เฉินลั่วพยักหน้า มองหวังซีที่พาดตัวอยู่บนกำแพงด้วยรอยยิ้ม นางเกล้าผมเอียง ข้างมวยผมปักดอกไม้ทำจากผ้าต่วนสีชมพูเกสรสีเหลืองเอาไว้ดอกหนึ่ง มองเขาด้วยสีหน้าทะเล้นซุกซน ทำให้เขาเป็นห่วงว่าดอกไม้ดอกนั้นจะร่วงหล่นลงมา อยากช่วยขยับให้นางเหลือเกิน
นิ้วมือเขาคันยุบยิบ ไม่ง่ายเลยกว่าจะระงับความปรารถนาในใจเอาไว้ได้ กล่าวขึ้นว่า “ข้ายังติดหนี้มื้ออาหารเจ้าอยู่อีกหนึ่งมื้อ เจ้าอยากไปกินข้าวที่สะพานศิลาขาวสักมื้อหนึ่งหรือไม่ ถือเป็นการแสดงความยินดีที่หลิวจ้งย้ายบ้านใหม่ด้วยพอดี”
หวังซีหาได้มีความประทับใจอะไรต่อหลิวจ้ง ทว่าชอบอาหลีมาก
นางกล่าว “มีอะไรอร่อยให้กินบ้าง”
เฉินลั่วคิด พลางกล่าว “ไก่ขอทานนับว่าใช้ได้หรือไม่ ไม่นานมานี้ข้าได้ลองกินอาหารจานใหม่มา รู้สึกว่าใช้ได้”
หวังซีไม่เคยได้ยินมาก่อน ถามว่า “อะไรคือไก่ขอทาน”
“ใช้ใบบัวห่อและพอกด้านนอกเอาไว้ด้วยดินเหนียว จากนั้นอบด้วยไม้สน” ขณะที่เฉินลั่วกล่าวก็นึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ตนเรียกพ่อครัวมาสอบถามว่าอาหารจานนี้ทำอย่างไรตอนที่สือเหล่ยชวนตนไปกินข้าวขึ้นมา ฉับพลันนั้นก็รู้สึกเบิกบานขึ้นมาเล็กน้อย “ในตัวไก่ยัดไส้ด้วยหัวของต้นหัวลูกศร ข้าวเหนียว เนื้อแกะและผงพริกต่างๆ”
หวังซีคิดตาม กล่าวว่า “อาหารจานนี้ต้องไม่มีอะไรพิเศษเป็นแน่ เนื้อแกะกลิ่นแรงเกินไป ไม่สู้ยัดลูกไก่ใส่ท้องแกะไปเลยยังจะดีกว่า!”
เฉินลั่วหัวเราะออกมา กล่าวว่า “เจ้ากล่าวได้ถูกต้องแล้วจริงๆ รสชาติของไก่ธรรมดาสามัญยิ่ง แต่ข้าวเหนียวและหัวของต้นหัวลูกศรที่ยัดไส้อยู่ด้านในไม่แย่นัก”
หวังซีฟังแล้วรู้สึกสนใจขึ้นมาในทันใด กล่าวว่า “พวกเราปรับเปลี่ยนบางอย่างได้ พ่อครัวผู้นั้นไม่ได้เป็นคนคิดค้นอาหารจานนี้ขึ้นมาเป็นแน่ เขาน่าจะฝึกทำมาจากที่อื่น”
เฉินลั่วไม่ได้ถามข้อนี้ ตรงกันข้ามมันทำให้เขานึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา เขาเอ่ย “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าฝึกยิงธนูอยู่ที่นี่”
สีหน้าของหวังซีแข็งค้างเล็กน้อย
โชคดีที่มีความมืดช่วยปกปิดเอาไว้ เฉินลั่วจึงเห็นไม่ชัดเจนนัก
หวังซีหัวเราะพลางกล่าว “มิใช่ว่าข้ามีกล้องส่องทางไกลหรือ คุณหนูรองอู๋หมั้นหมาย ทำเอาข้าตกใจไปครั้งใหญ่ ข้าร้อนใจอยากมาคุยกับเจ้า แต่ต้องรอถึงพรุ่งนี้ ด้วยความเบื่อหน่ายจึงใช้กล้องส่องทางไกลลองส่องดูไปเรื่อยๆ ไม่คิดว่าจะเจอเจ้ากำลังฝึกยิงธนูอยู่ตรงนี้”
ช่องโหว่นี้น่าจะทำให้คนรู้สึกตกใจ แต่นางกลับลอบรู้สึกยินดีอยู่ในใจ
โชคดีที่ได้เปิดเผยตัวเองภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เสียก่อน ทำให้หาเรื่องมาอธิบายได้ เห็นได้ชัดว่าเฉินลั่วไม่รู้ว่าตอนนั้นผู้ใดเป็นคนแอบสอดส่องเขา
หัวใจที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายอย่างตึงเครียดของนางผ่อนคลายลงมาได้ รอยยิ้มบนใบหน้าจึงดูหวานหยดย้อยเป็นพิเศษ ดวงหน้าประดับไว้ด้วยความร่าเริงยินดีหลายส่วน นอกจากจะรีบมัดเรื่องของตัวเองให้แน่นแล้ว ยังโยนข้อสงสัยกลับไปแทน ถามเฉินลั่วว่า “ดึกขนาดนี้แล้ว เหตุใดเจ้ายังฝึกยิงธนูอยู่ตรงนี้อีก นี่ไม่น่าใช่เวลาที่เหมาะกับการฝึกยิงธนูกระมัง งานอดิเรกของเจ้าช่างแปลกประหลาดนัก”
“อย่างนั้นหรือ” เฉินลั่วมองนาง ในแววตามีความพินิจพิจารณาวาบผ่าน
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเป็นคนของจวนหย่งเฉิงโหว
และคนที่น่าสงสัยที่สุดของจวนหย่งเฉิงโหวก็คือฉังที่สาม
เขากับพี่ชายใหญ่ของตนท่านนั้นมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวนัก และพี่ชายใหญ่ของตนท่านนั้นก็ดูเหมือนร้อนใจทนรอต่อไปไม่ได้แล้ว
แต่เขารู้ระดับความกล้าหาญของฉังที่สามดี…ยังมีกล้องส่องทางไกลกระบอกนั้นกับดาบเก้าห่วงเล่มใหญ่ที่หายไปเล่มนั้นอีก…
เฉินลั่วยิ้มน้อยๆ นึกถึงเรื่องที่มารดาเรียกเขาไปรับมื้ออาหารด้วย ถามเขาว่าอยากแต่งกับสตรีเช่นไร
เดิมทีภายใต้ผิวทะเลสาบที่ดูเงียบสงบก็มีวงศ์ปลาช่อนแหวกว่ายอยู่มากมายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว งานชมบุปผาของฮองเฮาเหนียงเหนียงเป็นเสมือนการโยนหินก้อนมหึมาลงไปในทะเลสาบ ก่อให้เกิดคลื่นน้ำจำนวนมหาศาล และยังกระตุ้นความดุร้ายของปลาเหล่านี้ขึ้นมาอีกด้วย
องค์ชายที่ถึงวัยแต่งงานกับตระกูลชั้นสูง รวมถึงตระกูลทรงอิทธิพลต่างขยับตัวออกมา บ้างก็ถูกบีบบังคับ บ้างก็สมัครใจกระโจนลงสนามแข่งขันครั้งนี้ด้วยตัวเอง
งานแต่งของเขาก็ไม่เป็นข้อยกเว้น
แต่เดิมเขาคิดว่าเมื่อถึงวัยอันควรเขาจะแต่งงานกับสตรีที่ฐานะเหมาะสมกัน แล้วใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปตลอดชีวิตก็พอ
แต่ตอนที่มารดาเขาเอ่ยถามเขา จู่ๆ ในหัวของเขาก็ปรากฏภาพใบหน้าแดงปลั่ง ดวงตาสุกสกาว สายตาเจือรอยยิ้มของหวังซีขึ้นมา
เขาถึงกับไม่รู้จะตอบมารดาของเขาอย่างไรดีไปชั่วขณะ
จ่างกงจู่เข้าใจผิดคิดว่าบุตรชายของตัวเองเขินอาย ดวงหน้าฉายความขมขื่นออกมาให้เห็นเล็กน้อย กล่าวว่า “หลินหลาง ชีวิตของข้าชีวิตนี้ ไม่ว่าจะเป็นงานแต่งครั้งแรกหรือครั้งหลังล้วนไม่ได้เลือกตามใจตัวเอง จงฉวยโอกาสตอนที่ข้ายังพูดจามีน้ำหนักต่อเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้นี้ เลือกสตรีที่เจ้าชอบ และนางก็ชอบเจ้าเหมือนกัน คนที่ไม่ว่าจะยากดีมีจนก็ยินดีอยู่เคียงข้างเจ้าไปตลอดชีวิตมาเป็นภรรยาก็พอ ข้าไม่ขออะไรอย่างอื่นอีก”
เขารู้ว่ามารดามีเพื่อนชายคนสนิทมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่ว่าจะเป็นเขาหรือมารดา ล้วนไม่เคยคุยกันด้วยหัวข้อสนทนาเช่นนี้มาก่อน
เขารู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก
ในรอยยิ้มขมขื่นของจ่างกงจู่มีความไร้ซึ่งหนทางเจืออยู่ กล่าวว่า “ตอนแรกที่ข้าแต่งเข้าตระกูลจินเป็นเพราะเสด็จลุงของเจ้าไร้ที่พึ่ง แม้แต่ของใช้รายเดือนยังถูกผู้อื่นยักยอก แม้นตระกูลจินไม่ใช่ตระกูลทรงอิทธิพล แต่ดีร้ายก็ทำงานอยู่ในกองพลส่วนพระองค์ เป็นด่านหน้าปกป้องเสด็จลุงของเจ้าได้บ้าง โชคดีที่ตระกูลจินเป็นคนจงรักภักดี ดูแลข้าและเสด็จลุงของเจ้าอย่างเต็มความสามารถ…
…ส่วนบิดาของเจ้า เสด็จลุงของเจ้าขอร้องให้ข้าแต่งงานด้วย…
…ตอนนั้นตระกูลปั๋วรุ่งโรจน์และทรงอิทธิพล ท่านโหวผู้เฒ่าเป็นผู้มีความสามารถไร้คนเทียมทาน เดิมทีเสด็จลุงของเจ้าไม่อยากให้ฮองเฮาให้กำเนิดบุตรชายหญิง แต่เกิดเหตุไม่คาดคิด ฮองเฮาเหนียงเหนียงตั้งพระครรภ์ ยังให้กำเนิดโอรสด้วย เสด็จลุงของเจ้ากลัวว่าท่านโหวผู้เฒ่าจะเก็บบุตรกำจัดบิดา ข้าถึงต้องแต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกง…
…เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าบิดาของเจ้าจะละโมบโลภมาก ได้ผลประโยชน์แล้วแต่ยังไม่รู้จักพอ”
กล่าวถึงตรงนี้จ่างกงจู่ก็แสยะยิ้มเย็น ทว่าก็ไม่อยากให้บิดาของบุตรชายดูแย่เกินเยียวยาขนาดนั้น จึงยั้งเอาไว้ ไม่กล่าวถ้อยคำไม่น่าฟังมากกว่านี้ออกมาอีก แต่กล่าวว่า “อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเจ้าถูกใจผู้ใด ข้าจะช่วยสู่ขอกลับมาให้เจ้า ทางด้านฮ่องเต้กับฮองเฮาเจ้าไม่ต้องกังวลใจ”
ความหมายโดยนัยก็คือ ต่อให้เขาถูกใจคุณหนูรองอู๋ นางก็มีวิธีทำให้จวนชิงผิงโหวยกคุณหนูรองอู๋ให้แต่งกับเขาได้
แต่การแต่งงานเป็นเรื่องง่ายดายขนาดนั้นเชียวหรือ
ผู้ใดจะรู้ว่าใครชอบใคร และใครจะครองคู่กับใครจนแก่เฒ่าได้?
ตอนนั้นเฉินลั่วค่อนข้างว่างเปล่าคิดอะไรไม่ออก
เมื่อกลับถึงศาลากวางร้อง จะนั่งก็ไม่ใช่จะยืนก็ไม่ใช่ ตอนแรกอยากไปฝึกรำกระบี่ที่ป่าไผ่ แต่นึกถึงก่อนหน้านี้ที่มีคนแอบสอดส่องเขาขึ้นมา จึงเปลี่ยนเป็นฝึกยิงธนูอย่างกะทันหันแทน คิดว่าครั้งนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่กล้าสอดส่องเขาอีก เขาจะยิงธนูข้ามไปโดยไม่สนว่าคนผู้นั้นเป็นใครในจวนหย่งเฉิงโหว
บางทีเขาอาจคิดซับซ้อนเกินไป
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเฉินอิง แล้วก็ไม่เกี่ยวข้องกับจวนหย่งเฉิงโหวด้วย
เขานึกถึงหวังซีที่วิ่งไปวัดเจินอู่เพียงลำพัง นึกถึงตอนที่นางยอมรับคำกล่าวหาเลื่อนเปื้อนของปั๋วหมิงเย่ว์ที่สวนป่าในงานวันคล้ายวันเกิดของมารดาเขา
ทั่วทั้งจิงเฉิงนี้ เกรงว่าคงหาสตรีที่ใจกล้าบ้าบิ่นมากกว่านางไม่เจอแล้วกระมัง
เขาไม่อยากบอกนางว่าเหตุใดตนถึงมาฝึกยิงธนูที่นี่ จึงตอบพอเป็นพิธีว่า “ไม่ได้รับของขวัญขอบคุณจากจวนชิ่งอวิ๋นโหว ข้ารู้สึกจิตใจไม่ค่อยสงบนัก”
เรื่องนี้สำคัญกว่า!
หวังซีไหนเลยจะยังมีกะจิตกะใจเถียงกับเฉินลั่วด้วยเรื่องอื่นอีก รีบกล่าวขึ้นว่า “งานหมั้นของคุณหนูรองอู๋ คุณหนูหกปั๋วย่อมไปร่วมงานด้วย ถึงเวลาข้าจะช่วยสืบความมาให้เจ้าเอง!”
เฉินลั่วหลุดหัวเราะ กล่าวว่า “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ คุณหนูหกปั๋วจะรู้อะไร ต่อให้นางรู้จริงๆ ก็ไม่มีทางบอกเจ้าหรอก!”
“การสืบคืออะไร” หวังซีกล่าวอย่างไม่พอใจ “แน่นอนว่าต้องเป็นการแอบถามอย่างอ้อมๆ สอดแนมอย่างระมัดระวัง คิดว่าข้าจะลากคุณหนูหกปั๋วไปถามตรงๆ ว่านางรู้หรือเปล่าว่าฮองเฮาเหนียงเหนียงทรงกระทำผิดอะไรบ้างอย่างนั้นหรือ”
เฉินลั่วหัวเราะเสียงดังอีกครั้งหนึ่ง ไม่ใส่ใจกับท่าทีของนางนัก กล่าวว่า “เช่นนั้นข้าจะรอข่าวดีจากคุณหนูหวังก็แล้วกัน”
“เจ้าคอยดูข้าเถอะ!” หวังซีเต็มไปด้วยความมั่นใจ ปีนลงบันไดกลับไปนอนหลับพักผ่อน
เฉินลั่วมองกำแพงที่ไร้ซึ่งเงาร่างของคน อยากรู้เหลือเกินว่าดาบของตนเล่มนั้นไปอยู่ที่ไหน ถ้าหากเขาเอาดาบมาปักไว้อีกเล่มหนึ่ง จะยั่วยุให้คนมาดึงดาบไปอีกหรือไม่?
***
วันงานหมั้นเล็กของคุณหนูรองอู๋ จวนหย่งเฉิงโหวมีเพียงหวังซีและฉังเคอเท่านั้นที่ได้รับเทียบเชิญ ยังได้รับเชิญในฐานะสหายสนิทของคุณหนูรองอู๋อีกด้วย หลังจากที่นายหญิงรองทราบเรื่องแล้วก็โกรธมาก พูดต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าว่า “หลายปีมานี้นับวันจวนชิงผิงโหวก็ยิ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาแล้ว”
นายหญิงเจ็ดจวนชิงผิงโหวคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าต้องมีคนไม่พอใจ แต่นางไม่คิดจะเสวนาหรือไกล่เกลี่ยกับใครบางคนอยู่แล้ว ตอนให้คนนำเทียบเชิญมาส่งให้จึงแจ้งว่า “ฝ่ายเจ้าบ่าวเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านโหวของพวกข้า ท่านโหวไม่อยากให้จัดงานใหญ่โต สินเจ้าสาวของคุณหนูรองก็จัดตามของคุณหนูใหญ่ เตรียมเอาไว้เพียงสามสิบหกคนหามเท่านั้น ในงานวันหมั้นเล็กเช่นนี้ นอกจากคนในครอบครัวแล้ว ก็เชิญเพียงสหายสนิทของคุณหนูรองเท่านั้น รอให้ถึงวันออกเรือนของคุณหนูรอง พวกข้าค่อยรบกวนทุกท่าน”
ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกว่าเหมาะสมแล้ว นายหญิงรองยุแยงไม่สำเร็จ ยังถูกฮูหยินผู้เฒ่าตักเตือนด้วยว่า “เงินทองของบ้านไหนลอยมากับสายลมบ้าง พี่ชายน้องชายในรุ่นของชิงผิงโหวก็มีถึงยี่สิบสามสิบคนแล้ว มีปีไหนบ้างที่พวกเขาไม่ตบแต่งบุตรสะใภ้ นี่หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น คงประคับประคองต่อไปไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ ก็แค่งานหมั้นเล็กเท่านั้น ให้พวกนางพี่น้องได้ออกไปเที่ยวเล่นและเปิดหูเปิดตาบ้าง จวนชิงผิงโหวไม่เหมือนพวกเรา พวกเขาสนิทสนมกับกรมกลาโหม รองเสนาบดีกรมกลาโหมนั้นไม่อาจพูดได้ แต่เหล่าฮูหยินของหัวหน้างานและเสมียนเหล่านั้นย่อมไปร่วมงานด้วย หากเป็นแม่สื่อให้หลานสี่ของพวกเราได้ก็ไม่เลวเลย”
ยังให้ซือหมัวมัวนำความไปแจ้งฉังเคอเป็นพิเศษว่าให้นางแต่งกายให้งดงาม นางจะเป็นคนออกเงินค่าตัดชุดและทำเครื่องประดับให้เอง
ทำเอานายหญิงรองโมโหจนแทบจะล้มลงไปเลยทีเดียว
หวังซีกับฉังเคอรู้เรื่องแล้วก็ดีใจมีความสุขเหลือจะกล่าว จับมือกันไปจวนชิงผิงโหว
วันนี้เป็นวันหมั้นเล็กของคุณหนูรองอู๋ พวกนางย่อมไม่อาจทำตัวโดดเด่นกว่าเจ้าภาพ แม้นฮูหยินผู้เฒ่าบอกให้พวกนางแต่งกายให้งดงาม แต่พวกนางผู้หนึ่งสวมสีเขียวผู้หนึ่งสวมสีฟ้า เป็นการแต่งกายอย่างน่ารักน่าเอ็นดูตามแบบฉบับของเด็กสาวทั่วไปเท่านั้น นายหญิงเจ็ดมองแล้วรู้สึกชอบใจ พาพวกนางไปที่ห้องของคุณหนูรองอู๋ด้วยตัวเอง ให้การต้อนรับพวกนางแตกต่างจากตอนที่พวกนางมาร่วมงานวันคล้ายวันเกิดของนายหญิงเจ็ดเมื่อคราวก่อนอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งสองคนอดยิ้มให้กันไม่ได้ รู้ว่าคงได้อานิสงส์มาจากเรื่องที่เอาข่าวไปแจ้งให้จวนชิงผิงโหวตอนอยู่วังหลวงในวันนั้น ทั้งสองคนย่อเข่าทำความเคารพนายหญิงเจ็ดอย่างพร้อมเพรียงกัน กล่าวขอบคุณยิ้มๆ แล้วเลิกผ้าม่านขึ้น เดินเข้าไปที่ห้องรองทางทิศตะวันออก
เมื่อถึงฤกษ์มงคล จะมีผู้เปี่ยมไปด้วยพรทุกประการจากฝ่ายเจ้าบ่าวมาปักปิ่นให้คุณหนูรองอู๋ ญาติจากฝ่ายหญิงและฝ่ายชายล้วนนั่งชมอยู่ในห้องด้วย ฉากกั้นต่างๆ ในห้องจึงถูกเก็บออกไปทั้งหมด สมบัติบนชั้นวางก็ถูกเปลี่ยนเป็นกระถางไม้ประดับทำจากหยกแทน ภายในห้องดูกว้างและปลอดโปร่งแต่ก็ไม่ขาดบรรยากาศของความหรูหราแต่อย่างใด
“น้องสาวหวังกับน้องสาวฉังมาแล้ว!” คุณหนูรองอู๋สวมชุดเพ่ยจื่อสีแดงสดทั้งตัว เส้นผมสีดำขลับมวยเป็นทรงก้นหอยเดี่ยว ไม่สวมเครื่องประดับอะไร นั่งอยู่บนเตียงเตาตัวใหญ่ข้างหน้าต่างกล่าวทักทายทั้งสองคนด้วยใบหน้าแดงเรื่อ
“พี่สาวรอง!” ทั้งสองก้าวออกไปทำความเคารพนาง
ตามหลักแล้ว ก่อนที่ผู้เปี่ยมไปด้วยพรทุกประการจะปักปิ่นที่ฝ่ายชายส่งมาให้ นางไม่อาจลงจากเตียงเตาได้
ยิ่งไปกว่านั้นวันนี้นางคือบุคคลที่สำคัญที่สุด
สาวใช้ข้างกายของคุณหนูรองอู๋เป็นตัวแทนนางทำความเคารพหวังซีและฉังเคอ
ลู่หลิงที่มาถึงก่อนพวกนางดึงทั้งสองคนไปนั่งลงบนเก้าอี้กุหลาบด้านข้าง
หวังซีกับฉังเคอถึงได้พบว่ารอบกายคุณหนูรองอู๋ยังมีคุณหนูหกปั๋ว คุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวและคนอื่นๆ นั่งอยู่ด้วย
“พวกเจ้าสองพี่น้องมาสายที่สุดแล้ว” คุณหนูหกปั๋วกล่าวยิ้มๆ “น่าเสียดายที่ไม่มีสุรา ไม่อย่างนั้นต้องลงโทษพวกเจ้าสักสามจอกถึงจะใช้ได้”
หวังซียกถ้วยชาในมือขึ้นมา กล่าวว่า “เช่นนั้นใช้ชาแทนสุรา พวกข้าขอลงโทษตัวเองสักสามถ้วย ได้หรือไม่”
………………………………………………………………..
ตอนต่อไป