ตอนที่ 134 คลื่นใต้น้ำ

เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล

โชคดีที่สตรีสองท่านนั้นไม่มีความคิดอยากมาทักทายหวังซี หลังจากที่สตรีคนที่อ่อนวัยกว่าหันมาพยักหน้าให้หวังซียิ้มๆ แล้ว ก็ประคองสตรีสูงวัยกว่าเดินจากไป

หวังซีรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง แอบดึงแขนเสื้อลู่หลิงเบาๆ ถามว่า “เจ้าดูตรงข้างหินก้อนใหญ่นั่น รู้จักหรือไม่”

ลู่หลิงรีบหันศีรษะไปมอง สตรีคู่นั้นเลี้ยวพ้นมุมทางเดินไปแล้ว เห็นเพียงเงาหลังรางๆ เท่านั้น

นางส่ายศีรษะพลางกล่าว “เห็นหน้าไม่ชัด ไม่รู้ว่าใช่คนที่รู้จักหรือไม่ อย่างไรก็ตาม คนที่มาร่วมงานเลี้ยงของวังหลวงได้ก็มีแค่จำนวนหนึ่งเท่านั้น ข้าให้ข้าราชสำนักสตรีฝ่ายในที่คุ้นเคยด้วยไปตรวจสอบให้ดีหรือไม่”

นางกำนัลของวังหลวงก็ดี หรือข้าราชสำนักสตรีฝ่ายในก็ดี ล้วนเป็นคนปรนนิบัติรับใช้ฮองเฮาและคนอื่นๆ ทั้งสิ้น บอกให้คนเช่นนี้ช่วยทำธุระให้ ไม่ใช่แค่เรื่องเงินเท่านั้น ยังมีเรื่องของหนี้บุญคุณด้วย

ทำให้ลู่หลิงต้องติดหนี้บุญคุณผู้อื่นเพื่อเรื่องแค่นี้ หวังซีรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องจำเป็น

นางรีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่ต้องทำเช่นนั้นหรอก ข้าก็แค่บังเอิญเจอ รู้สึกแปลกใจก็เลยลองถามดูเท่านั้น”

ลู่หลิงไม่ได้ใส่ใจนัก

ในสถานการณ์เช่นนี้ต่อให้เป็นนางก็อาจเจอคนไม่รู้จักได้ นับประสาอะไรกับคนที่มาจากที่อื่นอย่างหวังซี?

นางคุยเรื่องตระกูลเหยียนกับคุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวต่อ คนหนึ่งกลุ่มมาถึงบ่อเลี้ยงปลาที่ปลูกบัวสายเอาไว้แล้ว

เนื่องจากเป็นงานเลี้ยง ข้างบ่อปลาจึงมีนางกำนัลคอยปรนนิบัติอยู่ ถืออาหารปลาเอาไว้ให้พวกนางให้อาหารปลา

คุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวมีเรื่องกลุ้มใจ จึงไม่ค่อยสนใจอยากพูดคุยนัก ส่วนหวังซีกับฉังเคออยากมาเปิดหูเปิดตาสักครั้งหนึ่ง นอกจากจะมองไปทั่วทั้งสี่ด้านแล้ว ยังสนทนากับเหล่านางกำนัลอย่างตื่นเต้นยินดีอีกด้วย มีเพียงลู่หลิงเท่านั้น ที่ได้เข้าวังบ่อย จะเลือกหรือไม่เลือกชายาก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนาง นางตั้งใจมาเพื่อเล่นสนุกจริงๆ เอ่ยถามนางกำนัลที่ปรนนิบัติอยู่ด้านข้างว่า “เมื่อไรถึงจะเริ่มทำการแสดงหรือ”

คาดว่านางกำนัลผู้นั้นคงรู้จักลู่หลิง ปฏิบัติกับนางอย่างสนิทสนม ตอบยิ้มๆ ว่า “เกรงว่าคงต้องรอจนถึงยามเว่ยเจ้าค่ะ”

ลู่หลิงยู่ปาก กล่าวว่า “ยังต้องรอนานถึงเพียงนั้นเชียว”

นางกำนัลผู้นั้นยิ้มกล่าว “ประเดี๋ยวองค์ชายรองและคนอื่นๆ ก็จะเสด็จมาด้วย น่าจะมาชมงิ้วเป็นเพื่อนฮองเฮาเจ้าค่ะ”

เพราะฉะนั้นก็เลยต้องรออีกประเดี๋ยวหนึ่ง

ลู่หลิงกลอกดวงตาไปมาอย่างใช้ความคิด มองคุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวครั้งหนึ่ง แล้วก็มองหวังซีกับฉังเคอครั้งหนึ่ง จากนั้นจับหวังซีไว้กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าสถานการณ์ที่พระที่นั่งชินอานเป็นอย่างไรบ้าง พวกเราสองคนไปดูความครึกครื้นกันเถอะ!”

เหตุการณ์สำคัญของวันนี้อยู่ที่พระที่นั่งชินอาน แน่นอนว่าหวังซีย่อมอยากไปดูอยู่แล้ว แต่สถานที่ที่ครึกครื้นที่สุดคือสถานที่ที่อันตรายที่สุด หวังซีอดรู้สึกลังเลใจเล็กน้อยไม่ได้

ลู่หลิงมองแล้วก็ลากนางออกวิ่ง วิ่งไปด้วย ตะโกนบอกคุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวและฉังเคอไปด้วยว่า “พวกข้าจะไปห้องสุขา พวกเจ้ารอพวกข้าสักครู่หนึ่ง”

หวังซีถูกนางลากตุปัดตุเป๋ไปข้างหน้า ในใจยังคงรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมนัก กล่าวว่า “เจ้าช้าลงหน่อย ความครึกครื้นของทางด้านโน้นก็ไม่ได้ดูกันง่ายๆ หรอกกระมัง หากถูกคนจับได้ขึ้นมาจะทำอย่างไร พวกเราทิ้งคุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวกับพี่สาวสี่ฉังเอาไว้เช่นนั้นจะดีหรือ”

ลู่หลิงหัวเราะคิก กล่าวว่า “เจ้าวางใจเถอะ มีซือจูกับฟู่หยางอยู่ด้วย ต่อให้อยากจับก็จับพวกนางสองคนมากกว่า หมุนมาไม่ถึงคราวของพวกเราหรอก ส่วนคุณหนูห้ากับพี่สาวสี่ พวกนางนั้นผู้หนึ่งไม่ได้อยากมา อีกผู้หนึ่งก็วิ่งเร็วไม่เท่าพวกเรา พวกเราอย่าพาพวกนางมาเหนื่อยด้วยเลยจะดีกว่า!”

หวังซีรู้สึกหดหู่ใจเหลือเกิน

ที่ลู่หลิงเลือกนางมิใช่เพราะสนิทสนมกับนางที่สุดหรอกหรือ

ขณะที่หวังซีคิดอยู่นั้น ลู่หลิงก็ลากนางมาถึงพระที่นั่งชินอานแล้ว

อย่างไรก็ตาม ลู่หลิงไม่ได้เข้าทางประตูหลักของพระที่นั่งชินอาน แต่เข้าไปจากประตูหลัง

คนที่เฝ้าประตูนั้นอยู่เป็นขันทีชราผู้หนึ่ง ลู่หลิงเห็นเขาก็ยิ้มหวานเรียกเขาว่าหลิวกงกง ยังหยิบขนมถั่วเขียวสองชิ้นออกมาจากถุงพกมอบให้ขันทีผู้นั้นด้วย กล่าวว่า “เก็บเอาไว้ให้ท่านเป็นพิเศษเจ้าค่ะ”

ขันทีผู้นั้นดีใจมาก ยิ้มร่าปล่อยพวกนางเข้าไปในพระที่นั่งชินอาน ยังกล่าวกับลู่หลิงด้วยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าไปเยี่ยมไท่เฟย วันนี้องค์ชายสามกับองค์ชายห้าทรงติดตามองค์ชายรองตลอด คุณชายรองตระกูลเฉินก็มาด้วยเช่นกัน ท่านห้ามสร้างปัญหาเป็นอันขาด หาไม่กว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะเร่งมาถึง สิ่งที่ท่านต้องสูญเสียก็สูญเสียไปแล้ว ไม่คุ้มค่า”

คุณชายรองตระกูลเฉิน หมายถึงเฉินลั่วหรือ?

หวังซีลอบประหลาดใจ ขณะที่กำลังครุ่นคิดว่าควรจะสืบข่าวคราวของเฉินลั่วจากขันทีผู้นี้ดีหรือไม่อยู่นั้น ลู่หลิงก็ลากหวังซีวิ่งเข้าไปข้างในด้วยท่าทางอดรนทนไม่ได้อีกต่อไป นางวิ่งไปด้วย ยังกล่าวกับขันทีผู้นั้นไปด้วยว่า “ขอบคุณมากเจ้าค่ะหลิวกงกง ข้ามาคราวหน้า จะเอาขนมแป้งย่างมาฝากท่านด้วย เป็นแป้งย่างของย่านต้าจ้าหลานร้านนั้น”

ขันทีผู้นั้นได้ยินแล้วหัวเราะไม่หยุด เสียงหัวเราะเผยความพึงพอใจออกมาเล็กน้อย

หวังซีอดถามไม่ได้ว่า “เหตุใดเจ้าถึงสนิทสนมกับขันทีของวังหลวงขนาดนี้”

ลู่หลิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนักว่า “สมัยเป็นหนุ่มท่านพ่อข้าเคยทำงานที่กองพลทองคำมาก่อน รู้จักคนวังหลวงหลายคน ขันทีผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น”

นั่นก็น่าจะเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว แต่ยังไปมาหาสู่กันจนถึงบัดนี้ได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจียงชวนป๋อเก่งเรื่องรักษามิตรภาพมาก หรือเป็นเพราะฉลาดเจ้าเล่ห์มากกันแน่?

หวังซีรู้สึกว่านับตั้งแต่ที่นางย่างเข้ามาในหกตำหนัก ดูเหมือนสมองจะไม่ค่อยเพียงพอต่อการใช้งานนัก

ลู่หลิงพาหวังซีตรงไปยังโถงข้างของพระที่นั่งชินอาน นางกำนัลสองสามคนที่เฝ้าเวรยามอยู่เห็นนางแล้วเม้มปากยิ้มไม่หยุด ทว่าสายตาที่มองหวังซีกลับเจือความพินิจพิจารณาอยู่ด้วยหลายส่วน

หวังซีรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

ลู่หลิงเลิกผ้าม่านขึ้นยื่นศีรษะเข้าไปกระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “พวกเจ้ายังไม่เสร็จอีกหรือ การแสดงใกล้จะเริ่มแล้ว!”

คุณหนูรองอู๋ดันลู่หลิงเดินออกมา หันมาพยักหน้าให้หวังซียิ้มๆ กล่าวกับลู่หลิงอย่างอ่อนใจว่า “เจ้ามาทำอะไร”

เนื่องจากฮองเฮาเหนียงเหนียงต้องการพบพวกนาง พวกนางจึงไปไหนมาไหนตามใจชอบไม่ได้ ต่อให้การแสดงเริ่มแล้วอย่างไร ลู่หลิงน่าจะเข้าใจหลักการข้อนี้ดี

นางหยิกแก้มลู่หลิง กล่าวกับหวังซีว่า “โชคดีที่เจ้าตามมาด้วย รีบพานางออกไปเถอะ เผื่อใครมาเห็นเข้า…”

แล้วใช้ลู่หลิงไปประจบประแจงฮองเฮาเหนียงเหนียง

ลู่หลิงกลับก้าวออกไปกระซิบกล่าวว่า “พวกองค์ชายรองก็จะเสด็จมาเหมือนกัน เจ้าระวังตัวด้วย”

จากนั้นถอยออกไปด้วยรอยยิ้มร่า ดึงตัวหวังซีวิ่งออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็วดุจสายลมไม่ต่างจากขามา

หวังซีไหนเลยจะยังไม่เข้าใจอีกว่าลู่หลิงลากตนมาเพื่อเป็นโล่กำบังนั่นเอง

กระทั่งออกมาจากโถงข้างของพระที่นั่งชินอานแล้ว นางสลัดลู่หลิงออก มือเท้าสะเอวกล่าวว่า “บอกข้ามาตามจริงว่าเกิดอะไรขึ้น”

ลู่หลิงกอดแขนหวังซีเอาไว้อย่างออดอ้อน พยายามหาทางเอาตัวรอด แต่ก็เล่าความจริงให้หวังซีฟัง “หลายวันก่อน ตอนที่พี่สาวรองอู๋ไปจุดธูปที่วัดหงหลัวเป็นเพื่อนอาสะใภ้เจ็ดนั้น บังเอิญเจอองค์ชายรองกับองค์ชายสาม”

“หมายความว่าอย่างไร!” หวังซีหูตั้งตรงขึ้นมา

คนอย่างสตรีของจวนชิงผิงโหวนี้ ปกติแล้วสืบหาตำแหน่งแห่งที่ของพวกนางไม่ได้

องค์ชายรองและองค์ชายสามบังเอิญเจอคุณหนูรองที่วัดหงหลัว ยิ่งไปกว่านั้นมิใช่แค่คนเดียว แต่เป็นสองคน ความบังเอิญนี้ดูจะมากเกินไปเล็กน้อย

“นางเจอทีละคนหรือว่าเจอพร้อมกัน?” หวังซีถามอย่างเป็นห่วง

ลู่หลิงหัวเราะ

นางรู้สึกว่านางลากมาไม่ผิดคน

พี่สาวหวังไม่เพียงฉลาดหลักแหลมเท่านั้น ยังกล้าหาญและมีจิตใจโอบอ้อมอารีอีกด้วย

“เจอผู้หนึ่งก่อนแล้วค่อยตามด้วยอีกผู้หนึ่ง” ลู่หลิงกระซิบกล่าว ใบหน้าไม่ได้ดูผ่อนคลายเหมือนก่อนหน้านี้อีก แต่ดูกังวลใจเล็กน้อย “ข้าเคยพูดเรื่องนี้กับพี่สาวรองอู๋แล้ว แต่นางรู้สึกว่าสตรีจากตระกูลอู๋ไม่ได้รับคัดเลือกให้เข้าวังหลวงมานานหลายปีแล้ว และตอนนี้ ฮ่องเต้ยิ่งไม่มีทางปล่อยให้สตรีจากตระกูลอู๋เข้าวังด้วย กระนั้นก็ตาม ต่อให้ฮ่องเต้ไม่พยักหน้าอนุญาต แต่ถ้ามีเรื่องอะไรไปตกอยู่บนร่างของพี่สาวรองอู๋ มิเท่ากับว่าพี่สาวรองอู๋ถูกทำลายไปด้วยหรือ…

…ข้ารู้สึกว่าบางเรื่องควรระแวดระวังเอาไว้ดีกว่า!”

หวังซีเห็นด้วยกับความคิดของลู่หลิงเป็นอย่างมาก นางรู้สึกว่างานเลี้ยงครานี้ไม่ใช่แค่การดูตัวเหล่าสตรีที่มีคุณสมบัติเป็นหวังเฟยเท่านั้น อาจเป็นการสร้างโอกาสให้คนที่มีใจปรารถนาด้วยก็เป็นได้ กล่าวขึ้นว่า “แต่ต่อให้ระแวดระวังแค่ไหน ก็ต้องให้คุณหนูรองอู๋บังเกิดความระแวะระวังเองด้วยถึงจะใช้ได้!”

ลู่หลิงถอนหายใจอย่างหดหู่

มีเสียงพูดของสตรีดังเข้ามาให้ได้ยิน

หวังซียังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบรับใด ลู่หลิงก็กลอกดวงตาไปมาอย่างใช้ความคิด ลากหวังซีไปหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ขนาดคนโอบรอบต้นหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง

น่าเสียดายที่รอบข้างมีดอกไม้ใบหญ้าน้อยเกินไป คนที่ตั้งใจจริงย่อมมองเห็นพวกนางได้ไม่ยากเลย

หวังซีลอบรู้สึกละอายอยู่ในใจ

นางเก็บเอาคำพูดเมื่อครู่กลับคืนมา

การจัดวางตำแหน่งต่างๆ ของวังหลวงทำได้ดียิ่ง

ต้นไม้เหล่านั้นก็ปลูกได้ชาญฉลาดนัก

เพราะเป็นเช่นนี้ ถึงทำให้คนไม่มีสถานที่ให้ซ่อนตัวได้เลยแม้แต่ที่เดียว

รับประกันความปลอดภัยของคนชั้นสูงในวังหลวงได้มากที่สุด

แต่ผู้มาใหม่ทั้งสองคนดูมีเรื่องหนักใจ นอกจากไม่เห็นพวกนางแล้ว ยังเดินมาอยู่ข้างๆ ต้นไม้ที่พวกนางซ่อนตัวอีกด้วย คุยกันเสียงเบาว่า “ตระกูลอู๋ไม่มีทางให้บุตรสาวเข้าวัง เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว นอกจากนี้เสด็จแม่ของข้าก็ไม่มีทางปล่อยให้บุตรสาวของตระกูลอู๋ได้เข้าวังด้วย”

คนที่พูดคือองค์หญิงฟู่หยาง

แสดงว่าอีกผู้หนึ่ง…น่าจะเป็นซือจู

หวังซีมองลู่หลิงครั้งหนึ่ง

ลู่หลิงเบ้ปาก

คนที่ตอบรับคำเป็นซือจูอย่างที่คาดเอาไว้จริงๆ นางกล่าวขึ้นว่า “ข้าก็แค่เป็นกังวลมิใช่หรือ หกปั๋วแสดงเจตจำนงชัดเจนแล้วว่าไม่อยากเข้าวัง ฮองเฮาเหนียงเหนียงย่อมไม่ตำหนินาง! เช่นนั้นคุณหนูรองอู๋ก็กลายเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ฮ่องเต้ไม่แต่งตั้งรัชทายาทเสียที จวนชิ่งอวิ๋นโหวเป็นฝ่ายที่ร้อนใจที่สุด มนุษย์นั้นครั้นร้อนใจแล้ว อะไรที่เป็นไปไม่ได้ก็กลายเป็นเป็นไปได้ขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย ยิ่งไปกว่านั้นหลายวันก่อนท่านพ่อของข้าส่งจดหมายมาบอกว่า จวนชิงผิงโหวไม่มีผู้นำที่โดดเด่นมาหลายปีแล้ว เกรงว่าตระกูลอู๋คงพิทักษ์ภาคตะวันตกไว้ไม่ได้อีก ถึงเวลาผู้ใดจะเป็นคนรับภาระนี้ต่อจากจวนชิงผิงโหวก็ยากจะพูดได้…

…หาไม่ฮองเฮาเหนียงเหนียงก็คงไม่ลากคุณหนูรองอู๋ไปคุยด้วยไม่หยุดเช่นนี้…

…ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดานัก”

หวังซีรู้สึกหัวจะระเบิดออกมา

หรือที่บิดาของซือจูถูกย้ายไปอวี๋หลินก็เป็นเพราะมีแผนการจะรับช่วงต่อจากจวนชิงผิงโหว?

หากเป็นเช่นนี้จริง ก็ไม่แปลกที่ซือจูจะหยิ่งทะนงได้ถึงเพียงนี้

หวังซีอยากถามเฉินลั่วเหลือเกินว่าบิดาของซือจูนำทัพเก่งกาจมากหรือไม่ เพียงแต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมนัก

มีเสียงอึกทึกหนึ่งดังมาจากประตูหลังของพระที่นั่งชินอาน

หวังซีมองไป เห็นองค์ชายรองที่สวมชุดชุดอี้ส่านคอป้ายด้านล่างเป็นกระโปรงจีบสีเหลืองอร่ามปักลายมังกรห้ากรงเล็บกับเฉินลั่วที่สวมชุดอี้ส่านคอป้ายด้านล่างเป็นกระโปรงจีบผ้าไหมหังโจวสีแดงสดและคาดเอวด้วยเข็มขัดทองคำฝังหยกเดินเข้ามาโดยมีเหล่าองค์ชายที่แต่งกายด้วยชุดสีเหลืองอร่ามเดินรายล้อมมาด้วย

เนื่องจากมีชุดสีเหลืองอร่ามขององค์ชายมากเกินไป จึงทำให้ชุดสีแดงของเฉินลั่วดูเหมือนทับทิมที่ฝังอยู่ในทองคำ ไม่เพียงโดดเด่นสะดุดตาเท่านั้น ยังให้ความรู้สึกถือดีว่าข้าเป็นจุดศูนย์กลางเล็กน้อยด้วย