อมกันทำให้ความเร็วระเบิดขึ้นในพริบตา

สิ่งที่สวี่ชิงใช้คือขนนก ส่วนผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรที่เหมือนบัณฑิตชุดคลุมดำใช้พัดกระดาษสีดำ พวกเขาล้วงอาวุธเวทออกมาในพริบตา เพิ่มความเร็วฉับพลัน แต่ทิศทางกลับแตกต่างกัน

จังหวะที่สวี่ชิงใช้ขนนกมาเสริมพลังก็เปลี่ยนทิศทางกะทันหัน เป้าหมายไม่ใช่ตัวบัณฑิตชุดคลุมดำ แต่เป็นเผ่าสิงซากสมุทรสองคนนั้นที่รุมโจมตีชายหนุ่มยอดเขาลำดับสาม

สังหารคนอ่อนแอเสียก่อน เป็นกลยุทธ์ที่สวี่ชิงใช้มาโดยตลอด

ปกติเขาใช้วิธีนี้ก็ราบรื่นมาโดยตลอด ครั้งนี้มีอาวุธเวทขนนกเพิ่มเข้ามาด้วยทำให้ความเร็วของตนเองเร็วขึ้นไปอีก แต่ตอนที่สวี่ชิงเปลี่ยนทิศทางกะทันหัน พริบตาที่เขาพุ่งไปทางชายหนุ่มยอดเขาลำดับสาม บัณฑิตชุดคลุมดำเผ่าสิงซากสมุทรคนนั้น ก็เปลี่ยนแปลงทิศทางขึ้นเช่นกัน เป้าหมายไม่ใช่สวี่ชิง แต่เป็น…ชายหนุ่มยอดเขาลำดับสามคนนั้น!

เห็นได้ชัดว่าที่ก่อนหน้านี้เขาพูดเรื่องปะทะกันด้วยกายเนื้อกับพลังต่อสู้ล้วนเป็นการจงใจ เพื่อปิดบังเป้าหมายที่แท้จริง

ดังนั้นพวกเขาทั้งสองคนจึงกลายเป็นสายรุ้งยาว ไปปรากฏตัวที่จุดปะทะของชายหนุ่มยอดเขาลำดับสามและผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรชั่วจังหวะสะเก็ดไฟ

เสียงครืนครันระเบิดขึ้น

ชายหนุ่มยอดเขาลำดับสามกระอักเลือดสดออกมากองใหญ่ ร่างกายถอยหลังทันควัน จู่ๆ บนคอของเขาก็ปรากฏรอยสีดำขึ้นในช่วงวิกฤต

เป็นดอกบัวดอกหนึ่งลอยเป็นภาพมายาอยู่เหนือศีรษะ คลี่คลายการโจมตีถึงชีวิตที่มาจากบัณฑิตชุดคลุมดำให้เขา

อีกด้านหนึ่ง สวี่ชิงเองก็เข้ามาใกล้แล้ว ไฟพิฆาตสีดำระเบิดทั่วร่าง เหล็กแหลมสีดำคมกริบน่าตกตะลึงส่งเสียงหวีดหวิวลงมือแทบจะพร้อมกับสวี่ชิง

เพียงพริบตาเผ่าสิงซากสมุทรสองคนที่ต่อสู้กับชายหนุ่มยอดเขาลำดับสาม คนหนึ่งหน้าผากถูกแทงทะลุ อีกคนหนึ่งถูกกริบปาดเข้าไปที่ลำคอ!

คนที่หน้าผากถูกแทงทะลุ ร้องโหยหวนถอยหลังไปฉับพลัน สองมือประสานปางจนเกิดเป็นรูปปั้นหกแขนขนาดยักษ์เบื้องหน้า คำรามเสียงทุ้มไปทั่วสารทิศ เข้าสกัดเหล็กแหลมสีดำที่โจมตีมาอีกครั้ง

แต่เผ่าสิงซากสมุทรที่สวี่ชิงใช้กริชปาดคอคนนั้น ไม่เหลือโชคแล้ว

กริชสีดำกลายเป็นเปลวเพลิงปกคลุมเขาในพริบตา ขณะเดียวกันมือซ้ายสวี่ชิงก็กำหมัดซัดเข้าใส่หน้าอกของอีกฝ่ายจังๆ ทะลวงเลือดเนื้อจนเข้าไปถึงหัวใจ ช่องเวทยี่สิบแปดช่องทั่วร่างเปิดออก ไฟพิฆาตสีดำก็ทะลักเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง!

พริบตาต่อมา ผู้บำเพ็ญสิงซากสมุทรคนนี้ก็กลายเป็นมนุษย์เพลิง ขณะที่ส่งเสียงโหยหวนแหลมออกมา เงาของสวี่ชิงก็ถือโอกาสนี้แผ่ออกและสูดอย่างรุนแรง

ฉับพลันครึ่งตัวของผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรคนนี้ก็แห้งเหี่ยว เพิ่มความเร็วให้กับการแผดเผาของเปลวเพลิง เสียงร้องโหยหวนเองก็หยุดลงฉับพลัน ดับดิ้นวิญญาณสลาย

ส่วนบนตัวเจ้าเงาก็มีกลิ่นอายเผ่าสิงซากสมุทรเข้มข้นขึ้น แต่เพียงไม่นานก็ถูกมันสะกดลงไป

ทั้งหมดนี้พูดแล้วเหมือนยาวนาน แต่อันที่จริงเกิดขึ้นในชั่วอึดใจเท่านั้น

หลังจากสังหารไปคนหนึ่ง สวี่ชิงก็หันหน้าไปทางบัณฑิตชุดคลุมดำเผ่าสิงซากสมุทรคนนั้น รู้สึกประหลาดใจที่อีกฝ่ายเหมือนกับตนเอง

และบัณฑิตชุดคลุมดำนั้นก็เผยสีหน้าเคร่งขรึมเป็นครั้งแรกเช่นกัน ไม่สนใจกับชายหนุ่มยอดเขาลำดับสามที่กำลังหนีตาย แต่จ้องเขม็งมาที่สวี่ชิง

ขณะเดียวกัน ค่ายกลส่งข้ามที่ห่างออกไปเวลานี้ก็แผ่คลื่นพลังออกมา ระหว่างที่เปล่งแสงก็มีกลิ่นอายแผ่กำจายออกมาเหมือนกำลังทำการส่งข้าม

เพียงแต่กลิ่นอายนี้ไม่แข็งแกร่งนัก ดูอ่อนแอมาก เหมือนเป็นแค่ส่งข้ามมาเพียงวูบเดียว ใช้ตรวจสอบรอบด้าน

แต่พริบตาต่อมา หลังจากที่กลิ่นหายนี้แผ่ออกมาก็ไม่รู้ว่าใช้วิธีการใดตรวจสอบจนพบตัวสวี่ชิง ฉับพลัน คลื่นของค่ายกลก็รุนแรงขึ้นมากะทันหัน มีเสียงคำรามที่เหมือนถูกคั่นด้วยความว่างเปล่าเสียงหนึ่งดังลอดออกมาจากค่ายกล

“เจ้านี่เอง รอข้าออกไปเสียก่อน ข้าจะสังหารเจ้าให้ตายเสีย!”

คลื่นพลังสภาวะแสงนภาวูบหนึ่งก็แผ่ออกมาบนค่ายกลจากเสียงคำรามต่ำสะท้อนก้อง อีกฝ่าย…ก็คือผู้บำเพ็ญสภาวะแสงนภาเผ่าสิงซากสมุทรที่เคยถูกสวี่ชิงสัมผัสได้และทำลายค่ายกลลงหลายต่อหลายครั้งจนไม่สามารถส่งข้ามมาได้เสียทีคนนั้น

เวลานี้ หลังจากที่สังเกตได้ถึงกลิ่นอายของสวี่ชิง โทสะของเขาก็เพิ่มพูนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด และกำลังส่งข้ามมา!