นายหญิงเจ็ดของจวนชิงผิงโหวพาคนเดินจากไป หวังซีกับลู่หลิงถูกเหล่าสตรีของจวนชิงผิงโหวล้อมเป็นวงกลม มีบางคนกล่าวขึ้นว่า “อาหลิง รีบนั่งลงมาดื่มชาสักถ้วยก่อน!”
บางคนกล่าวว่า “คุณหนูหวัง เรื่องวันนี้ขอบใจเจ้ามาก อากาศร้อนขนาดนี้ ข้าจะโบกพัดให้เจ้า”
คนเหล่านี้ล้วนอายุมากกว่าหวังซีและลู่หลิง บางคนยังเป็นคนรุ่นอาวุโสด้วย ทำเอาหวังซีรู้สึกกระดากอายยิ่งนัก รีบรับพัดจากมือของคนผู้นั้นมากล่าวว่า “ข้าพัดเองดีกว่า ข้าพัดเองดีกว่าเจ้าค่ะ!”
สตรีของจวนชิงผิงโหวยังยกน้ำบ๊วยเปรี้ยวที่แช่น้ำแข็งเรียบร้อยแล้วมาให้พวกนางด้วย
กระตือรือร้นเกินไปแล้ว
ทั้งสองคนดื่มน้ำบ๊วยเปรี้ยวอย่างเกรงใจเสร็จแล้วก็เตรียมตัวจะไปหาคุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวกับฉังเคอที่ดูบัวสายอยู่ที่อุทยานหลวง ผู้ใดจะรู้ว่าเพิ่งวางถ้วยในมือลงนายหญิงรองจวนหย่งเฉิงโหวก็พาฉังเหยียนเดินเข้ามา นายหญิงรองเอ่ยขึ้นอย่างสนเท่ห์ว่า “พวกเจ้าสองคนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร อาเคอเล่า? พวกเจ้าไม่ได้อยู่ด้วยกันหรอกหรือ”
ขณะที่หวังซีกับลู่หลิงกำลังคิดว่าจะตอบอย่างคลุมเครือให้พอผ่านพ้นไปอยู่นั้น สตรีจวนชิงผิงโหวก็ช่วยกล่าวอธิบายให้พวกนางเสียก่อนว่า “พวกนางมาหาคุณหนูรองของพวกข้า ผู้ใดจะรู้ว่าคุณหนูรองของพวกข้าไปพระที่นั่งข้างยังไม่กลับมา พวกข้าเห็นว่าอากาศร้อนมาก จึงรั้งเด็กทั้งสองคนให้อยู่ดื่มน้ำบ๊วยเปรี้ยวสักถ้วยหนึ่งก่อน”
นายหญิงรองมองสำรวจสตรีจวนชิงผิงโหวและพวกหวังซีทั้งสองคนเงียบๆ เมื่อไม่เห็นความผิดปกติอะไร จำต้องยอมรับคำอธิบายดังกล่าว ยิ้มกล่าวว่า “ข้าคิดว่าคุณหนูต่างสกุลของพวกข้าสร้างปัญหาอะไรขึ้นเสียอีก” กล่าวอีกว่า “นางยังเด็ก ไม่รู้ความ หากทำอะไรไม่เหมาะสม พวกเจ้าบอกข้าได้ ข้าจะกลับไปรายงานฮูหยินผู้เฒ่า”
คล้ายกับว่านางเป็นคนดื้อรั้นมาก แม้แต่ผู้อาวุโสอย่างนางก็ยังไม่อาจอบรมสั่งสอนได้ก็ไม่ปาน
หวังซีเห็นวิธีเช่นนี้ในเรือนชั้นในมามาก รู้สึกขยะแขยงเล็กน้อย จวนชิงผิงโหวนั้นแม้เป็นคนตรงไปตรงมา ทว่ากลับฟังไม่เข้าใจ กล่าวปกป้องนางว่า “ที่ไหนกัน ที่ไหนกัน คุณหนูต่างสกุลหน้าตางดงาม นิสัยก็ดี พวกข้าล้วนชื่นชอบนางกันทุกคน”
นายหญิงรองยิ้ม พูดถึงเรื่องอื่นขึ้นมา
หวังซีกลับใจลอยไปครู่หนึ่ง
ลู่หลิงจึงใช้ศอกกระทุ้งนางเบาๆ กระซิบกล่าวว่า “พวกเราไปหาพี่สาวสี่ฉังกันเถอะ!”
หวังซีพยักหน้ายิ้มๆ กำลังคิดหาข้ออ้างจากไปอยู่นั้น ก็เห็นข้าราชสำนักสตรีฝ่ายในผู้ที่เคยเป็นตัวแทนฮองเฮาเหนียงเหนียงมาแจ้งข่าวก่อนหน้านี้กำลังเดินอ้อมพระที่นั่งหลักมาทางนี้พอดี
คนที่ยังรั้งอยู่ที่พระที่นั่งชินอานแห่งนี้ต่างเงียบเสียงลง ล้วนแล้วแต่มองนางตาไม่กะพริบ
นางยิ้มน้อยๆ แจ้งข้อความของฮองเฮาเหนียงเหนียงให้ทราบ ความว่าให้ทุกคนย้ายไปชมงิ้วที่ศาลาเชียนชิวด้วยกัน
ทั้งหมดต่างขานรับคำยิ้มๆ มีเหล่านางกำนัลเด็กนำข้อความไปแจ้งต่อให้เหล่าสตรีตราตั้งทั้งหลายที่อยู่ตามสถานที่หย่อนใจแต่ละแห่ง
หวังซีกับลู่หลิงถึงสลัดตัวหนีมาได้ ไปหาคุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวและฉังเคอ
ทั้งสองคนให้อาหารปลาอยู่ที่นั่นอย่างเบื่อหน่าย ให้อาหารปลาจนก่อเกิดมิตรภาพขึ้นมาหลายส่วนจริงๆ
ตอนที่หวังซีกับลู่หลิงมาถึง ทั้งสองคนก็หัวเราะกันอย่างเบิกบาน พูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ
ลู่หลิงเบิกดวงตากว้าง หวังซีเอาแต่หัวเราะ ก้าวออกไปเรียกคนทั้งสอง
ทั้งสองคนเดินเคียงไหล่กันมา ยังหยอกเย้าหวังซีกับลู่หลิงด้วยว่า “พวกเจ้าแอบไปวิ่งเล่นที่ไหนกันมาถึงเพิ่งกลับมาเอาป่านนี้ พวกข้ารอพวกเจ้าอยู่ที่นี่นานมาก ด้านโน้นมีคนเล่นแข่งไขว้ต้นหญ้ากันพวกข้ายังไม่กล้าไปดู กลัวพวกเจ้ากลับมาแล้วจะหาพวกข้าไม่เจอ”
พวกนางขอโทษขอโพยแล้วไปชมงิ้วที่ศาลาเชียนชิว
ฮองเฮาเหนียงเหนียงนั่งเป็นองค์ประธานเรียบร้อยแล้ว คนอื่นๆ ต่างนั่งล้อมฮองเฮาเหนียงเหนียงตามลำดับยศตำแหน่ง สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ องค์ชายรองและคนอื่นๆ ก็นั่งชมการแสดงงิ้วเป็นเพื่อนฮองเฮาเหนียงเหนียงด้วย เพียงแต่ว่าพวกเขานั่งอยู่ตรงชานเรือนแห่งหนึ่งไม่ไกลจากศาลาเชียนชิวนัก หากตั้งใจจริง เพียงเขย่งเท้าก็มองเห็นภาพเหตุการณ์ของทางนี้ได้แล้ว
หวังซีย่นคิ้วขึ้น มองหาเงาร่างของเฉินลั่ว
เฉินลั่วไร้ซึ่งสำนึกของคนเป็นขุนนาง เขานั่งอยู่ข้างองค์ชายรอง ประหนึ่งเป็นแขกสูงศักดิ์ คล้ายกับว่าเหล่าองค์ชายต่างชินกับการจัดที่นั่งเช่นนี้แล้ว นอกจากไม่แสดงความผิดปกติอะไรออกมาแล้ว องค์ชายเจ็ดยังคุยบางอย่างกับเฉินลั่วอย่างเบิกบานอีกด้วย
นี่มันภาพเหตุการณ์อะไรกัน?
หวังซีพยายามขบคิดหาคำอธิบายอยู่ในใจ แต่ก็คิดอะไรไม่ออก จึงไม่คิดมากอีก มองหาคนจวนชิงผิงโหวแทน
ฮูหยินผู้เฒ่าของพวกนางกับฮูหยินผู้เฒ่าของจวนชิ่งอวิ๋นโหวนั่งด้วยกัน ด้านหลังของผู้หนึ่งมีคุณหนูรองอู๋กำลังโบกพัดอยู่ ด้านหลังของอีกผู้หนึ่งมีคุณหนูหกปั๋วกำลังโบกพัดอยู่ ทุกคนพูดคุยกันเสียงเบา ดวงหน้าแต้มยิ้ม คล้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ว่าไม่เห็นนายหญิงเจ็ดของจวนชิงผิงโหว
คนเหล่านี้ช่างใจเย็นจริงๆ
ไม่รู้ว่านางไปไหน จะดึงคุณหนูรองอู๋ออกมาจากเรื่องนั้นได้หรือไม่
หวังซีคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ฮองเฮาเหนียงเหนียงทรงเริ่มเลือกการแสดงแล้ว
นางมองไปรอบๆ
เห็นสตรีที่บังเอิญเจอที่อุทยานหลวงคู่นั้น
ที่นั่งของพวกนางเยื้องออกไปเล็กน้อย ทว่าก็ยังอยู่ในวงล้อมของตระกูลทรงอิทธิพลอยู่
หวังซีมองหานางกำนัลเด็กมากระซิบถามว่าสตรีคู่นั้นคือใคร นางกำนัลผู้นั้นกระซิบตอบยิ้มๆ ว่า “คือฮูหยินชราและฮูหยินของจวนใต้เท้าเหยียนเจิ้ง ผู้ตรวจราชการหมิ่นเจ้อเจ้าค่ะ”
นางตกใจเป็นอย่างมาก
พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มาจริงๆ
คุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวกำลังพูดถึงตระกูลเหยียน พวกนางก็ได้เจอคู่แม่สามีและสะใภ้ของตระกูลเหยียนโดยบังเอิญ
อย่างไรก็ตาม มารดาของเหยียนเจิ้งได้รับการเรียกขานด้วยคำว่า ‘ฮูหยินชรา’ มิใช่ ‘ฮูหยินผู้เฒ่า’ แสดงให้เห็นว่าบิดาของเขายังมีชีวิตอยู่
จำนวนสมาชิกในตระกูลของพวกเขาช่างอุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก
เหยียนฮูหยินเองก็งดงามและอ่อนหวานกว่าที่นางคิดเอาไว้
หวังซีหันไปหาคุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหว
คุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางสตรีจวนเซียงหยางโหวทำให้นางมองหาครู่ใหญ่ถึงหานางเจอ
นางอดเม้มปากยิ้มไม่ได้
ทันใดนั้นมีเสียงอื้ออึงดังมาจากศาลาเชียนชิว เสียงแหลมหนึ่งกล่าวขึ้นว่า “ฮ่องเต้เสด็จ”
ทุกคนต่างตกใจกันอย่างมาก พากันคุกเข่าลงไป
บรรยากาศพลันเปลี่ยนเป็นอึดอัดและแข็งค้าง ทุกคนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง
หวังซีใจเต้นตึกๆ ไม่หยุด รู้สึกว่าจะต้องเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นเป็นแน่
เป็นอย่างที่คาด ซูเฟยเหนียงเหนียงเสด็จมาพร้อมกับฮ่องเต้ด้วย
ฮองเฮา พระสนมและเหล่าองค์หญิงถวายพระพรเสร็จแล้ว ระหว่างที่ทุกอย่างนิ่งเงียบนั้น หวังซีได้ยินซูเฟยเหนียงเหนียงตรัสยิ้มๆ ว่า “ข้าก็ว่าเหตุใดองค์ชายสามกับองค์ชายห้าถึงวิ่งมาที่นี่ ที่แท้เป็นเพราะฮองเฮาเหนียงเหนียงทรงเรียกพบนี่เอง! ข้าเห็นว่าใกล้ถึงฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ตั้งใจจะตัดเสื้อกั๊กให้องค์ชายทั้งสองสักสองตัว หากรู้แต่เนิ่นๆ ว่าพวกเขาต้องมาที่นี่ ข้าคงให้คนของสำนักเย็บปักค่อยมาในอีกสองวันให้หลัง”
เสียงของฮองเฮาเหนียงเหนียงแหบแห้งเล็กน้อย หวังซีฟังแล้วรู้สึกว่าเหมือนเจือความไม่พอใจเอาไว้หลายส่วน ตรัสว่า “วันนี้อากาศดียิ่งนัก เหล่าอาจารย์ที่ห้องเรียนหลวงก็ปล่อยให้พวกเขาได้หยุดกัน ข้าจึงให้พวกเขามาผ่อนคลายด้วย แน่นอนว่าเรียนหนังสือต้องเรียนอย่างคร่ำเคร่งจริงจัง แต่ก็ไม่อาจขังตัวเองอยู่แต่ในห้องเรียน รู้จักแค่เรื่องเรียนหนังสือเท่านั้น”
คิดไม่ถึงว่าชายาเอกและพระสนมของราชวงศ์ก็ขับเคี่ยวทิ่มแทงกันเฉกเช่นเข็มที่ซ่อนอยู่เบาะนั่งเหมือนสามัญชนทั่วไปเหมือนกัน
เห็นได้ชัดว่าสตรีในเรือนชั้นในมีชีวิตอย่างไรนั้น ต้องดูว่าบุรุษโปรดปรานและเข้าข้างฝั่งไหนด้วย
ซูเฟยเหนียงเหนียงกล้ากล่าวเช่นนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะฮ่องเต้ตามใจ
เช่นนั้นหนิงผินพระมารดาขององค์ชายเจ็ดเล่า?
หวังซีอยากเงยหน้าขึ้นมององค์ชายเจ็ดสักครั้งเหลือเกิน แต่นางไม่กล้า หากถูกใครพบเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ ถูกกริ้วขึ้นมาคงยุ่งยากแน่
สุรเสียงของฮ่องเต้ค่อนข้างทุ้มต่ำ ยังฟังดูหดหู่เล็กน้อยด้วย ตรัสขึ้นว่า “เนื่องจากเป็นพระราชวังชั้นใน เหล่าองค์ชายก็แยกย้ายกันเสียเถอะ หากมีเวลา มิสู้ไปฝึกขี่ม้ายิงธนู? ระยะนี้ข้าเห็นฝีมือยิงธนูขององค์ชายรองมีความก้าวหน้าขึ้นอยู่บ้าง แต่ก็อย่าได้นิ่งนอนใจ”
ฮองเฮากับซูเฟย รวมถึงองค์ชายและองค์หญิงทั้งหมดขานรับ “เพคะ/พ่ะย่ะค่ะ” อย่างพร้อมเพรียงกัน
ฮ่องเต้คุยกับหลินอานต้าจ่างกงจู่ เป่าชิ่งจ่างกงจู่และฮูหยินผู้เฒ่าจวนชิ่งอวิ๋นโหวสองสามประโยค จากนั้นก็เสด็จออกไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับตอนเสด็จมา
เหล่าองค์ชายกลับชมการแสดงงิ้วต่อไปไม่ได้อีก ทยอยกันกล่าวอำลาฮองเฮาเหนียงเหนียง ได้ยินว่าไปฝึกขี่ม้าและยิงธนูกันแล้ว ส่วนบรรดาสตรีที่นั่งชมงิ้วอย่างพวกนางนี้แม้นกล่าวว่ายังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้มีเท้าแขนเช่นเดิม ทว่าต่างตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวกันทุกคน ผู้ใดจะยังมีกะจิตกะใจดูงิ้วต่อได้
แม้แต่นักแสดงที่ร้องงิ้วอยู่บนเวที เสียงร้องยังไม่กังวานใสเท่างานเลี้ยงของหวังซีเลยด้วยซ้ำ
งานชมบุปผาที่ฮองเฮาจัดขึ้น จึงจบสิ้นลงอย่างปุบปับด้วยประการฉะนี้
ฉังเคอได้แต่กล่าว “เสียดาย” หวังซีกลับตั้งตารอเจอเฉินลั่ว
โชคดีที่นับวันเฉินลั่วยิ่งกระทำอะไรตรงใจนางมากยิ่งขึ้น
เขามาเคาะหน้าต่างของนางกลางดึก
ตอนแรกหวังซีตกใจมาก ทว่าหลังจากที่เห็นว่าคนที่มาหาคือเขาก็โมโหเหลือเกินที่ไม่สาดน้ำใส่เขาสักครั้งหนึ่ง แต่พอนางนึกถึงความร้อนใจของนางตอนที่ฮ่องเต้เสด็จมา ก็ทำใจสาดออกไปไม่ได้ จำต้องล้างหน้าแต่งตัวใหม่อีกครั้งด้วยอาการง่วงเหงาหาวนอน ไปนั่งคุยกับเขาที่ใต้ซุ้มองุ่น
“เหตุใดเจ้าถึงมาหาข้าเวลานี้” ขณะที่กล่าวนางก็หาวออกมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่ “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า ข้ากับคุณหนูลู่ไปแจ้งข่าวให้จวนชิงผิงโหวทราบตามที่เจ้าบอก! คงไม่ได้ทำให้เจ้าเดือดร้อนไปด้วยหรอกกระมัง”
เนื่องจากฮองเฮาเหนียงเหนียงมีพระประสงค์สู่ขอคุณหนูรองอู๋ให้องค์ชายรอง องค์ชายรองยังไปเจอคุณหนูรองอู๋โดย ‘บังเอิญ’ ด้วย เห็นได้ชัดว่าเห็นด้วยกับการเกี่ยวดองในครั้งนี้ เฉินลั่วทำเช่นนี้ หากฮองเฮาเหนียงเหนียงหรือองค์ชายรองทราบเรื่องเข้า ต้องเคียดแค้นเขาเป็นแน่
เฉินลั่วมองหวังซีด้วยรอยยิ้ม
ท่าทางของนางดูยังไม่ตื่นดีนัก ภายใต้แสงจันทร์ผิวนางขาวยิ่งกว่าหิมะ เส้นผมที่ได้รับการบำรุงรักษาอย่างดีเกล้าเอาไว้หลวมๆ ประหนึ่งว่าขยับอีกนิดก็จะร่วงหล่นลงมาได้ ทำให้คนเห็นแล้วอยากช่วยนางเกล้าผมให้เรียบร้อยอย่างอดไม่อยู่
นิ้วมือของเฉินลั่วคันยุบยิบ แต่สุดท้ายก็ระงับการกระทำที่เสียมารยาทเอาไว้ได้ กล่าวว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนฉลาด แต่ไม่คิดว่าเจ้าจะฉลาดขนาดนี้ ข้าไม่หวังว่าจะหาเจ้าเจอ และไม่ได้คาดหวังว่าเจ้าจะเข้าใจว่าข้าต้องการให้เจ้าทำอะไร…”
ช่างบังเอิญยิ่งนัก นางกำนัลหานางเจอทันเวลา และนางก็เข้าใจเจตนาของเขาได้ในทันที
ตั้งแต่เขาเจอนาง คล้ายกับว่าทุกอย่างเปลี่ยนเป็นราบรื่นไปเสียหมด
รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินลั่วยิ่งเด่นชัดมากขึ้น
หวังซีได้รับคำชมเช่นนี้ หัวใจเบิกบานกว่าปกติ นางกล่าวอย่างมีชีวิตชีวาว่า “นั่นย่อมแน่นอนอยู่แล้ว เจ้าไม่ดูเสียบ้างว่าข้าคือผู้ใด แค่ฟังข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าหมายความว่าอย่างไร”
กล่าวถึงตรงนี้ นางหัวเราะอย่างกระดากอาย กล่าวขึ้นอย่างขัดเขินว่า “อย่างไรก็ตาม ต้องขอบคุณเจ้าที่ทำให้ข้าได้ไปโผล่หน้าให้คนชิงผิงโหวเห็นครั้งหนึ่ง”