พอได้ยินว่าเฉินลั่วมีเรื่องมาขอให้นางช่วย หวังซีพลันตื่นเต็มตาขึ้นมาในทันใด ถามว่า “เรื่องอะไรหรือ”
เฉินลั่วกล่าวยิ้มๆ ว่า “เซียวเหยาจื่อบอกว่า วัดหนานหวามอบตำรับเครื่องหอมให้เจ้าเล่มหนึ่ง พวกข้าอยากขอยืมตำรับเครื่องหอมของเจ้ามาใช้สักครั้งหนึ่ง”
ยืมตำรับเครื่องหอม?
สมองของหวังซีขบคิดอย่างรวดเร็ว ถามขึ้นว่า “เพราะเรื่องของเฉาอวิ๋นใช่หรือไม่”
เฉินลั่วพยักหน้า กล่าวว่า “ตอนนี้มิใช่เรื่องลอกเลียนแบบไม่ลอกเลียนแบบ หรือเรื่องปลอมแปลงไม่ปลอมแปลงแล้ว ตำรับเครื่องหอมที่เซียวเหยาจื่อช่วยส่งต่อมาให้เจ้าเล่มนั้น เป็นของสะสมของวัดหนานหวา บันทึกสูตรเครื่องหอมมีชื่อของราชวงศ์ก่อนเอาไว้มากมาย ทว่าบัดนี้กลับสูญหายไปแล้ว…”
เขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ให้หวังซีฟังอย่างละเอียด
แม้นวัดเจินอู่เอาหลักฐานที่พิสูจน์ว่าเฉาอวิ๋นลอกเลียนแบบมาได้ และฝ่ายร้องเรียนได้ฟ้องร้องไปถึงพระกรรณฮ่องเต้แล้ว แต่ฮ่องเต้มีพระประสงค์จะเก็บวัดต้าเจวี๋ยเอาไว้
“ตลอดหลายปีที่ผ่านมาวัดต้าเจวี๋ยทำอะไรให้ราชวงศ์ไปไม่น้อย” เฉินลั่วประชดประชันเล็กน้อย “อู๋ฮองเฮาที่ถูกปลดในรัชสมัยของจักรพรรดิเซี่ยวจงก็เสียชีวิตที่วัดต้าเจวี๋ย ยังมีหวังไท่เฟยของฮ่องเต้พระองค์ก่อนอีก ก็ฝังพระศพที่วัดต้าเจวี๋ยเช่นกัน”
แค่หลักฐานของวัดเจินอู่เพียงอย่างเดียว ฮ่องเต้ไม่อาจใช้กฎหมายตามอำเภอใจได้ จึงเกริ่นให้สำนักสงฆ์ กรมพิธีการและศาลต้าหลี่ร่วมมือกัน หวังว่าจะจัดการเรื่องนี้จากเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก จากเรื่องเล็กเป็นไม่มีเรื่องได้
วัดต้าเจวี๋ยย่อมไม่มีทางคัดค้านฮ่องเต้อย่างแน่นอน
ระยะนี้ก็ยื้อเวลาออกไปก่อน รอให้กระแสลมเบาบางแล้วค่อยปล่อยตัวเฉาอวิ๋นไป
เฉินลั่วกล่าว “ตอนนี้ดูแล้ว พวกเราคล้ายเดินเข้าไปในซอยตัน ไม่อาจหันกายกลับได้ แต่ธูปหอมในพระตำหนักเฉียนชิงดอกนั้นกลับมีจุดอ่อนอยู่”
กล่าวถึงตรงนี้ เขาหันมายิ้มน้อยๆ ให้หวังซี
รอยยิ้มนั่นสว่างสุกใสยิ่งกว่าแสงจันทร์กลางค่ำคืนเสียอีก ไหนจะเลิกคิ้วขึ้น กล่าวอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “เจ้าว่า หากฮ่องเต้เข้าพระทัยว่าธูปหอมที่หนิงผินถวายให้ดอกนั้นใช้สูตรเครื่องหอมของวัดเจินอู่ทำขึ้นมา ฮ่องเต้จะทรงทำอย่างไร”
“แน่นอนว่าย่อมอยากมีไว้ในครอบครอง!” หวังซีกล่าวโดยไม่ต้องคิด “ต่อไปถ้าจำเป็นต้องใช้อีก ก็ทำขึ้นเองก็ได้แล้ว”
“แค่นี้ยังไม่พอ” เฉินลั่วมองหวังซีอย่างชื่นชม “ยังต้องทำให้ฮ่องเต้รู้ว่า ของเทียมก็คือของเทียม วัดเจินอู่ยังมีสูตรเครื่องหอมที่ดียิ่งกว่านี้อยู่ด้วยถึงจะใช้การได้”
หวังซีกลอกตาไปมาอย่างใช้ความคิดไม่หยุด กล่าวว่า “ซึ่งก็หมายความว่า วัดเจินอู่ต้องการทำธูปหอมคลายกังวลที่หายากกว่านี้ขึ้นมาอีกสักสองสามอย่าง แต่วัดเจินอู่ไม่มีสูตรเครื่องหอม แม้นว่าสูตรเครื่องหอมของท่านหมอเฝิงจะดี แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ต่างไปจากที่เฉาอวิ๋นมีอยู่ในมือ”
ดวงตาเจือรอยยิ้มของเฉินลั่วคล้ายดาวรุ่งบนฟากฟ้า กล่าวอ้อมๆ ว่า “เซียวเหยาจื่อก็แค่ทำเป็นงานอดิเรก ส่วนท่านหมอเฝิงก็เป็นหมอ การทำธูปหอมมิใช่งานหลักของพวกเขา”
หวังซีพลันรู้สึกสนใจตำรับเครื่องหอมในครอบครองของตัวเองเล่มนั้นขึ้นมา กล่าวว่า “ตำรับเครื่องหอมของวัดหนานหวายอดเยี่ยมเพียงนั้นจริงหรือ”
“อื้อ!” เฉินลั่วกล่าว “ธูปหอมของวัดหนานหวาได้รับการขนานนามจากทางใต้ว่าเป็นอันดับหนึ่ง โดยเฉพาะธูปไหว้พระและธูปหอมคลายกังวลของพวกเขา ไม่เช่นนั้นตอนแรกเซียวเหยาจื่อกับพระไห่เทาของวัดหนานหวาจะกลายเป็นสหายสนิทกันได้อย่างไร เพียงแต่ข้าคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะมอบของล้ำค่าขนาดนี้ให้เจ้า เพราะฉะนั้นตอนนี้ได้แต่ต้องมาขอยืมจากเจ้าเท่านั้นแล้ว”
หวังซีไม่เชื่อ จ้องเขาพลางกล่าว “เป็นเพราะวัดหนานหวาอยู่ไกลเกินไป หากพวกเจ้าไปหาพระที่วัดหนานหวาช่วยคัดลอกมาให้คงไม่ทันการแล้วมากกว่ากระมัง”
เฉินลั่วหัวเราะเสียงดังลั่น กล่าวว่า “ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ตาม หลิวจ้งคิดว่า ที่ฮ่องเต้ทรงเข้าข้างวัดต้าเจวี๋ย โดยมากน่าจะเป็นเพราะธูปหอมนี้ ต่อให้หลายปีมานี้วัดต้าเจวี๋ยทำอะไรเพื่อราชวงศ์ไปไม่น้อย แต่ถ้าวัดเจินอู่เป็นคนทำธูปหอมนี้ออกมา นอกจากนี้เพิ่งจะตรวจสอบไปได้ครึ่งหนึ่งเท่านั้น ฮ่องเต้ไม่มีทางตัดสินเรื่องนี้อย่างรวดเร็วเช่นนี้แน่ อย่างไรก็ต้องเรียกอาจารย์ของวัดเจินอู่เข้าวังไปคุยเรื่องวิธีทำให้อายุยืนยาวอย่างแน่นอน…
…ขอเพียงคนของวัดเจินอู่ได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ พวกเราก็มีโอกาสพลิกกระแสน้ำแล้ว”
เอ๋ ที่ปรึกษาอย่างหลิวจ้งผู้นี้เริ่มทำงานเร็วเพียงนี้เชียว
นี่ถือเป็นเรื่องดียิ่ง!
หวังซีพยักหน้าหงึกๆ กล่าวว่า “จริงด้วย นับตั้งแต่โบราณกาลมาที่หมอมีชื่อต่างหันไปนับถือลัทธิเต๋า เพราะลัทธิเต๋ามีวิธีช่วยยืดอายุให้ยืนยาวที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง” นางกล่าวเสร็จก็กำชับให้ไป๋ซู่ไปหาตำรับเครื่องหอมที่วัดหนานหวามอบให้ตัวเองเล่มนั้นออกมา กล่าวกับเฉินลั่วอีกว่า “เจ้าบอกพวกเขาว่าไม่ต้องเป็นห่วงอะไร ใช้ได้ตามสะดวก พวกเขาทำเช่นนี้ ก็ถือเป็นการทำเพื่อตระกูลหวังของพวกข้า และช่วยให้ท่านหมอเฝิงได้ระบายความโกรธแค้นด้วยเช่นกัน พวกเรามีเป้าหมายเดียวกัน ย่อมต้องส่งเสริมซึ่งกันและกันอยู่แล้ว”
เฉินลั่วกล่าวยิ้มๆ ว่า “เซียวเหยาจื่อผู้นี้เป็นคนไม่เลวเลยทีเดียว ทั้งๆ ที่รู้ว่าตำรับเครื่องหอมของวัดหนานหวาเล่มนี้ล้ำค่ามาก วัดหนานหวาให้เขาส่งต่อตำรับเครื่องหอมมาให้เจ้า เขาก็ไม่คัดลอกเก็บไว้ให้ตัวเองฉบับหนึ่ง…”
หวังซีได้ยินแล้วอดถลึงตาใส่เฉินลั่วครั้งหนึ่งไม่ได้ กล่าวว่า “หากเป็นเจ้า เจ้าต้องคัดลอกเก็บเอาไว้หนึ่งฉบับแน่ๆ”
เฉินลั่วหน้าหนาประหนึ่งกำแพงเมือง กล่าวอย่างหน้าไม่อายว่า “แน่นอน ข้าไม่ซ่อนต้นฉบับไว้ก็ถือว่าดีแล้ว”
นี่เป็นสิ่งที่เฉินลั่วทำออกมาได้จริงๆ
บางทีอาจเป็นเพราะเขาดูสงบนิ่งมากเกินไป หวังซีรู้สึกสนุกไปด้วยเล็กน้อย จึงเม้มปากกลั้นยิ้ม
ไป๋ซู่ถือตำรับเครื่องหอมเข้ามาหา
เฉินลั่วพลิกดูคร่าวๆ กล่าวว่า “เซียวเหยาจื่อบอกว่าในนี้มีสูตรเครื่องหอมหลายประเภทที่นอกจากช่วยคลายความกังวลได้แล้ว ยังบรรเทาความเจ็บปวดได้ด้วย แต่ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ ข้าเอาไปแล้วจะให้เซียวเหยาจื่อชี้ให้ข้าดูว่าเป็นสูตรเครื่องหอมชนิดไหน”
หวังซียิ้ม จากนั้นกล่าวกับเขาด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ขอบคุณเจ้ามากใต้เท้าเฉิน หากไม่ได้เจ้า เฉาอวิ๋นคงไม่ถูกจับรวดเร็วขนาดนี้ ยังมีเรื่องวัดเจินอู่อีก เจ้าอย่าพูดว่ายืมตำหรับเครื่องหอมอะไรเลย ความจริงแล้วนี่เป็นธุระของพวกข้า หากเจ้ารู้สึกว่าตำรับเครื่องหอมเล่มนี้มีประโยชน์ เจ้าก็เอาไปเถิด เก็บเอาไว้ที่ข้าก็เป็นได้แค่หนังสือสะสมเล่มหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร”
เฉินลั่วซาบซึ้งใจเล็กน้อย แต่เขาครุ่นคิดแล้วรู้สึกว่าคนข้างกายเขาที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้มีน้อยนัก แทนที่เขาจะเก็บไว้แล้วถูกคนอื่นแอบขโมยไป มิสู้เก็บไว้ที่หวังซี ยามเขาจำเป็นต้องใช้ค่อยมาหยิบยืมดีกว่า
“ค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน!” แต่เขาก็ไม่พูดปิดโอกาส กล่าวว่า “จัดการคดีความตรงหน้านี้ให้เสร็จก่อนค่อยว่ากันอีกที”
หวังซีฟังจากน้ำเสียงนี้เหมือนเขากำลังจะไปแล้ว จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เล่าสิ่งที่ตนกับลู่หลิงได้ยินตอนอยู่หลังพระที่นั่งชินอานให้เฉินลั่วฟัง “แม้นข้ารู้สึกว่าเจ้าไม่มีทางรับปากแต่งงานกับองค์หญิง แต่พวกซือจูอยู่ในที่ลับ เจ้าอยู่ในที่แจ้ง เจ้าคงระแวดระวังศัตรูตลอดพันวันไม่ได้หรอกกระมัง เรื่องนี้อย่างไรเจ้าก็ควรจะหาวิธีจัดการให้เรียบร้อยดีกว่า”
เฉินลั่วฟังแล้วหน้าเคร่ง กว่าครู่ใหญ่ก็ยังไม่กล่าวสิ่งใด
ดูออกว่าเขาอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก
ตามหลักหวังซีพูดถึงตรงนี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่เมื่อหวังซีคิดว่าครอบครัวพวกนางยังต้องร่วมมือกับเฉินลั่วในระยะยาว หากเฉินลั่วได้ภรรยาที่พึ่งพาไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภรรยาที่เป็นสหายสนิทของซือจู นางคอยเป่าหูเฉินลั่วอยู่ข้างหมอน ตนก็ยังต้องอดทนเอาไว้…แค่คิดนางก็รู้สึกว่าร่างกายต่อต้านไปทั้งร่างแล้ว
หวังซีตัดสินใจว่าต่อไปต้องสนใจเรื่องแต่งงานของเฉินลั่วเพิ่มสักหน่อย
นางกล่าว “วันนี้ข้าเห็นเจ้าไปพระที่นั่งชินอานด้วย เจ้าตามเหล่าองค์ชายไปด้วยได้อย่างไร ถัดจากนั้นฮ่องเต้ให้พวกเจ้าไปฝึกขี่ม้ายิงธนู ได้อบรมพวกเจ้าหรือไม่”
เฉินลั่วส่ายศีรษะ ตอบว่า “ฮองเฮาเหนียงเหนียงเรียกพวกข้าไปอย่างกะทันหัน จวนชิงผิงโหวน่าจะหาวิธีส่งข่าวไปให้ซูเฟยเหนียงเหนียง ซูเฟยเหนียงเหนียงเป็นคนพาฮ่องเต้เสด็จไป ส่วนเรื่องงานแต่งของข้า มันไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น”
ส่วนเรื่องไม่ง่ายดายอย่างไรนั้นเขาไม่ได้บอก หวังซีนึกถึงเฉินอิง ก็เลยไม่ได้เอ่ยอะไรเช่นกัน
เฉินลั่วกลับเอ่ยขึ้นว่า “ข้ามีแผนการสำหรับเรื่องนี้แล้ว ข้าจะจัดการอย่างรอบคอบ”
หวังซีใคร่รู้ยิ่งนัก ไล่ถามว่าเขาเตรียมการจะจัดการอย่างไร
“คนแซ่เฉาผู้นั้นคือราชบุตรเขยที่สำนักกิจการภายในหามาให้นาง นางคิดว่าจะสลัดทิ้งได้อย่างง่ายดายหรือ” ตอนกล่าวถ้อยคำนี้เฉินลั่วดูน่ากลัวเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าสำนักกิจการภายในได้รับผลประโยชน์จากคนแซ่เฉาผู้นี้มาแล้วกี่มากน้อย หากไม่สำเร็จ ไม่รู้ว่ามีคนจำนวนเท่าไรที่ต้องสูญเสียไปด้วย ต่อให้ซูเฟยเหนียงเหนียงออกหน้าให้ยังไม่มีประโยชน์
นอกเสียจากฮ่องเต้เป็นคนออกคำสั่ง
หวังซียิ่งอยากรู้มากขึ้น ถามว่า “คนแซ่เฉาผู้นั้นเป็นคนเช่นไร”
“เป็นตระกูลที่ตกต่ำแล้วตระกูลหนึ่ง” เฉินลั่วกล่าวอย่างไม่ยี่หระ “หน้าตาไม่เลวนัก แล้วก็พูดเก่ง เป็นบุตรชายคนรองของครอบครัว ครอบครัวคาดหวังว่าเมื่อเขาแต่งกับองค์หญิงแล้วจะได้โบยบินขึ้นสู่สรวงสวรรค์ไปด้วย!”
คนเช่นนี้เป็นราชบุตรเขยได้ด้วยหรือ
หวังซีกล่าวอย่างไม่เข้าใจว่า “พวกข้าคัดเลือกบุตรเขยยังเข้มงวดมากกว่านี้!”
เฉินลั่วกล่าวอย่างใจลอยว่า “ราชบุตรเขยไม่ได้รับอนุญาตให้แทรกแซงเรื่องในราชสำนัก ต่อให้สถานะครอบครัวดีกว่านี้ก็สู้ราชวงศ์ไม่ได้ การมีชีวิตอย่างสงบสุขได้ต่างหากที่สำคัญ”
หวังซีมองเฉินลั่วครั้งหนึ่ง
ราชบุตรเขยไม่ได้รับอนุญาตให้แทรกแซงเรื่องในราชสำนัก ถ้าหากเฉินลั่วแต่งองค์หญิง มิเท่ากับว่าเป็นการสละสิทธิ์ในการสืบทอดตำแหน่งเจิ้นกั๋วกงหรอกหรือ
ถ้าคนเป็นลุงอย่างฮ่องเต้รักหลานชายอย่างเฉินลั่วผู้นี้ด้วยใจจริง การให้เขาแต่งกับองค์หญิงก็เป็นถนนให้เดินเส้นหนึ่งได้เช่นกัน
แต่เขากลับให้เฉินลั่ววนเวียนอยู่ในโคลนตมอย่างจวนเจิ้นกั๋วกงแห่งนี้มาโดยตลอด
ยังเรียกเฉินลั่วว่า ‘หลินหลาง[1]’ อะไรนั่นอีก แต่นางกลับมองไม่เห็นความโปรดปรานเลยแม้แต่นิดเดียว
เฉินลั่วมองใบหน้าของนางที่เต็มไปด้วยอารมณ์หลายหลากนั่นแล้ว ต้องทนฝืนเอาไว้ถึงไม่เอามือปิดหน้าแล้วส่งเสียงหัวเราะออกมา
เขาเองก็เพิ่งจะตระหนักถึงหลักความจริงข้อนี้ได้ไม่นานมานี้เอง
ขอเพียงเขาเข้าใจในวันที่ยังไม่สายเกินไปก็พอ
เฉินลั่วรู้สึกว่าเวลานี้แสงจันทร์ช่างงดงามนัก การพูดเรื่องไร้สาระพวกนี้ถือเป็นการทำให้บรรยากาศเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ จึงอดที่จะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “ตระกูลอู๋น่าจะกำหนดเรื่องหมั้นหมายให้คุณหนูรองอู๋ในไม่ช้า เจ้าเตรียมของขวัญออกเรือนให้นางเสียตั้งแต่ตอนนี้ก็ได้”
หวังซีตะลึงงัน กล่าวว่า “เร็วเพียงนี้เชียว!”
เฉินลั่วยิ้มกล่าว “ไม่ถือว่าเร็ว หากข้าเป็นชิงผิงโหว คงกำหนดเรื่องหมั้นหมายให้คุณหนูรองอู๋ไปนานแล้ว ตอนนี้สายเกินไปเล็กน้อยด้วยซ้ำ หมั้นหมายกับออกเรือนหาใช่เรื่องเดียวกัน!”
หวังซีเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
ไม่กี่วันถัดมา ก็มีข่าวเรื่องหมั้นหมายของคุณหนูรองอู๋แพร่ออกมาจริงๆ
นางแต่งกับบุตรชายของแม่ทัพผู้หนึ่งเช่นเดียวกับพี่สาวของนาง
แม่ทัพผู้นี้กับชิงผิงโหวเป็นสหายสนิทที่ออกรบด้วยกันมาหลายสิบปี บุตรชายคนโตของเขานอกจากรูปร่างหน้าตาโดดเด่นแล้ว ยังเก่งเรื่องออกศึกทำสงครามมาตั้งแต่เด็ก ชิงผิงโหวถูกใจเขามาตั้งนานแล้ว เพียงแต่รู้สึกว่าบุตรสาวยังเล็ก กลัวว่านิสัยของพวกเด็กๆ ยังไม่มั่นคง อยากดูอีกสักสองสามปี ไม่คิดว่าดูไปดูมาเกือบจะเป็นเรื่องเสียแล้ว
ลู่หลิงที่นำเทียบเชิญมาส่งให้หวังซีนั่งอยู่ใต้ซุ้มองุ่นของสวนร่มหลิว กินถั่วเขียวต้มเม็ดบัวและไป่เหอที่ไป๋กั่วยกมาให้อย่างมีความสุขแล้วก็กล่าวขึ้นว่า “พี่เขยคนใหม่แซ่เฮ่อ ปีนี้อายุยี่สิบ เห็นว่าทางโน้นรีบร้อนอยากอุ้มหลาน อีกทั้งต้องไปเฝ้าระวังที่ชายแดนบ่อยๆ จึงอยากจัดการเรื่องงานแต่งให้แล้วเสร็จก่อนปีใหม่ อีกห้าวัน พี่เขยเฮ่อก็จะไปวางของหมั้นที่ตระกูลอู๋แล้ว อาสะใภ้เจ็ดให้ข้ามาชวนเจ้าไปดูความครึกครื้นด้วย”
หวังซีตอบรับอย่างยินดี ตอนเย็นวิ่งไปที่กำแพง พาดตัวอยู่บนกำแพงคุยกับเฉินลั่ว “พวกเขาทำเช่นนี้ คงไม่ทำให้ฮ่องเต้กริ้วหรอกกระมัง”
“นั่นก็ต้องดูว่าฮ่องเต้ทรงคิดอย่างไรแล้ว!” เมื่อครู่เฉินลั่วกำลังฝึกยิงธนูอยู่ จู่ๆ ก็ถูกหวังซีโยนหินใส่อย่างกะทันหัน หลังจากหายประหลาดใจแล้วก็รู้สึกว่าเหมือนตัวเองจะลืมอะไรบางอย่างไปอยู่ตลอด “เจ้าได้รับรางวัลตอบแทนจากจวนชิงผิงโหวแล้ว แต่รางวัลของข้ากลับไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด”
“หมายความว่าอย่างไร” หวังซีถาม
เฉินลั่วตอบ “ด้านจวนชิ่งอวิ๋นโหวยังคงไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวใดๆ ข้ายังรอให้พวกเขามาขอบคุณข้าอยู่!”
“หรือจะเป็นการพยายามหัวแหลมแต่กลายเป็นเพลี่ยงพล้ำของพวกเขา?” หวังซีกล่าว “ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นความคิดของชิ่งอวิ๋นโหวตั้งแต่แรกแล้วก็เป็นได้ เจ้าอย่ามองพวกเขาฉลาดเกินไป”
……………………………………………………………..
[1] หลินหลาง อัญมณีอันมีค่า
ตอนต่อไป