บทที่ 157 สภาวะแสงนภาของสวี่ชิง!

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 157 สภาวะแสงนภาของสวี่ชิง!

เมื่อได้ยินเสียงคำรามของเผ่าสิงซากสมุทรสร้างฐานในสภาวะแสงนภานี้ บัณฑิตชุดคลุมดำครุ่นคิด และชายหนุ่มยอดเขาลำดับสามก็จิตวิญญาณสั่นสะเทือน มีความคิดที่จะหนีขึ้นมา

สวี่ชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่มีปฏิกิริยาใดตอบโต้ แต่จัดการสูดรับเอาวิญญาณเผ่าสิงซากสมุทรที่เพิ่งสังหารไปเมื่อครู่ถ่ายลงไปยังช่องเวทที่ยี่สิบเก้าในตอนนี้

ขณะเดียวกันร่างเขาก็ไหววูบ พุ่งตรงไปยังเผ่าสิงซากสมุทรคนนั้นที่ถูกเหล็กแหลมสีดำทำร้ายที่กำลังถอยหนีอยู่ตอนนี้ ปากก็เอ่ยคำพูดแรกในศึกนี้ออกมา

“ถ้าเจ้าไม่อยากตายที่นี่ จงไปสกัดคนชุดคลุมดำนั่นไว้เสีย!”

พูดจบ สวี่ชิงก็ไม่หันไปมองเผ่าสิงซากสมุทรปัญญาชนคนนั้นเลย แต่พุ่งไปยังเผ่าสิงซากสมุทรอีกคนแทน

เขาเข้าใจสถานการณ์ต่อสู้เวลานี้เป็นอย่างดี ไม่ว่าตนเองจะทำลายค่ายกลหรือว่าสังหารบัณฑิตชุดคลุมดำคนนั้นก็ช้าเกินไปทั้งสิ้น อย่างแรกอาจถูกขัดขวาง ส่วนอย่างหลังก็สิ้นเปลืองเวลาเกินไป

อีกฝ่ายไม่ใช่คนอ่อนแอ ยิ่งไปกว่านั้นความคิดความอ่านยังดูลึกซึ้งอีกด้วย คู่ต่อสู้เช่นนี้สวี่ชิงไม่อยากจะพบในสถานการณ์ปัจจุบันเลย เขาอยากจะเจอกับอีกฝ่ายหลังเปิดสภาวะแสงนภาได้แล้วมากกว่า

ดังนั้น ตัวเลือกที่ดีที่สุดเบื้องหน้าเขาก็คือให้ผู้บำเพ็ญยอดเขาลำดับสามเข้าไปขวางบัณฑิตชุดคลุมดำไว้ แล้วตนเองก็สังหารเผ่าสิงซากสมุทรคนที่สองให้ไวที่สุด จัดการดูดกลืนวิญญาณเขา เปิดช่องเวทที่สามสิบ สำเร็จไฟชีวิต

สวี่ชิงเริ่มสะสมประสบการณ์ต่อสู้มากมายมาตั้งแต่เล็กในถ้ำยาจก จนถึงตอนนี้สังหารคนกับต่อสู้ไปไม่รู้เท่าไร มีสัมผัสและการตัดสินใจที่เฉียบคมมานานมากแล้ว

เวลานี้เขารวดเร็วขีดสุด เข้าประชิดเผ่าสิงซากสมุทรคนที่สอง

ผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรคนนี้ตอนมีชีวิตเป็นต่างเผ่า จมูกยาวเหมือนงวงช้าง คล้ายผู้บำเพ็ญที่สวี่ชิงเคยเจอบนเกาะกิ้งก่าทะเล ตอนที่สวี่ชิงเข้าใกล้ไม่มีชะงักแม้แต่น้อย ลงมือทันที

เสียงครืนครันสะท้อนก้องทันควัน

บัณฑิตชุดคลุมดำคนนั้นหน้าเปลี่ยนสีในขณะเดียวกัน ทำการชั่งน้ำหนักในใจอย่างรวดเร็ว เขาไม่ค่อยเข้าใจวิธีการของสวี่ชิงนัก สิ่งเดียวที่เขาเดาได้ก็คืออีกฝ่ายใกล้จะเปิดสภาวะแสงนภาแล้ว

ทั้งๆ ที่กำลังวิกฤตแต่ไม่ถอยหนี กลับยังพุ่งไปโจมตีสังหารเผ่าสิงซากสมุทรอีกคนหนึ่ง

แต่สิ่งที่เขาไม่เข้าใจก็คือ ต่อให้อีกฝ่ายเปิดสภาวะแสงนภา แต่พอเทียบกับสร้างฐานเก่าแก่อย่างนายท่านอวิ๋นเฉินที่กำลังจะมาถึงแล้ว ก็ยังห่างชั้นอยู่

ถึงอย่างไรช่วงเวลาของสภาวะแสงนภาก็ตัดสินจากจำนวนช่องเวท

แต่เวลานี้เขาก็ไม่มีเวลามาคิดเยอะ เอาเป็นว่าเรื่องที่อีกฝ่ายจะทำ ตนเองเข้าไปขวางไว้ก็พอ ดังนั้นจึงจะพุ่งตัวออกไป

เป็นไปได้ว่าฝึกบำเพ็ญมาจนถึงระดับสร้างฐานได้ คงไม่มีใครโง่หรอก บัณฑิตชุดคลุมดำไม่โง่ สวี่ชิงไม่โง่ ชายหนุ่มยอดเขาลำดับสามเองก็ไม่โง่เช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาแค่ปฏิกิริยาช้าไปหน่อยเท่านั้น

แม้เขาจะไม่เข้าใจคำพูดของสวี่ชิงเวลานี้ แต่ก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าตนเองไม่มีทางจะเข้าไปขวางเผ่าสิงซากสมุทรชุดคลุมดำที่แข็งแกร่งได้อย่างแน่นอน

ส่วนเรื่องจะหนี เขาก็ใช่ว่าจะไม่เคยพิจารณามาก่อน

ขอแค่เผ่าสิงซากสมุทรสร้างฐานในสภาวะแสงนภานั้นส่งข้ามมาสำเร็จ ต่อให้ตนเองหนีออกจากพื้นที่นี้เพื่อส่งสื่อเสียงของความช่วยเหลือได้ก็ไม่ทันอยู่ดี

เขารู้ถึงความน่ากลัวของสภาวะแสงนภา

เวลานี้ไม่ทำอะไรเลยแล้วหนีไปเลยทันที โอกาสตายมีมากกว่า

ถ้าหากสู้ตายสักรอบ บางทีอาจจะมีโอกาสรอดอยู่บ้าง

หลังจากความคิดนี้วนเวียนอย่างรวดเร็วในหัว สายตาเขาก็ปรากฏแววเด็ดขาด

เห็นได้ชัดว่าว่าเขาตระหนักได้แล้ว เวลานี้คิดจะรักษาชีวิตเอาไว้มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น

เขาจึงกัดฟันสองมือประกบปางมือ กดลงไปบนหว่างคิ้วอย่างแรง ใช้วิชาลับที่เป็นของยอดเขาลำดับสามโดยเฉพาะ

ทันใดนั้นร่างเงาบนหว่างคิ้วเขาก็หันกลับมา เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวคนหนึ่ง

ใบหน้านี้ขาวซีด เลือดไหลจากทวารทั้งเจ็ดดูสยดสยอง นางคือสิ่งประหลาดนั่นเอง และทำท่าเหมือนจะเดินออกมาจากหว่างคิ้วของผู้บำเพ็ญยอดเขาลำดับสามในทันทีด้วย

ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ท้ายสุดก็ลอยแยกออกมาจากร่างกายของเขา

พอเงาสิ่งประหลาดนี้ออกมาก็พุ่งตรงไปเบื้องหน้า ทิศที่ตรงไปไม่ใช่ทางบัณฑิตชุดคลุมดำ แต่มุ่งตรงไปยังค่ายกลที่กำลังแผ่คลื่นเจิดจ้าเพื่อทำลายมันทิ้งเสีย

ชายหนุ่มยอดเขาลำดับสามคิดจะให้สิ่งประหลาดไปทำลายค่ายกลนี้ทิ้งจริงๆ

เมื่อเป็นเช่นนั้นก็สามารถปลดเปลื้องวิกฤตทั้งหมดลงได้

และสิ่งเดียวที่จะมาขวางการทำลายได้ก็คือบัณฑิตชุดคลุมดำที่จะเข้ามาสกัด และนี่ก็ถือว่าบรรลุข้อเรียกร้องของผู้บำเพ็ญจากยอดเขาลำดับเจ็ดด้วย

ทำเช่นนี้ ทั้งเลี่ยงความเป็นไปได้ที่ผู้บำเพ็ญยอดเขาลำดับเจ็ดคิดจะทำร้ายตนเอง และตนเองก็ยังสำเร็จข้อเรียกร้องการร่วมมือของอีกฝ่ายได้ด้วย ขณะเดียวกันก็มีโอกาสที่บัณฑิตชุดคลุมดำจะไม่มาไล่โจมตีตนเอง แต่จะเข้าไปปกป้องค่ายกลแทน

เช่นนี้ตนเองก็สามารถเอาตัวรอดอย่างราบรื่นได้แล้ว

จนในที่สุดหลังจากที่ค่ายกลเปิดออก เพื่อนร่วมสำนักยอดเขาลำดับเจ็ดจะกลายเป็นเป้าหมายแรก ตนเองก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสหลบหนี

“ต้องเดิมพันแล้ว!” ชายหนุ่มยอดเขาลำดับสามกัดฟัน พุ่งออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่หันหลังกลับ ความเร็วของเขาเร็วมากจนแผดเผาช่องเวทของตนเองออกอย่างไม่เสียดาย จากไปในทันที

สนามรบมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ความเร็วในการคิดวิเคราะห์มักจะเป็นตัวตัดสินทุกสิ่งในขณะที่พลังบำเพ็ญไม่แตกต่างกันมากนัก ตอนที่ชายหนุ่มยอดเขาลำดับสามหลบหนี สิ่งประหลาดที่เขาปล่อยออกมาพุ่งตรงไปยังค่ายกลเพื่อทำลายมัน ปัญญาชนเผ่าสิงซากสมุทรก็หน้าเปลี่ยนสี เกิดความรู้สึกพะวักหน้าพะวงหลังขึ้นมา

สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาแล้วแน่นอนว่าเป็นการที่นายท่านอวิ๋นเฉินส่งข้ามมาได้สำเร็จ ดังนั้นจึงทิ้งสวี่ชิงและปล่อยชายหนุ่มยอดเขาลำดับสาม พุ่งตรงไปยังค่ายกลแทน

พริบตาที่เข้าใกล้ก็เข้าสกัดขวางสิ่งประหลาดสุดกำลัง เสียงครืนครันกึกก้อง

สวี่ชิงไม่รู้สึกเกินคาดกับตัวเลือกเช่นนี้ของชายหนุ่มยอดเขาลำดับสาม เขาพุ่งไปยังเผ่าสิงซากสมุทรที่กำลังหน้าถอดสีอย่างสุดกำลังเวลานี้ ยอมให้อีกฝ่ายดิ้นรนกระเสือกกระสน จะควบคุมรูปปั้นสะกดอย่างไรก็ล้วนไม่เกิดผลใดทั้งสิ้น

พริบตาต่อมา เหล็กแหลมสีดำก็หวีดหวิวพุ่งแทงไปยังรูปปั้น สูดรับอย่างบ้าคลั่ง

บรรพชนสำนักวัชระรู้ว่าเวลานี้มีคนนอกอยู่จึงไม่ปรากฏตัว แต่พอสูดรับขึ้นมาก็ไม่อ่อนข้อให้เลย

และเขารู้ว่าจำเป็นต้องควบคุมไว้ ไม่เช่นนั้นจะส่งผลกระทบไปถึงหินวิญญาณของจอมมารสวี่ แล้วตนเองต้องมาลำบากอีก

ดังนั้นระหว่างที่แทงทะลวงทั้งบนล่างของรูปปั้นนั้น หลังจากกลืนกินไปเจ็ดส่วน เขาก็ฝืนทิ้งความละโมบของตนเองไป

และเจ้าเงาเองก็เป็นเช่นนี้ ถือโอกาสที่ไม่มีใครสังเกตก็โถมออกไปอย่างบ้าคลั่ง กอดขาของผู้บำเพ็ญสิงซากสมุทรแล้วดูดซับฉับพลัน

ผู้บำเพ็ญสิงซากสมุทรกรีดร้องโหยหวน ขาขวาทั้งข้างกลายเป็นฝุ่นในพริบตา ความหวาดกลัวที่ปรากฏขึ้นในดวงตาเขาอย่างแรงกล้า คิดจะถอยหนีแต่ก็ทำไม่ได้แล้ว กริชของสวี่ชิงกรีดที่ตัวเขาอย่างรวดเร็ว

ในช่วงวิกฤต ผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรนี้เองก็เป็นคนเหี้ยมหาญ ความหวาดกลัวในดวงตาถูกความบ้าคลั่งเข้ามาแทนที่ ระเบิดช่องเวทในร่างกายไปครึ่งหนึ่ง

เสียงครืนครันระเบิดขึ้นในพริบตา อาศัยการระเบิดของช่องเวทครึ่งหนึ่งแลกพลังที่น่าตกตะลึง ผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรคนนี้ก็สะบัดเจ้าเงาออก หลบเลี่ยงเหล็กแหลมสีดำ และก็หลบเลี่ยงจากกริชของสวี่ชิงด้วย ถอยอย่างรวดเร็วไปด้านหลัง

คิดจะหนี

ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มยอดเขาลำดับสามก็ออกไปจากอาณาเขตผืนนี้ ไม่เห็นแม้เงา และสิ่งประหลาดที่เขาทิ้งไว้ก็ค่อยๆ เลือนรางจากระยะที่ห่างกัน สุดท้ายจึงสลายไปจากการลงมือของบัณฑิตชุดคลุมดำ

จัดการสิ่งประหลาดแล้ว บัณฑิตชุดคลุมดำก็หันมามองทางสวี่ชิง สังเกตเห็นว่าสวี่ชิงกำลังไล่ตามเพื่อนตน จึงโยกตัวคิดจะพุ่งไป

แต่พริบตานี้เอง เผ่าสิงซากสมุทรที่กำลังหลบหนีอยู่ด้านหน้าสวี่ชิงคนนั้นร่างสั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง ในกายบิดม้วน กระอักเลือดสดสีดำออกมาคำใหญ่

เลือดของเผ่าสิงซากสมุทรคือสีน้ำเงิน

แต่ที่เขากระอักออกมาเป็นสีดำ

นั่นเป็นเพราะพิษ!

พิษนี้ไม่ใช่สวี่ชิงสาดออกมา แต่เป็นสิ่งที่เคลือบไว้บนเหล็กแหลมสีดำก่อนหน้านี้ตามที่บรรพชนสำนักวัชระเคยร้องขอ เมื่อครู่ที่เหล็กแหลมสีดำแทงทะลุหว่างคิ้วของเผ่าสิงซากสมุทรคนนี้ พิษก็แพร่กระจายแล้วแต่ก็ต้องใช้เวลาในการแสดงผล

ดังนั้นตอนนี้ที่เผ่าสิงซากสมุทรพังช่องเวทไปครึ่งหนึ่ง หลังจากอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัดจึงกำเริบขึ้นมาฉับพลัน

และพริบตาที่พิษกำเริบ กริชที่ก่อตัวขึ้นจากเพลิงดำหลายสายก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ขณะที่หลั่งไหลก็แทงไปบนตัวของผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรคนนี้ตรงๆ

ทั้งหมดหกเล่ม หนึ่งเล่มที่คอ หนึ่งเล่มที่หัวใจ หนึ่งเล่มที่หว่างคิ้ว สามเล่มที่แขนขา!

เสียงฉึกๆ ดังก้อง ร่างกายเผ่าสิงซากสมุทรคนนี้ถูกพลังของกริชหกเล่มปักตรึงไว้ เจ้าเงากับเหล็กแหลมสีดำ ก็เหินมาถึงอย่างรวดเร็ว

เหล็กแหลมสีดำแทงทะลวงไปหลายครั้ง เจ้าเงาเองก็พุ่งไปยังขาอีกข้างหนึ่ง

กริชบนตัวเขากลายเป็นเปลวเพลิงสีดำครอบคลุมทั้งตัวอย่างรวดเร็วท่ามกลางเสียงร้องแหลม สวี่ชิงไม่ได้สนใจกับบัณฑิตชุดคลุมดำที่ใกล้เข้ามาเลย เวลานี้ก้าวตรงไปอยู่เบื้องหน้าเผ่าสิงซากสมุทรที่บาดเจ็บหนัก ยกมือขวาขึ้นกดลงไปบนปากของเผ่าสิงซากสมุทรอย่างแข่งกับเวลา

จัดการถ่ายไฟพิฆาตลงไปขณะที่อุดเสียงกรีดร้องของเขา พอสูดลงไป วิญญาณของผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรนี้ก็ไหลเข้าสู่ร่างกายตามมือของสวี่ชิงกลายมาเป็นเชื้อฟืน ในขณะที่สวี่ชิงกำลังตื่นเต้นและเฝ้ารอ ก็แผดเผาอย่างรุนแรงไปทางช่องเวทที่สามสิบ…

พุ่งออกไปฉับพลัน!

ตูม!

สวี่ชิงสั่นสะท้านทั้งร่าง ช่องเวทที่สามสิบเปิดออกในพริบตา!

ช่องเวททั้งสามสิบในร่างกายเขาก็เชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกันทันทีจากการเปิดออก

พลังเวทที่แผ่ออกกลายเป็นสายเปลวเพลิงไปรวมตัวที่จุดตันเถียนของสวี่ชิง

เปลวเพลิงสามสิบเส้น รวมตัวกันจนกลายเป็นกลุ่มก้อนหนึ่งอย่างรวดเร็ว

ก่อตัวขึ้นต่อเนื่อง จุดเผาอย่างต่อเนื่อง ส่องสว่างอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่ง…

เสียงวูมดังขึ้น ไฟชีวิตดวงที่หนึ่งที่เป็นตัวแทนผู้บำเพ็ญสร้างฐานที่แท้จริงก่อตัวขึ้นแล้ว!

ไฟชีวิตนี้โชติช่วงมาก แสงไฟที่แผ่ออกมาสุกสว่างไร้เทียมทาน พริบตาที่ก่อตัวขึ้น ทะเลวิญญาณทั้งหมดในช่องเวททั้งสามสิบของสวี่ชิงก็โถมคลื่นยักษ์ขึ้นฟ้า

คลื่นพลังที่น่าตกตะลึงวูบหนึ่งหลั่งทะลักอย่างบ้าคลั่ง ไฟชีวิตจุดสว่างอย่างแรงกล้าขึ้นมาในวินาทีนี้

แสงไฟเจิดจ้าแยงตายิ่งกว่า!

ส่องสว่างสามสิบช่องเวทนี้จนสุกใส และยังส่องสะท้อนวังสวรรค์ที่เลือนรางในร่างกายออกมาอีกด้วย

ขณะเดียวกัน กลิ่นอายที่แข็งแกร่งวูบหนึ่งระเบิดขึ้นฉับพลันจากตัวของสวี่ชิง

วินาทีนี้ โลกในสายตาของสวี่ชิงก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว!

ทั้งหมดรอบด้านล้วนเปลี่ยนแปลงไปจนหมดสิ้นในพริบตานี้

สรรพสิ่งทั้งหมดเชื่องช้าลง

น้ำทะเลก็เช่นกัน การพังทลายรอบด้านก็เช่นกัน บัณฑิตชุดคลุมดำที่ห่างออกไปก็เป็นเช่นเดียวกัน

อีกฝ่ายยังคงรักษาท่าทางเข้าประชิด เพียงแต่ท่าทางกลายเป็นเชื่องช้าลงอย่างมากในสายตาสวี่ชิง

ช้าขนาดที่ทำให้สวี่ชิงรู้สึกไม่ค่อยสบายตาเลยทีเดียว กระทั่งเขายังมองเห็นฝุ่นนับไม่ถ้วนเบื้องหน้า

ฝุ่นเหล่านี้ก่อรูปร่างขึ้นในสายตาเขา และเหมือนจะขยายออกไปอย่างไร้ขีดจำกัดตามความคิดอีกด้วย

สังเกตรายละเอียด!

ไม่เพียงเท่านี้ จากไฟชีวิตที่เผาไหม้ในร่างกาย พลังน่ากลัวที่ขนาดสวี่ชิงสัมผัสแล้วยังต้องสะพรึงวูบหนึ่งปะทุตามเปลวไฟขึ้นมาแผ่ซ่านไปทั้งตัว!

วิชาเวทของเขาถูกเสริมความแข็งแกร่งอย่างชัดเจน กายเนื้อของเขาเหมือนถูกยกระดับชั้นขึ้น วิญญาณของเขาเหมือนสวมชุดเกราะเอาไว้ ทั้งหมดในทั้งหมดของเขาแตกต่างจากเดิมไปอย่างสิ้นเชิง…ในวินาทีนี้

ก่อนหน้า สวี่ชิงรู้ว่าสำเร็จไฟชีวิตกับไม่สำเร็จไฟชีวิตนั้นแตกต่างกัน ปัจจุบันเมื่อเข้าสู่สภาวะนี้ด้วยตนเอง เขาก็เข้าใจเลยว่าดูถูกความห่างชั้นของทั้งสองอย่างไป

พวกมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!

ราวกับเป็นการฝึกบำเพ็ญคนละขั้นกันเลย!

หลังจากเปิดสภาวะแสงนภาแล้ว ช่องเวททั้งสามสิบของเขาก็เหมือนกลายเป็นเตาสามสิบเตา กำลังทำการใช้งานอย่างบ้าคลั่ง

และการสิ้นเปลืองมหาศาลเช่นนี้ก็รวมออกมาเป็นไฟชีวิต ความสว่างแสงของมัน ความแข็งแกร่งของพลัง ทำให้สวี่ชิงเวลานี้ราวกับร่างกายเปิดเตาหลอมขนาดใหญ่ขึ้นมา!

บรรพชนสำนักวัชระในเหล็กแหลมสีดำข้างๆ สั่นเทิ้ม ดวงตาเผยความอิจฉาและปรารถนาอย่างแรงกล้า และเจ้าเงาก็สั่นเทาขึ้นเช่นกัน ราวกับว่าแสงสว่างบนตัวสวี่ชิงเวลานี้ทำมันรู้สึกอยู่ไม่สุข

แต่…การยกระดับของสวี่ชิง ยังไม่จบ

พริบตาที่ทุกสิ่งอย่างรอบๆ ในดวงตาเขาเชื่องช้าลง พริบตาที่ค่ายกลส่งข้ามที่ห่างออกไปกำลังจะเปิด สวี่ชิงก้มหน้าลง ย้ายไฟชีวิตดวงนี้ไปบน…ไส้ตะเกียงของตะเกียงแห่งชีวิต!

พริบตาต่อมา ใต้ทะเลก็ส่งเสียงครืนครัน น้ำทะเลรอบตัวสวี่ชิงระเบิดไปทั่วทั้งสารทิศอย่างบ้าคลั่ง กลิ่นอายที่ทำให้คนต้องหน้าถอดสี ระเบิดโถมฟ้าขึ้นในร่างกายสวี่ชิงชั่วพริบตานี้!

ตะเกียงแห่งชีวิตจุดสว่าง!

พลังที่น่ากลัวกว่าไฟชีวิตดวงหนึ่ง ระเบิดออกมาบนตะเกียงแห่งชีวิตฉับพลัน พัดกวาดอย่างบ้าคลั่งไปยังชีพจร เลือดเนื้อทั้งร่างของสวี่ชิง

ทุกจุดที่แล่นผ่าน กระโจนขึ้นราวกับมีชีวิต!

ร่างกายสวี่ชิงสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ในร่างกายมีอัสนีสวรรค์ระเบิด เสียงครืนครันโถมฟ้า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เตาไฟอีกแล้ว แต่เป็นเหมือนภูเขาไฟที่กำลังระเบิดลูกหนึ่ง!!

ความแข็งแกร่งของพลังสยบได้ทุกสรรพสิ่ง ทำให้ทุกตัวที่ในสถานที่นี้ตกตะลึงพรั่นพรึง!

ขณะเดียวกัน พริบตาที่กลิ่นอายของสวี่ชิงสะเทือนฟ้าสะเทือนดินในที่นี้ ค่ายกลส่งข้ามที่ห่างออกไปก็ทำงาน

ผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรระดับสร้างฐานในสภาวะแสงนภา ก็ส่งเสียงหัวเราะเหี้ยมกรียม การส่งข้ามของเขาไม่ถูกขัดขวางอีกแล้ว ร่างกายก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

“เจ้าเด็กน้อยเผ่ามนุษย์ ครั้งนี้เจ้าขวางการจุติของข้าไม่ได้แล้ว เจ้าตายแน่…หือ”