หวังซีเป็นคนสบายๆ และตรงไปตรงมา คนที่นั่งล้อมอยู่ข้างกายคุณหนูรองอู๋ต่างก็เม้มปากกลั้นยิ้มกัน
ในจำนวนนั้นมีเด็กสาวอายุสิบสองสิบสามปีผู้หนึ่งดึงนางกับฉังเคอไปนั่งข้างๆ กล่าวแนะนำตัวเองว่า “ข้าเป็นญาติต่างสกุลของตระกูลอู๋ ข้าแซ่ถาน ในบ้านเป็นคนลำดับที่สี่”
ลู่หลิงกล่าวเสริมมาจากด้านข้างว่า “นางเป็นหลานสาวจากตระกูลเดิมของนายหญิงเจ็ด”
แม้นไม่รู้ว่าตระกูลถานเป็นคนเช่นไร แต่แค่เห็นเรื่องที่นายหญิงเจ็ดทำก็รู้แล้วว่าเป็นผู้มีความสามารถ คุณหนูสี่ถานผู้นี้ทำอะไรก็ดูสบายๆ เป็นธรรมชาติ หวังซีย่อมยินดีทำความรู้จักนาง
ระหว่างที่หลายๆ คนคุยกันอยู่นั้น มีผู้อาวุโสของตระกูลอู๋เข้ามาเยี่ยมคุณหนูรองอู๋ พวกนางทั้งกลุ่มจึงพากันเดินไปที่ห้องรองฝั่งตะวันตก
คุณหนูหกปั๋วเข้ามานั่งกับหวังซี เอ่ยกับนางก่อนว่า “ช่วงนี้เจ้ายุ่งอยู่กับอะไรบ้าง กลางเดือนเจ็ดพวกข้าวางแผนจะไปเที่ยววัดหลิงกวงกัน เจ้าไปกับพวกข้าด้วยดีหรือไม่”
หวังซีนึกถึงการช่วงชิงตำแหน่งรัชทายาท กอปรกับคำพูดที่สื่อเป็นนัยถึงการระแวดระวังตัวของคุณหนูหกปั๋วตอนที่เจอกันครั้งแรก จึงไม่อยากสนิทสนมกับจวนชิ่งอวิ๋นโหวมากเกินไป ได้ยินเช่นนั้นจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าน่าจะไปกับจวนหย่งเฉิงโหว จึงไม่อาจรับปากเจ้าในเวลานี้ได้”
คุณหนูหกปั๋วกลับดูไม่ยอมรามือหากไม่บรรลุเป้าหมาย กล่าวว่า “ไอโย ถึงเวลาให้จวนหย่งเฉิงโหวร่วมทางไปกับพวกข้าด้วยก็ได้แล้ว หากเจ้าไม่กล้าพูด ข้าจะขอให้พี่สะใภ้ใหญ่ของพวกข้าไปพูดให้ ปีนี้วัดหลิงกวงน่าจะจัดงานวัดอย่างครึกครื้น นอกจากมีปล่อยโคมไฟแล้ว ยังมีหุ่นกระบอกเงา และเชิญพระมีชื่อจากทางใต้มาแสดงธรรมด้วย ถึงเวลาร้านขนมและของหวานชื่อดังต่างๆ ของจิงเฉิงล้วนไปตั้งร้านขายอยู่หน้าวัดหลิงกวงทั้งสิ้น โอกาสเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง ไม่ไปถือว่าน่าเสียดายเกินไปแล้ว”
คุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวได้ยินแล้วก็ขยับเข้ามาใกล้ กล่าวว่า “พวกข้าก็ได้รับเทียบเชิญจากวัดหลิงกวงแล้วเช่นกัน ยังให้พระต้อนรับแขกมาแจ้งเรื่องนี้เป็นพิเศษอีกด้วย ถึงเวลาพวกเราจะได้ไปเที่ยวชมวัดหลิงกวงด้วยกัน”
คุณหนูสี่ถานยิ้มน่ารัก กล่าวว่า “วัดต้าเจวี๋ยกับวัดเจินอู่เหมือนนกกับหอยทะเลาะกัน แล้ววัดหลิงกวงเหมือนคนตกปลาที่ซ่อนตัวรอฉวยผลประโยชน์อยู่ด้านหลัง ลงแรงจัดงานเทศกาลวันสารทจีนของปีนี้อย่างยิ่งใหญ่ คาดว่าตอนนี้เจ้าอาวาสวัดต้าเจวี๋ยคงกำลังกระอักเลือดอยู่”
มีคุณหนูต่างสกุลของตระกูลอู๋อีกท่านหนึ่งถามขึ้นว่า “พระเฉาอวิ๋นผู้นั้นเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ข้าได้ยินท่านแม่ข้าเล่าว่า เขาไม่เพียงขโมยตำรับเครื่องหอมของผู้อื่นเท่านั้น ยังเคยสังหารคนเพื่อให้ได้ครอบครองตำรับเครื่องหอมนี้อีกด้วย เสียดายที่เมื่อก่อนข้าคิดว่าเขาเป็นพระที่มีคุณธรรมสูงส่ง นอกจากซื้อเครื่องหอมของเขาแล้ว ยังบริจาคเงินค่าธูปเทียนให้วัดต้าเจวี๋ยเป็นจำนวนมากด้วย ท่านแม่ข้าบอกว่า ไม่ว่าท้ายที่สุดผลจะเป็นอย่างไร ก็ไม่อาจไปวัดต้าเจวี๋ยได้แล้ว พวกเขาปกป้องพระสงฆ์เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าก็มิใช่คนจิตใจดีอะไร”
นี่นับเป็นถ้อยคำที่น่าฟังที่สุดที่หวังซีได้ยินในวันนี้
นางพยักหน้าหงึกๆ กล่าวว่า “เหตุผลข้อนี้ถูกต้องยิ่ง” ยังยุแยงผู้อื่นต่อว่า “ข้าไม่รู้ว่าผู้อื่นคิดอย่างไร แต่สำหรับข้า แค่คิดว่ามือของเฉาอวิ๋นผู้นั้นอาจเปื้อนเลือดของผู้อื่นมาก่อน ข้าก็รู้สึกขนลุก ไม่กล้ามองตรงๆ แล้ว ต่อไปข้าไม่มีทางไปวัดต้าเจวี๋ยอีกแน่นอน”
แต่ก็มีเด็กสาวตั้งข้อสงสัยเช่นกัน เอ่ยขึ้นว่า “ไม่แน่ว่าเฉาอวิ๋นไต้ซืออาจถูกคนใส่ร้ายก็เป็นได้”
“เหตุใดต้องใส่ร้ายเขาด้วย” หวังซีพยายามสาดโคลนใส่เฉาอวิ๋นอย่างสุดกำลัง “หากบอกว่าทำเพื่อสูตรเครื่องหอม สูตรเครื่องหอมของวัดเจินอู่เยี่ยมยอดกว่าอีกกระมัง! เพราะผู้อื่นเป็นผู้ละทางโลก จึงไม่อยากประชันขันแข่งกับเขาก็เท่านั้น แต่เขากลับดีเหลือเกิน ขโมยสูตรเครื่องหอมของผู้อื่นไปแล้วยังไม่ทำตัวดีๆ กลับป่าวประกาศไปทั่วทุกที่ คล้ายกลัวผู้อื่นไม่รู้ว่าเขาทำเครื่องหอมเป็น เจ้าจะให้คนที่สูตรเครื่องหอมถูกขโมยไปเหล่านั้นคิดอย่างไร วัดต้าเจวี๋ยก็เหมือนกัน เป็นวัดวาอารามของราชวงศ์ ก็ควรจะทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีของเหล่าพระสงฆ์ แต่พวกเขาช่างดีเหลือเกิน วัดเจินอู่ไปหาถึงที่ พวกเขายังปฏิเสธไม่ยอมรับอยู่ตรงนั้น อาศัยว่าพวกเขาเป็นวัดของราชวงศ์ จึงไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา ผู้ละทางโลกยังมีจิตใจเช่นนี้ หากพวกเรายังไปจุดธูปบริจาคค่าธูปเทียนให้วัดต้าเจวี๋ยอยู่อีก มิเท่ากับว่าเป็นการสนับสนุนความโอหังของวัดต้าเจวี๋ยหรอกหรือ”
“เจ้ากล่าวได้มีเหตุผลยิ่ง” คุณหนูหกปั๋วกล่าวรับคำของนางอย่างยิ้มแย้ม “เพราะฉะนั้นปีนี้พวกเราล้วนไม่ไปวัดต้าเจวี๋ย แต่ไปวัดหลิงกวงแทนก็แล้วกัน คุณหนูหวังเจ้าพูดเองว่าไม่อาจให้การสนับสนุนความโอหังของวัดต้าเจวี๋ย เช่นนั้นอย่างไรเจ้าก็ต้องไปสนับสนุนวัดหลิงกวงสักครั้ง ให้ผู้อื่นรู้ว่าต่อให้ไม่มีวัดต้าเจวี๋ยก็ยังมีวัดหลิงกวงอยู่!”
คนอื่นๆ ต่างพยักหน้าหงึกๆ หวังซีกลับรู้สึกระแวดระวังตัวขึ้นมา รู้สึกว่าคุณหนูหกปั๋วตั้งใจล่อหลอกให้ตนไปวัดหลิงกวงอย่างโจ่งแจ้งเกินไป คล้ายกำลังวางแผนอะไรอยู่ก็ไม่ปาน
***
ปิ่นที่ตระกูลเฮ่อส่งมาให้เป็นปิ่นทองสมดังปรารถนาชิ้นหนึ่ง เป็นทองบริสุทธิ์ ไม่ฝังมุกหรือหยกใดๆ ตอนที่ผู้เปี่ยมไปด้วยพรทุกประการของตระกูลเฮ่อช่วยปักปิ่นให้คุณหนูรองอู๋ ปิ่นชิ้นนั้นเกือบจะไถลตกลงมาแล้ว ดูออกว่าเป็นปิ่นที่มีน้ำหนักมาก
เป็นของจริงและเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ
คุณหนูรองอู๋หน้าแดงจนคล้ายจะหลั่งโลหิตออกมาได้
ผู้เปี่ยมไปด้วยพระทุกประการของฝั่งตระกูลอู๋เชิญคนตระกูลเฮ่อออกไปนั่งในงานเลี้ยงด้านนอก เหล่าสตรีที่ชมพิธีการอยู่ในห้องต่างถอนใจอย่างโล่งอก พากันกล่าวหยอกเย้าคุณหนูรองอู๋
คุณหนูหกปั๋วกระซิบกล่าวกับหวังซีว่า “งานแต่งถูกกำหนดให้ตรงกับวันที่สิบหลังเทศกาลล่าปา[1] คิดไม่ถึงว่าสองอู๋จะรีบร้อนขนาดนี้”
นางมีท่าทางสลดหดหู่เล็กน้อย หวังซีเดาว่านางคงกำลังคิดถึงงานแต่งของตัวเองอยู่ นางลอบหยั่งเชิงคุณหนูหกปั๋ว “แล้วเจ้าเล่า? งานแต่งของเจ้ามีเค้าลางอะไรบ้างหรือยัง ข้าได้ยินพวกเขาพูดกันว่า ที่จวนของพวกเจ้า คนที่ถึงวัยออกเรือนมีเพียงเจ้ากับคุณชายเจ็ดปั๋วเท่านั้น เด็กผู้ชายยังพูดง่าย แต่เด็กผู้หญิงนั้นต้องรอบคอบพิถีพิถันกว่า ช่างยุ่งยากจริงๆ!”
ประโยคสุดท้าย เสียงของนางเบาลงเรื่อยๆ คล้ายเสียงพึมพำ ทอดถอนใจด้วยท่าทางเหนื่อยใจเล็กน้อย
ครั้งนี้คุณหนูหกปั๋วถอนหายใจยาวออกมาอย่างไม่ปิดบัง กล่าวว่า “เรื่องเช่นนี้ไม่อาจทำตามใจปรารถนาได้ ได้แต่ต้องรอการจัดเตรียมของผู้ใหญ่เท่านั้นแล้ว!”
หวังซีถือโอกาสเอ่ยถึงเรื่องสมรสขององค์ชายรองขึ้นมา “จะมาหารือกับคนของพวกเจ้าหรือไม่ ข้ารู้สึกว่าฮ่องเต้ไม่ค่อยใส่พระทัยเรื่องนี้สักเท่าไร หรือว่าบุรุษล้วนเป็นเช่นนี้กันทุกคน ตอนที่พี่ชายใหญ่ของข้าถึงวัยออกเรือน ท่านพ่อของข้าก็ไม่ว่าอะไรสักอย่าง ท่านแม่ข้าเป็นภรรยาที่แต่งเข้ามาใหม่ อีกทั้งเพิ่งแต่งเข้าบ้านมาไม่นาน ได้แต่รู้สึกร้อนใจอยู่ในใจเท่านั้น ฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเจ้าต้องร้อนใจมากเหมือนกันเป็นแน่”
รอยยิ้มของคุณหนูหกปั๋วดูฝืดฝืนเล็กน้อย ไม่ได้กล่าวรับคำพูดของนาง แต่เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเสียดื้อๆ กล่าวว่า “เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ที่ต้องกังวลใจ พวกเราดูแลตัวเองให้ดีได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว อย่ากังวลใจไปเลย”
หากมิใช่เพราะอยากรู้ว่าจวนชิ่งอวิ๋นโหวคิดอย่างไร หวังซีย่อมไม่ถามเรื่องพวกนี้ นางยู่ปาก ตัดสินใจติดตามอยู่ข้างกายคุณหนูหกปั๋วต่อไป จะได้หาโอกาสถามเรื่องสมรสขององค์ชายรองอีกครั้ง
เพียงแต่ว่าหลังจากนั้นคุณหนูหกปั๋วก็ดูเหมือนพยายามหลบเลี่ยงนาง นางจึงไม่มีโอกาสได้คุยกับคุณหนูหกปั๋วตามลำพัง หลังจากรับประทานอาหารที่งานเลี้ยงเสร็จแล้ว นางถูกนายหญิงเจ็ดพาไปหาชิงผิงโหวฮูหยินผู้เฒ่าเพียงคนเดียว คารวะฮูหยินผู้เฒ่าเสร็จก็อยู่คุยกับนางอีกครึ่งค่อนวัน ถึงได้เดินทางกลับจวนพร้อมกับฉังเคอ
ฉังเคอยังหยอกเย้านางว่า “เหตุใดฮูหยินผู้เฒ่าถึงพบเจ้าเพียงคนเดียว คงมิใช่เป็นเพราะถูกใจเจ้าหรอกกระมัง ข้าจะบอกอะไรเจ้า จวนชิงผิงโหวมีบุรุษจำนวนมาก ลำดับเรียงยาวไปถึงสามสิบกว่า นอกจากซื่อจื่อของพวกเขาแล้ว คนอื่นๆ ข้าล้วนแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร”
หวังซีตกใจมาก ทว่าฝีปากก็ไม่ปรานีผู้คน กล่าวว่า “ข้าว่าที่เจ้าแยกออก ต้องเป็นเพราะอาภรณ์ของซื่อจื่อแตกต่างจากของผู้อื่นมากกว่ากระมัง”
ฉังเคอหัวเราะคิก
ไม่คาดคิดว่าทางด้านหวังซีไม่มีความเคลื่อนไหวใด แต่อีกด้านหนึ่งกลับมีคนไปขอร้องฮูหยินของสือเหล่ย ผู้บังคับบัญชากองพลทองคำซ้าย ช่วยเป็นแม่สื่อไปทาบทามสตรีของจวนหย่งเฉิงโหว และคนที่ต้องการทาบทามคือฉังเคอที่ทุกคนต่างคิดไม่ถึงอีกด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินข่าวนี้แล้วโพล่งออกมาว่า “เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า เหตุใดถึงเป็นเจ้าสี่มิใช่เจ้าสาม?”
ไม่ต้องพูดถึงนาง แม้แต่โหวฮูหยินเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน
ตระกูลที่สือฮูหยินเป็นแม่สื่อให้แซ่หวง ปู่เคยดำรงตำแหน่งผู้ว่าการสองมณฑลของสองเจียง รุ่นของบิดามีอาสอบผ่านจิ้นซื่อหนึ่งคน บัดนี้เป็นเจ้าพนักงานธุรการอยู่ที่หกกรม บิดาของคุณชายหวงเป็นบุตรชายคนโต ดูแลกิจการของตระกูลอยู่ที่บ้าน คุณชายหวงเป็นบุตรชายคนเดียว ได้เป็นซิ่วไฉตั้งแต่อายุยังน้อย
“ตระกูลหวงมาขอร้องข้าให้ช่วยเป็นแม่สื่อให้” สือฮูหยินเองก็งงงวยเช่นกัน พวกเขากับจวนหย่งเฉิงโหวไม่สนิทกัน นางมาเป็นแม่สื่อครานี้ก็เป็นไปอย่างขลุกขลัก “อาจเป็นเพราะผู้อาวุโสของตระกูลหวงไปเห็นคุณหนูสี่ของพวกท่านจากที่ไหนสักแห่ง รู้สึกว่าเหมาะสม จึงขอร้องให้ข้ามาเยี่ยมเยียนพวกท่านเป็นพิเศษ”
โหวฮูหยินได้ยินแล้วรู้สึกพึงพอใจ ขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊แตกต่างกันอย่างชัดเจน ขุนนางฝ่ายบุ๋นไม่ค่อยเห็นขุนนางฝ่ายบู๊อยู่ในสายตาเท่าไรนัก แต่ถ้าผูกสัมพันธ์กับขุนนางฝ่ายบุ๋นได้ จะมีคุณไม่น้อยต่ออาชีพการงาน อย่างตระกูลซือ ก็เพราะปีนั้นได้รับความโปรดปรานจากอวี๋จงอี้ ถึงรุ่งโรจน์ขึ้นมาอีกขั้น หลังจากได้เป็นแม่ทัพใหญ่ของต้าถงแล้วก็ยังได้เป็นแม่ทัพใหญ่ของอวี๋หลินอีก อยู่ชายแดนแอบยักยอกการจัดเก็บภาษีจนมือชาหมดเรี่ยวแรง
ไม่ต้องพูดถึงฮูหยินผู้เฒ่าเลย ฝ่ายชายมาทาบทามถึงบ้านด้วยตัวเอง ยังมีเรื่องให้ได้หน้าได้ตามากกว่านี้อีกหรือ
ทั้งสองคนส่งสือฮูหยินกลับออกไปแล้วก็รีบเรียกนายหญิงสามมาหาอย่างกระตือรือร้น
นายหญิงสามพึงพอใจกับการเกี่ยวดองครั้งนี้เป็นอย่างมาก เล่าให้สามีฟังด้วยความสุขล้น คิดคำนวณว่าต้องเตรียมสินเจ้าสาวให้บุตรสาวเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อยถึงจะดี
นายท่านสามย่อมดีใจมากเช่นกัน แต่ไม่นานเขาก็สงบใจลงมาได้ กล่าวว่า “ตระกูลหวงดีขนาดนี้ เหตุใดถึงมาถูกใจอาเคอของพวกเราได้ ข้าว่าเจ้าอย่าเพิ่งดีใจเร็วเกินไป ควรไปสืบที่มาที่ไปของคุณชายหวงผู้นี้ให้ละเอียดก่อนดีกว่า”
นายหญิงสามฟังแล้วค่อยๆ สงบใจตามลงมาด้วย
บรรดาสามบ้านที่รั้งอยู่ในจวนหย่งเฉิงโหว พวกเขาอ่อนแอที่สุด ตระกูลหวงถูกใจพวกเขาที่อะไร?
โชคดีที่ตระกูลหวงเป็นคนเทียนจิน นายท่านสามไปจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ไม่กี่วันก็สืบข่าวมาได้
“เป็นอย่างที่สือฮูหยินกล่าวเอาไว้” นายท่านสามกับนายหญิงสามอยู่ในเรือนกินแตงไปด้วย หารือเรื่องนี้ไปด้วย “เป็นทั้งตระกูลบัณฑิตและตระกูลกสิกรรมมาหลายต่อหลายรุ่น แต่ก็มีมรดกอยู่บ้าง คุณชายหวงมีพี่สาวห้าถึงหกคน เพื่อให้ได้บุตรชายแล้ว บิดาของเขายังเคยรับอนุมาหนึ่งคนอีกด้วย เขาเป็นบุตรชายที่มาถือกำเนิดช้า ตอนอยู่ในครรภ์มารดาค่อนข้างอ่อนแอ แต่หลายปีมานี้ได้รับการฟูมฟักอยู่ในเรือนของนายหญิงผู้เฒ่าของพวกเขา ข้าหาโอกาสเจอหน้าเขาครั้งหนึ่ง หน้าตาเปล่งปลั่งสุขภาพดี ไม่ได้ข่าวว่ามีท่านหมอเข้าออกบ้านแต่อย่างใด ดูแล้วน่าจะได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดี…
…นอกจากนี้ในเรือนก็สะอาดหมดจด ว่ากันว่านายหญิงผู้เฒ่าบอกเอาไว้ เด็กวัยรุ่นไม่อาจให้กระทำตัวเหลวไหลเพราะอาจส่งผลกระทบต่อหลานชายได้ เด็กผู้นั้นก็เชื่อฟัง ตั้งหน้าตั้งตาเรียนหนังสือ กตัญญูต่อนายหญิงผู้เฒ่าเป็นที่สุด สำหรับพี่สาวที่ออกเรือนไปแล้วก็ดูแลเอาใจใส่เช่นกัน…
…ข้าดูแล้วการดองกันครานี้ไม่เลวเลยจริงๆ!”
นายท่านสามตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้ายเสร็จแล้ว นายหญิงสามก็กลับไปให้คำตอบฮูหยินผู้เฒ่า
เวลานี้ เรือนชั้นในของจวนหย่งเฉิงโหวต่างทราบเรื่องกันหมดแล้ว
คุณหนูพานมากล่าวแสดงความยินดีกับฉังเคอเป็นคนแรก
พอฉังเคอได้ยินว่าคุณชายหวงผู้นั้นอายุน้อยกว่านางสามเดือน ก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย วิ่งไปคุยกับหวังซีเป็นการส่วนตัว “เขาจะคิดว่าข้าแก่กว่าเขาหรือไม่ เจ้าว่า ข้าควรตัดชุดที่ดูอ่อนวัยสักสองสามชุดหรือไม่”
หวังซีเติบโตมากับผู้อาวุโสในบ้านมาตั้งแต่เด็ก ได้ยินได้ฟังเรื่องจิปาถะต่างๆ ในบ้านมาแล้วไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร และท่านย่าของนางก็จัดการเรื่องเหล่านี้มาแล้วไม่รู้ตั้งกี่มากน้อย นางรู้สึกว่าการเกี่ยวดองครั้งนี้ถือว่าพอใช้ได้ แต่สิ่งสำคัญคือในบ้านมีสตรีมากเกินไป เห็นได้ชัดว่าคุณชายหวงผู้นี้เติบโตขึ้นมาจากการเลี้ยงดูของสตรี
แต่เหล่าผู้อาวุโสของจวนหย่งเฉิงโหวต่างคิดว่าดี ฉังเคอเองก็ดูเหมือนจะตั้งความคาดหวังเอาไว้มาก นางเองก็รู้สึกว่าเจ้าตัวคือคนที่ต้องใช้ชีวิตของตัวเอง จึงไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ขบคิดอย่างละเอียดและถามฉังเคอว่า “เจ้าคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างสะใภ้กับแม่สามีสำคัญกว่า หรือความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาสำคัญกว่า?”
…………………………………………………………………………
[1] เทศกาลล่าปา จัดขึ้นในวันขึ้น 8 ค่ำเดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติของจีน เป็นเทศกาลบูชาบวงสรวงเทพเจ้าและบรรพบุรุษ หลังจากเก็บเกี่ยวพืชผลในช่วงฤดูใบไม้ร่วง และเก็บตุนผลผลิตในช่วงฤดูหนาว โดยผู้คนจะเข้าป่าไปล่าสัตว์มาเป็นเครื่องสังเวยเซ่นไหว้ ซึ่งคำว่า 腊 (ล่า) อันเป็นชื่อของพิธีกรรมบวงสรวงเทพเจ้านี้ มีรากศัพท์มาจากคำว่า 猎 (เลี่ย) ที่แปลว่า การล่าสัตว์ ส่วนคำว่า 八 (ปา) นี้ หมายถึงเทพเจ้าแปดองค์ที่กราบไหว้ในเทศกาลล่าปา ในวันนี้ผู้คนจะต้มโจ๊กล่าปาทานกัน โดยนำข้าว ธัญพืช ถั่วและผลไม้แห้งต่างๆ ที่เก็บเกี่ยวมาต้มเป็นโจ๊ก นำไปเซ่นไหว้เทพเจ้าและบรรพบุรุษ และแบ่งให้เพื่อนบ้าน ก่อนที่จะรับประทานกันภายในครอบครัว
ตอนต่อไป