ตอนที่ 133 ช่างกล้าคิด

เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล

หวังซีเบ้ปากอยู่ในใจ

ฉังเคอเห็นแล้วได้แต่หัวเราะ กระซิบกล่าวกับนางว่า “ที่ตำหนักฉือหนิงมีอุทยานหลวงแห่งหนึ่ง เล็กกว่าที่นี่แต่สวยกว่าที่นี่”

ต่อให้สวยกว่านี้ ก็คงมีหน้าตาไม่ต่างไปจากนี้

เนื่องจากอยู่ในวังหลวง หากสิ่งที่พูดออกไปถูกคนมีเจตนาร้ายเอาไปใช้ประโยชน์ เป็นเหตุให้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นคงไม่ดีแน่

หวังซีพยักหน้า ทันใดนั้นมีเสียงของคุณหนูรองอู๋ดังเข้ามาให้ได้ยิน “ทิวทัศน์ของที่นี่ธรรมดาสามัญจริงๆ หากอยากไปต้องไปตำหนักวนที่อยู่ทางทิศเหนือ สวนของที่นั่นกว้างใหญ่กว่า มองแล้วช่วยให้อารมณ์เบิกบานขึ้นมาก เปรียบเทียบกับความประณีตสละสลวยของเจียงหนานแล้ว ดูมีชีวิตชีวาและกว้างขวางกว่า สวนของเจียงหนานก็เทียบไม่ได้”

“คุณหนูรองอู๋” หวังซีกับฉังเคอต่างกล่าวทักทายนางด้วยความยินดีอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ได้นัดหมาย

นางยิ้มน้อยๆ แต่งกายอย่างที่ช่างตัดเสื้อของห้องเสื้อเมฆาคำนึงกล่าวเอาไว้ นางสวมชุดเพ่ยจื่อสีเหลืองอมเขียวลายแปดขุมทรัพย์ และประดับปิ่นพลอยสีน้ำเงิน ดูสง่างามและอ่อนโยนกว่าเมื่อหลายวันก่อนหลายเท่า

“ประเดี๋ยวฮองเฮาเหนียงเหนียงกับพวกต้าจ่างกงจู่ไปประทับนั่งที่พระที่นั่งข้าง พวกเราก็ไปเดินเล่นให้ทั่วทุกที่ได้แล้ว” คุณหนูรองอู๋กระซิบกล่าวกับทั้งสองคน “วันนี้คนของคณะหลีฮวาและคณะเหลียนจูล้วนมากันทั้งหมด จะทำการแสดงที่ศาลาเชียนชิวที่ตั้งอยู่ด้านหลังของตำหนักฉู่ซิ่ว ประเดี๋ยวพวกเจ้าระมัดระวังกันด้วย ซูเฟยเหนียงเหนียงประทับอยู่ที่ตำหนักฉู่ซิ่ว”

หวังซีเอาแต่ขมวดคิ้วมุ่นไม่หยุด

การแสดงค่อนข้างเสียงดัง หวังว่าฮองเฮาเหนียงเหนียงคงไม่ได้ตั้งใจเลือกศาลาเชียนชิวเป็นสถานที่ทำการแสดง

คุณหนูรองอู๋เห็นแล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าไม่ต้องกังวลมากเกินไป ฮองเฮาเหนียงเหนียงทรงมีพระทัยกว้างขวางมาตลอด พระนางคงไม่ถึงกับทำเรื่องเช่นนี้โดยไม่มีเหตุผล นอกจากนี้หกตำหนักก็ไม่ใช่สถานที่ที่เข้าออกได้ตามใจชอบ หากพวกนางตั้งใจออกมาจากตำหนักฉู่ซิ่ว ต่อให้พวกเราบังเอิญไปเดินชนพวกนาง ฮองเฮาเหนียงเหนียงก็ไม่เข้าข้างพวกนาง”

กลัวแต่ว่าพวกนางจะมิได้ไปเดินเตร็ดเตร่ที่ศาลาเชียนชิวโดยไม่มีเหตุผล

หวังซีมีป้าอาและลูกพี่ลูกน้องหญิงมากมาย ล้วนแล้วแต่แต่งงานกับคนมีฐานะทั้งสิ้น เรื่องสกปรกในเรือนชั้นในนั้นนางเห็นมาไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไรแล้ว

แต่ในเมื่อคุณหนูรองอู๋กล่าวเช่นนี้แล้ว หวังซีก็ไม่อาจกล่าวขัดเจตนาดีของนาง ขานรับคำยิ้มๆ แล้วเอ่ยถามคุณหนูรองอู๋ว่า “ประเดี๋ยวเจ้าไปชมงิ้วกับพวกข้าหรือไม่”

ลู่หลิงนัดหมายนางเรียบร้อยแล้ว นางไม่รู้ว่าลู่หลิงได้นัดแนะกับคุณหนูรองอู๋หรือไม่

คุณหนูรองอู๋ส่ายศีรษะยิ้มๆ ชี้ปิ่นที่ปักอยู่บนเรือนผมของตัวเอง ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าดูสภาพข้า ดูเหมือนคนที่ไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบหรือ ประเดี๋ยวพวกข้าต้องไปฟังราชโองการที่โถงข้างของพระที่นั่งชินอาน ฮองเฮาเหนียงเหนียงน่าจะทรงเรียกพวกข้าไปคุยด้วย” กล่าวจบ นางคล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้ กล่าวเพิ่มอีกหนึ่งประโยคว่า “คุณหนูหกปั๋วก็ต้องไปกับข้าด้วย ประเดี๋ยวคงต้องขอให้อาหลิงช่วยดูแลพวกเจ้าแล้ว”

ซึ่งก็หมายความว่าลู่หลิงไม่ต้องไป

น่าจะเป็นเพราะอายุของลู่หลิงไม่เหมาะสมกับผู้ใดกระมัง

หวังซีมองใบหน้าที่เจือไว้ด้วยความกล้าหาญของคุณหนูรองอู๋ อดถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้ว่า “เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่”

ด้วยสถานะของจวนชิงผิงโหว การเป็นขุนนางมือสะอาดผู้หนึ่งถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

คุณหนูรองอู๋รู้ว่าหวังซีเข้าใจสิ่งที่นางพูด รู้สึกตื้นตันใจยิ่งนัก

ภรรยาดีหายนะน้อย คุณหนูหวังเฉลียวฉลาดมากจริงๆ ครอบครัวนางยังมีพี่ชายน้องชายอายุไล่เลี่ยกับคุณหนูหวังที่ยังไม่ได้หมั้นหมายคนใดบ้าง ไม่สู้นางเป็นแม่สื่อ สู่ขอคุณหนูหวังมาที่บ้านพวกนางดีกว่า

นางได้ความคิดนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน พลันปฏิบัติกับหวังซีอย่างสนิทสนมขึ้นอีกหลายส่วน ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วกระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “ฮองเฮาเหนียงเหนียงต้องการคัดเลือกชายาให้เหล่าองค์ชายจริงๆ แต่สุดท้ายจะจับคู่อย่างไรนั้น ยังต้องดูความเห็นของฮ่องเต้ด้วย ที่ข้าได้ไปปรากฏกายต่อหน้าฮองเฮาเหนียงเหนียงพร้อมกับคุณหนูหกปั๋วและคนอื่นๆ ก็เป็นเพราะว่าข้าถือกำเนิดมาจากจวนชิงผิงโหวเท่านั้น พระเนตรของฮองเฮาเหนียงเหนียงไม่มีทางแลมาที่ข้าอย่างแน่นอน เจ้าวางใจเถอะ”

หวังซีเม้มปากหัวเราะ

นางมีอะไรต้องเป็นกังวลด้วย ต่อให้คุณหนูรองอู๋ต้องแต่งไปเป็นชายาขององค์ชายรอง เมื่อมีราชโองการลงมา เกรงว่าแม้แต่จวนชิงผิงโหวก็ไม่มีทางเลือก นางก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่งจะไปทำอะไรได้

กระนั้นก็ตาม นางสัมผัสได้ถึงความใกล้ชิดสนิทสนมที่คุณหนูรองอู๋มีต่อนาง แม้นไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่คุณหนูรองอู๋เป็นคนดีมาก นางเองก็ยินดีสนิทสนมกับคุณหนูรองอู๋ให้มากขึ้นเช่นกัน

นางยิ้มน้อยๆ พลางกล่าว “ประเดี๋ยวพวกข้าจะไปหาคุณหนูลู่”

คุณหนูรองอู๋เดินจากไปอย่างวางใจ

ตอนนางเจอลู่หลิงยังกำชับนางอีกครั้งหนึ่งด้วย

ลู่หลิงรับปากอย่างยิ้มแย้มยินดี

คุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวที่ยืนอยู่ด้านข้างกล่าวยิ้มๆ อย่างไม่จริงจังนักว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะสนิทสนมกับคุณหนูสกุลหวังของจวนหย่งเฉิงโหวขนาดนี้”

ลู่หลิงไม่ได้คิดอะไรมาก ยิ้มตอบว่า “นางเป็นคนไม่เลวเลยจริงๆ”

ทว่าไม่ได้กล่าวอะไรมากไปกว่านี้

คุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวเองก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่ม

หลังจากที่สตรีตราตั้งคนอื่นๆ กับบรรดาสตรีของจวนโหวและจวนป๋อรายล้อมฮองเฮาเหนียงเหนียง ต้าจ่างกงจู่ จ่างกงจู่และองค์หญิงฟู่หยางพูดคุยหัวเราะกัน เดินบ้างหยุดบ้างอยู่ในอุทยานหลวงหนึ่งรอบแล้ว ทั้งหมดก็กลับไปที่พระที่นั่งชินอานอีกครั้ง เพียงแต่ว่าบางส่วนนั่งอยู่ตรงนอกชานด้านหลังพระที่นั่งชินอานกับฮองเฮาเหนียงเหนียง บางส่วนถูกจัดไปนั่งที่นอกชานของพระที่นั่งข้าง และบางส่วนถูกปล่อยให้อยู่ที่โถงหลักของพระที่นั่ง

หนึ่งในจำนวนนี้มีนายหญิงรองจวนหย่งเฉิงโหว ฉังเหยียน ฉังเคอและหวังซี

ซือจูเหมือนกับคุณหนูรองอู๋ ถูกข้าราชสำนักสตรีฝ่ายในของวังหลวงเรียกตัวไปที่พระที่นั่งข้าง

ผ้าเช็ดหน้าในมือนายหญิงรองถูกบิดจนแทบจะเปื่อยยุ่ยแล้ว

ฉังเหยียนมองนายหญิงรองและคนอื่นๆ ของจวนเซียงหยางโหวที่ถูกทิ้งเอาไว้เช่นกันครั้งหนึ่ง เดินไปหามารดาด้วยดวงหน้าซีด กระซิบเรียกเสียงหนึ่ง “ท่านแม่” กล่าวว่า “ท่านอย่าเสียใจไปเลย ต่างคนต่างมีโชคชะตาของตัวเอง ข้าไม่เชื่อว่าอนาคตข้าจะด้อยไปกว่าผู้ใด”

นายหญิงรองพยักหน้าด้วยดวงตาแดงก่ำ กำลังคิดจะกล่าวปลอบโยนบุตรสาวสักสองสามประโยค ก็เห็นข้าราชสำนักสตรีฝ่ายในพาลู่หลิงเดินเข้ามา

“พี่สาวหวัง! พี่สาวสี่ฉัง!” นางกล่าวทักทายหวังซีกับฉังเคอด้วยเสียงไพเราะคล้ายกับเสียงนกกระจาบฝน ยังทำความเคารพนายหญิงรองและคนอื่นๆ ด้วย เสร็จแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าอยากไปดูบัวสายในสวนดอกไม้กับข้าหรือไม่”

ตอนไปเดินเล่นกันเมื่อครู่ พวกนางไม่เพียงเห็นว่าในอุทยานหลวงมีห้องอุ่นเท่านั้น ยังเห็นว่าด้านข้างห้องอุ่นมีอ่างขนาดใหญ่เท่าคนโอบได้อยู่หลายใบ ในอ่างยังปลูกบัวสายและเลี้ยงปลาทองเอาไว้ด้วย

หวังซีกับฉังเคอไม่อยากอยู่กับนายหญิงรองและฉังเหยียนอยู่แล้ว นอกจากนี้คุณหนูรองอู๋ยังบอกว่านางจะฝากฝังให้ลู่หลิงดูแลพวกนาง เห็นได้ชัดว่าลู่หลิงมาหาเนื่องจากได้รับการไหว้วานมา พวกนางเองก็ไม่อยากให้ลู่หลิงวิ่งมาเสียเที่ยว ทั้งสองคนจึงขานรับซ้ำๆ ว่า “ได้”

ลู่หลิงกับหวังซีและฉังเคอจึงกล่าวขอตัวกับนายหญิงรอง

ความจริงแล้วนายหญิงรองไม่อยากดูแลหวังซีกับฉังเคอ แต่เมื่อเห็นว่าลู่หลิงไม่คิดจะพูดรักษาน้ำใจกันแม้แต่นิดเดียว ชวนแค่หวังซีกับฉังเคอไปเล่นด้วยกันเพียงเท่านั้น รู้สึกไม่ชอบใจเป็นอย่างยิ่ง จึงคิดจะสร้างความลำบากให้พวกนางสักสองสามประโยค แต่ผู้ใดจะรู้ว่านางยังไม่ทันได้เอ่ยปาก คุณหนูห้าของจวนเซียงหยางโหวกลับพรวดเข้ามาจากด้านข้างอย่างกะทันหัน ยิ้มแป้นกล่าวกับลู่หลิงว่า “ข้าไปกับพวกเจ้าด้วย เมื่อครู่ข้าเห็นมีขนมหวานตั้งไว้ตรงภูเขาจำลองด้วย ข้าชอบขนมดอกเบญจมาศของครัวหลวงเป็นที่สุด ข้าอยากไปชิมขนมของครัวหลวงสักหน่อย”

อุทยานหลวงมีจุดตั้งขนมของว่างเอาไว้เจ็ดถึงแปดจุดให้ทุกคนได้รับประทานระหว่างทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ เมื่อครู่หวังซีเองก็เห็นเช่นกัน

ลู่หลิงไม่ได้คิดอะไรมาก นางกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนักว่า “เจ้าอยากไปก็ไป! พวกเราร่วมทางไปด้วยกันก็แล้วกัน”

ตอนนี้เองที่คุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวคล้ายกับเพิ่งเห็นนายหญิงรองจวนหย่งเฉิงโหวกับฉังเหยียน รีบก้าวออกไปกล่าวทักทายอย่างยิ้มแย้ม แล้วเดินตามพวกลู่หลิงไป

นายหญิงรองโกรธจนดวงตาแดงก่ำ ฉังเหยียนยิ่งแล้วใหญ่กว่าถึงขนาดกล่าวขึ้นว่า “นางหมายความว่าอย่างไรกันแน่”

อยากบอกพวกนางว่าจวนเซียงหยางโหวชอบฉังเคอแต่ไม่ชอบนางอย่างนั้นหรือ

นายหญิงรองรีบกอดบุตรสาวเอาไว้กล่าวปลอบโยนเสียงอบอุ่นว่า “อย่าไปสนใจพวกนางเลย ใครไม่รู้บ้างว่าคุณหนูห้าของจวนเซียงหยางโหวผู้นั้นเป็นคนไร้ความคิด เจ้าจะเอาเรื่องกับนางไปทำไม”

ต่อให้นางอยากเอาเรื่องคุณหนูห้า แต่จะเอาสถานะอะไรไปทำได้?

ฉังเหยียนอยากร้องไห้แต่ก็กลัวถูกคนเห็นเป็นเรื่องตลก จึงไม่กล้าร้อง

ด้านหวังซี หลังจากที่หนีออกมาจากบรรดานายหญิงเหล่านั้นได้แล้วคุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวกลับเศร้าสลดลงมาอย่างกะทันหัน ไม่ได้มีชีวิตชีวาเหมือนเมื่อครู่แล้ว

ลู่หลิงรีบถามขึ้นว่า “เจ้าเป็นอะไรหรือ”

คุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวฝืนยิ้ม ตอบเสียงหนึ่งว่า “เปล่า” แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ ก็กล่าวขึ้นอีกว่า “ท่านย่าของข้าอยากให้ข้าแต่งเข้าตระกูลเหยียน แต่ตระกูลเหยียนไม่ได้อยากดองกับตระกูลพวกข้า”

นางกลัวถูกผู้อาวุโสในบ้านบีบบังคับลากตัวนางไปทำขายหน้าต่อหน้าเหยียนฮูหยิน

“ตระกูลเหยียน?” ลู่หลิงดูว่างเปล่าไม่เข้าใจ

หวังซีนึกถึงกิริยาท่าทางหยิ่งยโสของจวนเซียงหยางโหว พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ กล่าวขึ้นว่า “หรือจะเป็นตระกูลของใต้เท้าเหยียน ผู้ตรวจราชการหมิ่นเจ้อ?”

สายตาที่คุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวมองหวังซีไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ต้องรู้ว่า การจดทะเบียนสำมะโนครัวของตระกูลขุนนางนั้นเป็นอะไรที่ซับซ้อนมาก อย่างคนที่เติบโตอยู่ในจวนโหวที่จิงเฉิงมาตั้งแต่เด็กอย่างพวกนางนี้ บางครั้งหากเอ่ยเพียงแซ่ยังต้องถามต่อว่าเป็นตระกูลใด แต่หวังซีมาอยู่จิงเฉิงยังไม่ถึงสี่เดือน ฟังแค่ประโยคเดียวก็เดาออกแล้วว่าเป็นตระกูลใด นี่มิใช่เรื่องที่เฉลียวฉลาดเพียงอย่างเดียวแล้วจะทำได้

“เป็นตระกูลพวกเขา” นางกล่าวอย่างเป็นกังวลใจว่า “ตระกูลเหยียนเป็นตระกูลเช่นไร จะมาสนใจข้าได้อย่างไร ข้าจำต้องอ้างพวกเจ้าเพื่อซ่อนตัวครู่หนึ่ง”

เป็นจริงตามนั้น อย่ามองว่าเหยียนเจิ้งนำทัพออกศึก เพราะจริงๆ แล้วตระกูลเหยียนเป็นตระกูลบัณฑิต เหยียนเจิ้งเองก็เป็นจิ้นซื่อขั้นสอง ที่ผ่านมาขุนนางฝ่ายบุ๋นดูแคลนขุนนางฝ่ายบู๊มาโดยตลอด ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลเหยียนยังเป็นตระกูลบัณฑิตมีการศึกษามาหลายต่อหลายรุ่น ไม่มีทางดองกับจวนเซียงหยางโหวอย่างแน่นอน

ลู่หลิงพลันเข้าใจเรื่องราวขึ้นมา กล่าวว่า “เช่นนั้นก็ไม่ค่อยดีแล้วจริงๆ อย่างไรก็ตาม ใต้เท้าเหยียนมีบุตรชายกี่คน ครอบครัวพวกเจ้าถูกใจบุตรชายคนใดของพวกเขาหรือ”

นางเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น คุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวไม่ได้รู้สึกถูกละลาบละล้วงแต่อย่างใด ตอบว่า “ว่ากันว่ามีบุตรชายหกคน เป็นบุตรชายจากภรรยาเอกทั้งหมด บุตรชายคนโตกับบุตรชายคนรองล้วนสอบผ่านการสอบคัดเลือกขุนนาระดับมณฑลแล้ว บุตรชายคนที่สามถูกใต้เท้าเหยียนพาไปอยู่ด้วย ส่วนบุตรชายคนอื่นๆ ยังเด็ก จึงอยู่จิงเฉิงกับเหยียนฮูหยิน คนที่ผู้อาวุโสอยากให้ข้าดองด้วยคือบุตรชายคนที่สามของพวกเขา”

ดูเช่นนี้แล้วจวนเซียงหยางโหวช่างมีการวางแผนดียิ่งนัก ถ้าหากสาเหตุที่บุตรชายคนที่สามถูกพาไปอยู่ด้วยเป็นเพราะคุณสมบัติไม่ดีล่ะก็ การคิดอยากจะเดินบนทางให้ร่มเงาเส้นนี้ จวนเซียงหยางโหวพยายามอีกสักหน่อย ไม่แน่ว่าอาจจะประสบความสำเร็จจริงๆ ก็เป็นได้

“ฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเจ้าช่างกล้าคิดกล้าทำจริงๆ!” หวังซีกล่าวขึ้นอย่างอดไม่อยู่ “ไม่แปลกที่พวกเจ้าจะเจริญรุ่งเรืองขึ้นทุกวันๆ ผู้ใดก็เทียบไม่ได้”

คุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวหน้าแดงก่ำ ถลึงตาใส่หวังซีกล่าวว่า “เจ้า…”

หวังซีถอนหายใจครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ข้าไม่ได้ถากถางพวกเจ้าจริงๆ ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเจ้าไม่ธรรมดา สตรีที่คิดแผนการเช่นนี้ได้เหมือนนางมีน้อยยิ่งนัก ท่านย่าของข้าเคยบอกว่า เจ้าอย่ามองแค่ว่าคนมีชีวิตรุ่งโรจน์ เพราะความรุ่งโรจน์นี้ล้วนเป็นนางที่หาทางต่อสู้ช่วงชิงมาด้วยตัวเองทั้งสิ้น…”

ขณะที่นางพูดอยู่นั้น ก็สัมผัสได้ว่าเหมือนมีคนกำลังจ้องมองนางอยู่

นางหยุดฝีเท้าลง มองไปยังทิศทางที่ความรู้สึกบอก ก็เห็นสตรีสองคนยืนอยู่ข้างหินก้อนใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจากพวกนางนัก ท่านหนึ่งอายุประมาณหกสิบปี เส้นผมสีดอกเลาทว่าสีหน้าแดงเปล่งปลั่ง หน้าตาสง่างาม แต่งกายด้วยชุดฮูหยินขั้นหนึ่ง ส่วนอีกท่านหนึ่งอายุประมาณสามสิบปี ดูนุ่มนวลอ่อนโยน ท่วงท่าเหมือนภาพสะท้อนของบุปผางาม แต่งกายด้วยชุดฮูหยินขั้นหนึ่งเช่นกัน ประคองสตรีอายุหกสิบปีผู้นั้นเอาไว้ กำลังมองนางด้วยแววตาระยิบระยับ

เมื่อเห็นนางมองไป ยังหันมายิ้มให้นางอย่างขวยเขินด้วย

หวังซีสีหน้าเรียบเฉย ทว่ารู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง

ทั้งๆ ที่นางรู้ว่าในวังหลวงแห่งนี้อาจได้พบคนเช่นไรก็ได้ได้ทุกเมื่อ แต่นางยังคงพูดจาเลื่อนเปื้อนอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ หากนางต้องตายอยู่ที่นี่ ก็เป็นเพราะตัวเองรนหาที่ตายเองแล้ว

…………………………………………………………………..

ตอนต่อไป