หวังซีนับจำนวนคนที่สวมชุดสีเหลืองอร่ามอยู่ในใจ

ฮ่องเต้มีโอรสแปดพระองค์และธิดาหนึ่งพระองค์ องค์ชายใหญ่อายุมากกว่าเฉินลั่วหกปี องค์ชายรองอายุมากกว่าเฉินลั่วสี่ปี องค์ชายสามและองค์ชายสี่อายุเท่าเฉินลั่ว องค์ชายห้าอายุน้อยกว่าเฉินลั่วสองปี องค์ชายหก องค์ชายเจ็ดและองค์หญิงฟู่หยางอายุเท่านาง ส่วนองค์ชายแปดปีนี้เพิ่งจะเจ็ดขวบ

องค์ชายรองคือคนที่อายุมากที่สุดในบรรดาองค์ชายกลุ่มนี้ คนที่อายุน้อยที่สุดอายุประมาณสิบห้าสิบหกปี ว่ากันว่าองค์ชายหกอ้วนท้วน ปกติไม่ค่อยออกไปไหนนัก ดูจากองค์ชายเหล่านี้แล้ว หน้าตาหล่อเหลาและดูเฉลียวฉลาดกันทุกคน นอกจากนี้จำนวนคนก็นับได้ห้าคนพอดี

สองในจำนวนนี้หน้าตาค่อนข้างคล้ายคลึงกัน ใบหน้ากลมกลึง น่าจะเป็นองค์ชายสามและองค์ชายห้าที่ถือกำเนิดจากซูเฟยเหนียงเหนียง

สายตาของหวังซีไปหยุดอยู่บนร่างขององค์ชายเจ็ดผู้ที่อายุน้อยที่สุดในจำนวนนี้อย่างสนใจ

อาจเป็นเพราะอายุน้อย ยังไม่เจริญเติบโตเต็มที่ แม้นเขารูปงาม แต่เป็นความงามที่ยังไม่แบ่งแยกชายหญิง ความสูงถึงแค่ไหล่ของเฉินลั่วเท่านั้น ทว่ายิ้มแย้มร่าเริงสดใส ไม่ได้น่าเกรงขามเหมือนองค์ชายรอง และไม่เหมือนองค์ชายสามที่หน้าตาแฝงความหยิ่งทะนงเอาไว้หลายส่วน ยิ่งไม่เหมือนองค์ชายสี่ที่เยือกเย็นและองค์ชายห้าที่เคร่งขรึมจริงจัง แต่มีความเขินอายเล็กน้อย กระทั่งดูสดใสร่าเริงอย่างบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ทำให้คนมองแล้วรู้สึกดี

นางลอบชื่นชมอยู่ในใจ

โอรสของฮ่องเต้ล้วนมีหน้าตาโดดเด่น รวมถึงหลานชายอย่างเฉินลั่วด้วย

เพียงแต่ไม่รู้ว่านิสัยใจคอเป็นอย่างไรเท่านั้น

หวังซีนึกถึงเรื่องท่าเรือที่ค่ายเทียนจินที่เฉินลั่วพูดถึง นึกถึงเหยียนเฮ่าผู้พิพากษาเมืองเป่าติ้งท่านนั้นขึ้นมา

ไม่รู้ว่าองค์ชายเจ็ดท่านนี้รู้เรื่องมากน้อยเพียงใด

นางมององค์ชายเจ็ดเงียบๆ

องค์ชายเจ็ดติดตามอยู่ด้านหลังเหล่าเชษฐา เสมือนผู้ติดตามที่ไม่ควรค่าให้สังเกตเห็น ด้านองค์ชายสามกลับขมวดคิ้วเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็นเมื่อเห็นซือจูถอยกลับไปอยู่หลังองค์หญิงฟู่หยางหลังจากทำความเคารพเสร็จแล้ว ส่วนองค์หญิงฟู่หยางนั้นคล้ายหวาดกลัวองค์ชายรองเล็กน้อย ยืนพึมพำอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางที่ไม่รู้จะพูดอะไรต่อไปดี ยังปรายตามองเฉินลั่วอย่างรวดเร็วครั้งหนึ่งด้วย แตกต่างจากท่าทางที่นางเห็นก่อนหน้านี้ลิบลับ

เพียงแต่ว่าตอนที่องค์หญิงฟู่หยางมองไปนั้น ไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจกันแน่ จู่ๆ เฉินลั่วก็หันหน้าไปกระซิบกับองค์ชายรองสองประโยค จึงไม่เห็นการกระทำขององค์หญิงฟู่หยาง

องค์หญิงฟู่หยางเป็นทุกข์จนดวงตาแดงก่ำไปหมด

สายตาที่องค์ชายสามมองนางจึงเจือความเข้มงวดดุดันขึ้นมาหลายส่วน ส่วนองค์ชายสี่และคนอื่นๆ ต่างแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ทุกคนต่างก้มหน้าตาชิดจมูก จมูกชิดหน้าอก ไม่ขยับเขยื้อนประหนึ่งขุนเขา

หวังซีประหลาดใจ

นี่องค์หญิงฟู่หยาง…ชอบเฉินลั่วหรือ?

มิใช่ว่านางชอบคุณชายสี่เจี่ยเฝิงของจวนเซียงหยางโหวหรอกหรือ

หรือที่จวนเป่าชิ่งจ่างกงจู่เมื่อคราก่อนนั้นนางมองผิดไป?

นางทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่

นางขมวดคิ้ว ขณะที่กำลังรู้สึกไม่สบายใจอยู่นั้น ก็เห็นองค์ชายห้าส่ายศีรษะเบาๆ เปลี่ยนท่าทางเคร่งขรึมจริงจังเมื่อครู่ ก้าวออกไปสองสามก้าวจนถึงเบื้องหน้าองค์หญิงฟู่หยาง กล่าวเสียงอบอุ่นว่า “ฟู่หยาง พวกข้าได้รับบัญชาจากเสด็จแม่ฮองเฮาให้มาถวายพระพร เจ้าอยากไปพร้อมพวกข้าหรือไม่”

องค์หญิงฟู่หยางฝืนยิ้มออกมา ทว่าสายตากลับมองไปที่เฉินลั่วไม่ยอมวางลง กล่าวด้วยอาการใจลอยเล็กน้อยว่า “ในเมื่อเสด็จแม่ฮองเฮาเรียกตัวพวกเสด็จพี่มา ข้าก็ไม่รบกวนพวกท่านแล้ว ประเดี๋ยวข้าค่อยไปสนทนากับเสด็จแม่ฮองเฮาอีกครั้งก็แล้วกันเพคะ”

กล่าวจบ ก็ก้มหน้าลงด้วยท่าทางผิดหวังเสียใจอย่างที่สุด

องค์ชายห้ามองเฉินลั่วครั้งหนึ่งพลางถอนหายใจเงียบๆ บอกองค์ชายสามว่า “พวกเรารีบไปกันเถอะ เสด็จแม่ฮองเฮาจะได้ไม่รอนานจนร้อนพระทัย”

“จริงด้วยพะยะค่ะ!” องค์ชายเจ็ดกระโดดออกมายิ้มๆ ด้วยท่าทางไร้เดียงสา ยังกล่าวทักทายองค์หญิงฟู่หยางด้วยว่า “ประเดี๋ยวออกมาแล้วพวกข้าค่อยมาคุยกับพวกเจ้า”

องค์หญิงฟู่หยางพยักหน้าด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

ซือจูกลับทำความเคารพด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ทั้งไม่ดูยโสและไม่ดูประจบประแจง ส่งเฉินลั่วกับองค์ชายรองและคนอื่นๆ เดินจากไป

หวังซีกับลู่หลิงถอนใจอย่างโล่งอก ทว่าข้างหูกลับมีเสียงไม่ดังไม่เบาของซือจูดังมาให้ได้ยินว่า “ฟู่หยาง เจ้าอย่าทำให้ตัวเองเป็นทุกข์เช่นนี้เลย! ข้ามองแล้วรู้สึกปวดใจยิ่งนัก หรือว่าข้าไปอยู่วัดเป็นเพื่อนเจ้าสักระยะหนึ่งดีหรือไม่ ตามองไม่เห็นหัวใจจะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์ ไม่แน่ว่าไปอยู่สักระยะหนึ่ง เจ้าอาจอารมณ์ดีขึ้นก็เป็นได้”

หวังซีเห็นองค์ชายเจ็ดที่เดินอยู่รั้งท้ายสุดหยุดฝีเท้าลงครู่หนึ่ง แล้วค่อยก้าวยาวๆ ไล่ตามฝีเท้าของพวกเชษฐาที่อยู่ด้านหน้าไป

เมื่อเห็นว่าในที่สุดลานบ้านก็ไม่มีคนเหลืออยู่แล้ว องค์หญิงฟู่หยางก็โผเข้าหาไหล่ของซือจูร้องไห้ออกมา ร่ำไห้ไปด้วย กล่าวเสียงเบาไปด้วยว่า “ข้าไม่อยากแต่งกับคนแซ่เฉาผู้นั้น แต่เฉินลั่วก็ไม่ยอมช่วยข้า ข้า…ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้ว!”

หวังซีกับลู่หลิงมองหน้ากันด้วยอาการตกตะลึงครั้งหนึ่ง

หากฮ่องเต้มีพระประสงค์ให้เฉินลั่วแต่งองค์หญิง ยังต้องรอมาจนถึงบัดนี้หรือ

องค์หญิงฟู่หยางไม่อยากแต่งงานกับผู้อื่น กลับลากเฉินลั่วลงน้ำไปด้วย

นางไม่รู้หรือว่าสถานการณ์ของเฉินลั่วย่ำแย่พออยู่แล้ว

หวังซีจ้ององค์หญิงฟู่หยางอย่างไม่ชอบใจ

ไม่มีความรู้สึกดีให้นางเลยแม้แต่นิดเดียว

ซือจูกลับกอดองค์หญิงฟู่หยางเอาไว้เสมือนเป็นพี่สาวคนสนิทก็ไม่ปาน ตบหลังนางพลางกล่าวปลอบโยนนางเสียงอบอุ่นว่า “เฉินลั่วผู้นี้เห็นแก่ตัวยิ่งนัก ในใจเขามีแค่ตัวเองเท่านั้นไม่มีผู้อื่น เขาไม่มีทางช่วยเจ้าหรอก แทนที่เจ้าจะขอร้องเขาไม่สู้ขอร้องปั๋วหมิงเย่ว์ยังจะดีกว่า!…

…ปั๋วหมิงเย่ว์พูดจามีน้ำหนักต่อหน้าฮองเฮาเหนียงเหนียง ให้เขาช่วยออกหน้าให้ดีกว่าให้เฉินลั่วช่วยออกหน้าให้เป็นร้อยเท่า”

องค์หญิงฟู่หยางได้ยินแล้วเงยหน้าขึ้นมา กะพริบดวงตาโตที่ยังคลอด้วยหยาดน้ำตา ถามซือจูอย่างไม่เข้าใจว่า “แต่ข้าสนิทสนมกับเฉินลั่วมากกว่านี่นา! นอกจากนี้เมื่อก่อนเฉินลั่วก็ชอบช่วยเหลือผู้อื่นมาก อาจเป็นเพราะครั้งนี้ข้าไม่ได้พูดกับเขาให้ชัดเจน!”

แววตาเยือกเย็นสายหนึ่งวาบผ่านนัยน์ตาของซือจู น้ำเสียงก็เย็นชาลงมาหลายส่วน กล่าวว่า “เมื่อก่อนก็คือเมื่อก่อน ตอนนี้ก็คือตอนนี้ เมื่อก่อนเขาไม่ดีกับใครด้วยหรือ แล้วบัดนี้เขายิ้มให้ผู้ใดบ้าง หากให้ข้าพูด ถ้าเจ้าไม่อยากไปขอร้องปั๋วหมิงเย่ว์ เช่นนั้นก็ไปขอร้องฮ่องเต้ เจ้าเพียงต้องบอกว่าเจ้ากับเฉินลั่วชอบพอกัน ต่อให้ฮ่องเต้ไม่ชอบพระทัย อย่างมากก็แค่หมางเมินเจ้ากับเฉินลั่วไปสักระยะหนึ่ง เมื่ออดทนผ่านพ้นไปได้ ความขมขื่นจางหายความหอมหวานก็มาแทนที่แล้วมิใช่หรือ”

หวังซีจับมือของลู่หลิงเอาไว้แน่น

องค์หญิงฟู่หยางกล่าวอย่างลำบากใจว่า “เช่นนี้ไม่ค่อยดีกระมัง ข้าก็แค่อยากยืมตัวเขาเป็นข้ออ้างหลบเลี่ยงงานแต่งกับตระกูลเฉาเท่านั้น!”

ซือจูกลับกล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นเจ้าคิดวิธีแก้ปัญหาที่ดีกว่านี้ได้หรือ”

องค์หญิงฟู่หยางก้มหน้า กล่าวว่า “ไม่ ไม่ได้ เฉินลั่วได้ชื่อว่าเป็นคนรูปงาม หากข้าบอกว่าอยากแต่งงานกับเขา เสด็จแม่ฮองเฮากับฮ่องเต้ย่อมไม่สงสัย…”

“เช่นนั้นก็จบปัญหาแล้วมิใช่หรือ!” ซือจูรีบกล่าวตัดจบปัญหาอย่างรวดเร็ว “เพราะพวกเราเองก็ไม่มีทางเลือกมิใช่หรือ”

องค์หญิงฟู่หยางไม่กล่าวสิ่งใด

***

ลู่หลิงลากหวังซีวิ่งฉิวออกมาจากพระที่นั่งชินอาน เมื่อเห็นว่าออกห่างจากพระที่นั่งชินอานมาเกือบหนึ่งลูกศรยิงแล้ว และบริเวณโดยรอบก็ไม่มีผู้อื่น ถึงได้เอามือทาบหน้าอกสูดหายใจเข้าลึกพลางกล่าวกับหวังซีอย่างหวาดกลัวว่า “ท่านย่าของข้ากล่าวได้ถูกต้อง คนเรานี้ไม่อาจกระทำเรื่องเลวร้ายได้ ข้าก็แค่อยากแอบไปดูสนุกของซือจูและถือโอกาสไปเตือนพี่สาวรองอู๋สักสองสามประโยคเท่านั้น ผู้ใดจะรู้ว่าจะได้เห็นฉากเช่นนี้จริงๆ!…

…เมื่อก่อนข้ารู้แค่ว่าซือจูหยิ่งทะนงและทะเยอทะยาน คิดไม่ถึงว่านางจะเป็นหญิงร้ายกาจผู้หนึ่งด้วย…

…หากฟู่หยางเชื่อฟังคำลวงของนางขึ้นมา เกรงว่าคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องตายตกอย่างไรบ้าง…

…ไม่ได้! ข้าต้องบอกพี่สาวรองอู๋ ให้นางระแวดระวังเอาไว้สักหน่อย อย่าถูกซือจูที่ดูเหมือนซื่อตรงไร้แผนการหลอกเอาได้”

หวังซีค่อนข้างยินดี กล่าวขึ้นว่า “พวกเราควรเตือนเฉินลั่วด้วยหรือไม่ เขาจะได้ไม่ถูกหลอก”

“ไม่ต้องกระมัง” ลู่หลิงกล่าวอย่างลังเล “เจ้าดูฟู่หยางกับซือจู เพราะเขาไม่ตอบรับพวกนางถึงได้อยากคิดบัญชีเฉินลั่วเช่นนี้ เฉินลั่วต้องมีแผนการของตัวเองอย่างแน่นอน”

แม้นจะกล่าวเช่นนี้ แต่หวังซียังคงเป็นกังวล รู้สึกว่าควรเตือนเขาสักคำหนึ่ง

ลู่หลิงกลับเห็นสตรีผู้หนึ่งท่าทางคล้ายนางกำนัลเดินไปด้วยมองซ้ายมองขวาไปด้วย เหมือนกำลังมองหาอะไรอยู่

นางรีบดึงแขนเสื้อของหวังซี เป็นสัญญาณบอกให้นางดูสตรีผู้นั้น ยังกระซิบอธิบายที่ข้างหูนางด้วยว่า “เวลาสตรีในวังหลวงออกมาข้างนอก อย่างน้อยที่สุดต้องมีคู่มาด้วยสองคน จะได้ช่วยแนะนำซึ่งกันและกันได้ สตรีผู้นี้ต้องไม่ชอบมาพากลอย่างแน่นอน ข้ารู้สึกใจเต้นตึกตักอยู่ตลอด พวกเรามาพระที่นั่งชินอานครานี้ ไม่แน่ว่าอาจสร้างเรื่องขึ้นจริงๆ แล้วก็เป็นได้”

“เช่นนั้นพวกเรารีบไปกันเถอะ!” หวังซีกล่าวเสร็จ ก็เห็นสตรีผู้นั้นเงยหน้าขึ้นหันมองมาที่พวกนาง

สายตาของทั้งสองคนสบประสานกันกลางอากาศ

จะหลบก็หลบไม่ทันแล้ว

หวังซีลอบถอนหายใจ

นางกำนัลผู้นั้นกลับรีบเดินเข้ามาอย่างยินดี กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูลู่ ข้างกายของท่านผู้นี้คือคุณหนูหวังใช่หรือไม่”

ผู้อื่นไม่รู้จักนาง แต่รู้จักลู่หลิง

หวังซีมองลู่หลิงครั้งหนึ่ง ลู่หลิงอยากเอามือปิดใบหน้าเหลือเกิน แต่ยิ่งเดินนางกำนัลผู้นั้นก็ยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ นางได้แต่ตอบว่า “ถูกต้อง”

นางกำนัลผู้นั้นลิงโลดยินดี กล่าวว่า “จ่างกงจู่ของพวกข้าบอกว่า ให้ท่านนำความไปแจ้งนายหญิงเจ็ดของจวนชิงผิงโหวสักครั้งหนึ่ง ความว่า นอกจากฮองเฮาเหนียงเหนียงจะมีพระประสงค์รั้งให้คุณหนูรองอู๋อยู่สนทนาด้วยแล้ว ยังต้องการพระราชทานกำไลมังกรคู่หงส์ให้อีกหนึ่งคู่ด้วย นายหญิงเจ็ดเป็นผู้อาวุโส อย่างไรก็ต้องช่วยตัดสินใจให้สักครั้งถึงจะใช้การได้เจ้าค่ะ”

นางกำนัลผู้นี้พูดตะกุกตะกัก แต่ถ้อยคำที่เอ่ยออกมากลับทำให้ลู่หลิงและหวังซีสีหน้าเปลี่ยนอย่างพร้อมเพรียงกัน

ยังไม่ต้องพูดเรื่องเหตุใดนางกำนัลผู้นี้ถึงออกมาเพียงคนเดียว แค่เรื่องที่ว่านางใช่ข้ารับใช้ของจ่างกงจู่จริงหรือไม่เรื่องเดียวก็ไม่มีใครรู้แล้ว ไหนจะถ้อยคำช่วงท้ายนั่นอีก เห็นๆ อยู่ว่าต้องการให้พวกนางไปแจ้งคนของจวนชิงผิงโหวว่าฮองเฮาเหนียงเหนียงสนใจคุณหนูรองอู๋เป็นพิเศษ มีพระประสงค์อยากดองกับจวนชิงผิงโหว

ความสัมพันธ์ระหว่างจวนเจียงชวนป๋อกับจวนชิงผิงโหวคงแนบแน่นมาก ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ส่งน้ำแข็งไปให้จวนเจียงชวนป๋อ และคาดว่าลู่หลิงเองก็คงไม่ค่อยรู้เรื่องในวังหลวงนัก แม้แต่ชื่อแซ่ของนางกำนัลผู้นั้นก็ไม่เอ่ยถาม กล่าวเสียงหนึ่งว่า “ขอบคุณพี่สาวมาก” เสร็จแล้วก็ดึงหวังซีเดินไปที่ประตูหน้าของพระที่นั่งชินอาน

หวังซีอยากถามนางเหลือเกินว่าไม่กลัวเป็นกับดักหรือ

แต่เมื่อนางขบคิดให้ละเอียดแล้ว ก็รู้สึกว่าต่อให้นี่เป็นกับดัก แต่ถ้าจวนชิงผิงโหวได้รับข้อความเช่นนี้ก็ต้องกระโดดออกมาเช่นกัน

นางแอบทอดถอนใจ รู้สึกว่าหลังจากที่นางกำนัลผู้นั้นเอ่ยปากแล้วกลับทำให้นางสัมผัสถึงจุดที่ไม่ชอบมาพากล

ในเมื่อรู้จักลู่หลิง แค่บอกให้ลู่หลิงไปแจ้งข่าวโดยตรงก็ได้แล้ว เหตุใดต้องถามว่าข้างกายลู่หลิงคือตนหรือไม่ด้วย?

หรือว่า…คนที่ส่งข้อความนี้มาคือเฉินลั่ว!

เขาเห็นนางกับลู่หลิงอยู่ด้วยกัน

นางกำนัลผู้นั้นพูดเหมือนเอาข่าวมาบอกลู่หลิง แต่ความจริงคือเอาข่าวมาบอกนาง?

เช่นนั้นถ้อยคำนี้ของเฉินลั่วมีวัตถุประสงค์อะไรกันแน่

แค่อยากส่งสัญญาณเตือนจวนชิงผิงโหว ไม่ให้จวนชิงผิงโหวดองกับองค์ชายรอง หรือเพราะมีแผนการอื่นกันแน่?

แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ถ้าคนที่ส่งข่าวมาคือเฉินลั่ว เช่นนั้นนางย่อมต้องช่วยเขาทำให้สำเร็จ

มาถึงช่วงท้ายกลายเป็นว่าหวังซีเป็นคนลากลู่หลิงออกวิ่งแทน