ฉังเคอตอบโดยไม่ต้องคิดว่า “แน่นอนว่าความสัมพันธ์ระหว่างสะใภ้กับแม่สามีย่อมสำคัญกว่า”
แม่สามีเป็นคนดูแลเรือนชั้นใน แม้แต่พ่อสามียังไม่มีสิทธิ์สอดมือเข้ามายุ่งตามใจชอบได้ นับประสาอะไรกับคนเป็นบุตรชาย นอกจากนี้บุตรสะใภ้อยู่ในเรือนชั้นใน ต้องสุงสิงกับแม่สามีทุกวัน ส่วนสามีกลับเรียนหนังสือหรือไม่ก็จัดการธุระอยู่ข้างนอก หากแม่สามีไม่ชอบ ก็ไม่รู้ว่าชีวิตจะยากลำบากเพียงใด
หวังซีกล่าว “เช่นนั้นก็ต้องแต่งกายให้น่ารักดูเป็นคนเชื่อฟังสักหน่อย ผู้อาวุโสล้วนชื่นชอบเด็กสาวที่น่ารักและเชื่อฟังกันทั้งนั้น”
ยิ่งไปกว่านั้นการแต่งงานเป็นคำสั่งของบิดามารดาและการชักนำของแม่สื่อ
ฉังเคอพยักหน้า
ไม่นานตระกูลหวงก็หาข้ออ้างมาดูตัวฉังเคอ ด้วยการไปจุดธูปไหว้พระที่วัดหลิงกวง
หวังซีกลัวไปแย่งความโดดเด่นของฉังเคอ วันนั้นจึงไม่ไปด้วย โหวฮูหยินกับนายหญิงสามไปเป็นเพื่อนฉังเคอ
ฉังเคอกลับมาดูผิดหวังเล็กน้อย กระซิบกล่าวกับหวังซีว่า “เหตุใดข้าถึงรู้สึกราวกับว่าข้ากำลังดูตัวกับน้องชายผู้หนึ่งอยู่ เขาผิวขาวเนียนละเอียดมาก เวลาพวกเรายืนอยู่ด้วยกัน ข้าไม่เหมือนคนที่แก่กว่าเขาสามเดือน แต่เหมือนคนแก่กว่าเขาสามปีมากกว่า”
เด็กสาวโตเร็วกว่าเด็กชาย ต่อไปจะไม่เหมือนเป็นมารดาของเขาไปแล้วหรอกหรือ
ฉังเคอกังวลใจเหลือจะกล่าว
หวังซีเอาแต่หัวเราะไม่หยุด กล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าก็แต่งกายให้ดูอ่อนเยาว์สักหน่อย”
ฉังเคอหันไปกลอกตาขาวใส่นาง แต่ก็บอกนางว่า “ครั้งนี้วัดหลิงกวงเตรียมการอย่างยิ่งใหญ่ ตอนข้าไป นอกวัดสร้างกระต๊อบเล็กๆ แบบเดียวกันเอาไว้ ดูแล้วให้ความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน วิหารน้อยใหญ่ภายในวัดก็ทำการปัดฝุ่นทำความสะอาดทั้งหมด ดูสะอาดใหม่เอี่ยมอ่อง ช่วงเทศกาลวันสารทจีน พวกเราเองก็ไปดูความครึกครื้นด้วยกันเถอะ!”
หวังซียังไม่ได้ตัดสินใจ ช่วงนี้นางกำลังคิดเรื่องไปเป็นแขกที่สะพานศิลาขาวอยู่
คาดว่าคงต้องพาแม่ครัวไปด้วย ต้องรู้ให้ได้ว่าอาหารชื่อไก่ขอทานจานนั้นทำอย่างไรกันแน่
นางกำลังคิดว่าควรไปที่นั่นในวันสารทจีนวันนั้นเลยดีหรือไม่ สตรีจวนหย่งเฉิงโหวต้องไปวัดแน่ๆ นางจะอ้างว่าไปหาท่านหมอเฝิง ฮูหยินผู้เฒ่าไม่น่าจะว่าอะไร
นายหญิงสามกลับช่วยเตรียมสินเจ้าสาวให้ฉังเคออย่างตั้งอกตั้งใจ
เมื่อมีบุตรสาว ปกติก็เริ่มเตรียมสินเจ้าสาวให้บุตรสาวตั้งแต่นางถือกำเนิดมาแล้ว แต่คู่หมายของฉังเคอในครั้งนี้ดีมาก นายหญิงสามกลัวว่าฝั่งนั้นจะรังเกียจฉังเคอ จึงคิดว่าควรเพิ่มสินเจ้าสาวให้มากหน่อย ต่อไปเมื่อบุตรสาวแต่งไปแล้วจะได้ยืดหลังได้บ้าง นางจึงพยายามลงแรงทั้งหมดที่มี ถึงแม้จะเป็นการเตรียมสินเจ้าสาวตามธรรมเนียมปฏิบัติของจวนโหวเวลาบุตรสาวออกเรือนที่เตรียมแค่หกสิบสี่คนหามเท่านั้นก็ตาม แต่เกรงว่าของที่เตรียมก็ต้องอัดแน่นจนสอดมือเข้าไปไม่ได้ถึงจะใช้การได้ จึงทำให้มองข้ามความไม่สบายใจของฉังเคอไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อถึงวันสารทจีน หวังซีไปสะพานศิลาขาว ส่วนฉังเคอไปวัดหลิงกวงกับฮูหยินผู้เฒ่าและคนอื่นๆ
เฉินลั่วเตรียมไก่ขอทานเอาไว้รับรองหวังซี
หวังซีไปดูที่ห้องครัวครั้งหนึ่ง ค้นพบว่าอาหารที่มีชื่อเรียกว่าไก่ขอทานนั้นมีกรรมวิธีการทำที่คล้ายคลึงกับไก่แปดขุมทรัพย์ที่นางเคยกินจานนั้นเป็นอย่างมาก นางกับเฉินลั่วนั่งยองอยู่ในห้องครัวปรับเปลี่ยนวัตถุดิบไปกว่าครึ่งค่อนวัน สุดท้ายตัดสินใจว่าจะยัดไส้ในท้องไก่ด้วยหมูสามชั้น เห็ดหอม และหน่อไม้ฝาน จากนั้นพอกด้วยดินเหลืองแล้วนำไปอบ
“จะต้องอร่อยว่าไส้เนื้อแกะอย่างแน่นอน” หวังซีลุกขึ้น รู้สึกว่าขาชาเล็กน้อย นางทุบขาไปด้วยกล่าวไปด้วยว่า “คนที่ชวนพวกเจ้าไปกินไก่ขอทาน ต้องเป็นเพราะอยากหาโอกาสฉกฉวยผลประโยชน์อย่างแน่นอน เนื้อแกะมีกลิ่นเป็นเอกลักษณ์ จะทำเป็นไส้ยัดเข้าไปในท้องไก่ได้อย่างไร”
ตอนที่นางอยู่ในห้องครัวอาหลีก็นั่งน้ำลายไหลไม่หยุดอยู่บนธรณีประตูของห้องครัว ได้ยินเช่นนั้นไม่รอให้เฉินลั่วเอ่ยปากพูดก็ตะโกนพูดกับหวังซีก่อนว่า “ท่านน้าหวัง ไก่นี้ดูน่าอร่อยเหลือเกิน! เมื่อไรพวกเราถึงจะกินไก่ได้หรือขอรับ”
หลิวจ้งไม่รู้จะทำอย่างไร ลูบศีรษะของอาหลีอย่างรักใคร่ กล่าวกับหวังซีอย่างขออภัยว่า “คุณหนูหวัง เจ้าอย่าถือสาเลย เขาชอบกินไก่มาตั้งแต่เด็ก พอเห็นไก่ก็จากไปไหนไม่ได้แล้ว”
นักชิมชอบเวลาพานพบกับนักกินเป็นที่สุด ถึงแม้ไม่อาจเรียกอาหลีว่า ‘นักกิน’ แต่จิตวิญญาณของคนชอบกินอันแรงกล้านี้ ทำให้หวังซีรู้สึกชื่นชอบเป็นอย่างมาก
นางหันไปโบกมือให้หลิวจ้ง อุ้มอาหลีขึ้นมา กล่าวว่า “ความสุขประเภทนี้ แน่นอนว่ามีเพียงข้ากับอาหลีเท่านั้นที่เข้าใจ”
อาหลีไม่เข้าใจความหมายของหวังซีเท่าไรนัก แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความโปรดปรานของหวังซีที่มีต่อเขา
เขาหัวเราะคิก ร่าเริงมากเป็นพิเศษ ใบหน้าเปื้อนยิ้มแสนบริสุทธิ์นั่น ทำให้เฉินลั่วอดยกยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากตามไปด้วยไม่ได้ กล่าวว่า “ไม่นานก็กินได้แล้ว ถึงเวลานั้นน่องไก่ทั้งสองน่องล้วนเป็นของเจ้าทั้งหมด”
อาหลีพยักหน้าด้วยความดีใจ
ปกติแล้วหวังซียกของหนักที่สุดก็แค่ถ้วยเท่านั้น อุ้มอาหลีได้ครู่หนึ่งก็รู้สึกว่าอุ้มต่อไปไม่ไหวแล้ว ราวกับมือยกเหล็กไว้ เด็กน้อยค่อยๆ ไถลลงสู่เบื้องล่าง
หลิวจ้งหมายจะเข้าไปรับ ทว่าเฉินลั่วกระโดดออกไปก่อน อุ้มอาหลีมาจากมือของหวังซี ยังกล่าวกับหวังซีด้วยว่า “อากาศร้อนมาก เจ้าเข้าไปกินองุ่นในเรือนเถอะ!”
ทุกครั้งที่เฉินลั่วมาสะพานศิลาขาวล้วนเคร่งขรึมดุดัน อาหลีรู้สึกกลัวเขาเล็กน้อย แต่เมื่อไรที่เขาเป็นกันเองขึ้นมา ใบหน้าที่ไม่ว่ามองมาจากมุมไหนก็ดูหล่อเหลาไร้ที่ตินั่นกลับทำให้คนรู้สึกประทับใจได้อย่างง่ายดาย แม้อาหลียังเด็กก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
เขากล่าวเสียงดังว่า “ต้องกินซากั่ว[1]ด้วย!”
ช่วงนี้เป็นฤดูกาลของซากั่วพอดี จึงมีคนเอามาขายในซอยอยู่เสมอ
เฉินลั่วเป็นคนไม่ตามใจเด็ก ไม่ได้กล่าวอะไร เป็นหวังซีที่ยิ้มตาหยีตอบในทันทีว่า “ได้เลย! ข้าจะให้พวกไป๋กั่วไปซื้อซากั่ว เจ้าชอบกินแบบหวานๆ หรือว่าชอบกินแบบเปรี้ยวๆ มากกว่า? แบบเปรี้ยวหน่อยๆ เอามาทำผลไม้กวนได้ โรยผงน้ำตาลข้างบน รสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆ อร่อยมากเหมือนกัน”
อาหลีฟังแล้วก็กลืนน้ำลาย กล่าวเสียงดังว่า “ข้าอยากกินผลไม้กวน”
ไป๋กั่วกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าจะไปคนไปทำให้เดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” แล้วก็ออกจากห้องครัวไปอย่างรวดเร็ว
เฉินลั่วไม่ค่อยชอบเด็กนัก หากมิใช่เพราะเห็นว่าหวังซีอุ้มแล้วต้องใช้เรี่ยวแรงมาก เขาก็ไม่มีทางไปรับมาอย่างแน่นอน บัดนี้เห็นหลิวจ้งยืนอยู่ข้างๆ เขา จึงส่งตัวเด็กน้อยไปให้หลิวจ้ง กล่าวว่า “พวกเราไปนั่งในเรือนกันเถอะ”
หลิวจ้งนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในระยะนี้ขึ้นมา รับอาหลีมาอุ้มไว้พร้อมกับพยักหน้ารับยิ้มๆ ทุกคนไปนั่งใต้ซุ้มองุ่นที่ลานหลัก
หวังซีถึงได้มีเวลามองสำรวจบ้านหลังนี้
เปรียบเทียบกับตอนที่นางมาที่นี่เมื่อคราวก่อนแล้ว ในบ้านไม่เพียงมีต้นไม้ดอกไม้เพิ่มเข้ามาเท่านั้น ยังมีชิงช้ากับม้าโยกเพิ่มเข้ามาด้วย แค่มองก็รู้ว่าเตรียมเอาไว้ให้อาหลี ทำให้บ้านหลังนี้ดูอบอุ่นขึ้นหลายส่วน
เพียงแต่ว่าองุ่นต้นนั้นปลูกได้ไม่ค่อยงามนัก ทั้งที่เป็นฤดูออกผลขององุ่น แต่กลับติดผลน้อยมาก ตอนที่นั่งลงมาเงยหน้าขึ้นกล่าวว่า “อยากปลูกดอกจื่อเถิง[2]หรือไม่ ฤดูนี้ดอกจื่อเถิงก็งดงามมากเช่นกัน”
“ไม่อยาก!” ไม่รอให้เฉินลั่วกับหลิวจ้งตอบ อาหลีก็ตะโกนพูดออกมาก่อน “องุ่นอร่อย!”
หวังซีหัวเราะร่าเสียงดัง ชี้ไปที่ต้นไผ่กอหนึ่งข้างกำแพงที่น่าจะเพิ่งปลูกได้ไม่นานพลางกล่าวกับเฉินอวี้ว่า “เจ้าไปหาหวังสี่ เขามีต้นกล้าของต้นทับทิมชั้นดีอยู่ในมือ พวกเจ้าเปลี่ยนไปปลูกต้นทับทิมสักสองสามต้นได้”
เฉินอวี้ยิ้มกว้างไม่กล่าวสิ่งใด หลิวจ้งกลับดวงหน้าร้อนผ่าว รีบกล่าวขึ้นว่า “คุณหนูหวังไม่ได้ไปหาท่านหมอเฝิงมาระยะหนึ่งแล้วกระมัง ทางสำนักสงฆ์ตัดสินลงมาแล้ว เฉาอวิ๋นขโมยตำรับเครื่องหอมของวัดเจินอู่ ทั้งยังก่อคดีฆาตกรรมที่สู่จง มีข้อหาสองกระทง เร็วๆ นี้จะถูกส่งตัวไปสอบปากคำที่สู่จงแล้ว”
หวังซีดีใจจนเกือบจะกระโดดขึ้นมาแล้ว กล่าวติดๆ กันว่า “ข้าไม่คิดว่าจะรวดเร็วเพียงนี้ กล่าวเช่นนี้แสดงว่าที่ร้านขายยาเพื่อมวลชนต่างทราบข่าวกันแล้ว? เหตุใดถึงไม่ได้ยินใครพูดถึงเลย? เมื่อเขาถูกส่งตัวกลับสู่จง ไม่ว่าอะไรก็ไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เขาพูดแล้ว ที่สู่จงครอบครัวพวกข้าถือว่าพอจะรู้จักคนอยู่บ้าง”
ที่มากไปกว่ารู้จักคนอยู่บ้างก็คือตระกูลพวกนางเป็นคหบดีที่ทรงอิทธิพลที่สุดของสู่จง อาศัยอยู่ที่นั่นมาหลายต่อหลายรุ่นจนนับไม่ถ้วน ขุนนางระดับสูงของมณฑลคนใดมารับตำแหน่งแล้วไม่ไปเยี่ยมเยือนตระกูลพวกนางบ้าง
เฉินลั่วยิ้มน้อยๆ เห็นท่าทางดีใจของหวังซีแล้วรู้สึกว่าคุ้มค่าแล้วที่เขายอมทำทุกวิถีทางและติดหนี้บุญคุณคนไปมากมาย
เขากล่าว “ทางวัดต้าเจวี๋ยรู้สึกไม่ค่อยดีนัก จึงยังปิดข่าวเอาไว้ อย่างไรก็ตาม ก็คงปิดได้อีกไม่กี่วันเท่านั้น เพราะข้าให้คนไปป่าวประกาศเรื่องนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังเทศกาลวันสารทจีนทุกคนก็น่าจะทราบข่าวกันหมด กระนั้นก็ตาม วัดเจินอู่คิดไม่ถึงว่าวัดหลิงกวงจะลงมือเช่นนี้ บัดนี้รู้สึกเสียใจภายหลังเล็กน้อยที่เอาเรี่ยวแรงทั้งหมดไปลงกับการฟ้องร้องวัดต้าเจวี๋ย”
หวังซีหัวเราะ กล่าวว่า “ต่อให้ไม่มีวัดหลิงกวง ก็ยังมีวัดอื่นๆ อีกมากมาย หากพวกเขาอยากโดดเด่นขึ้นมาในจิงเฉิง เกรงว่ายังต้องลงเรี่ยวแรงมากกว่านี้ถึงใช้การได้ เจ้าดูห้องเสื้อเมฆาคำนึง ครั้งนี้ได้รับการสั่งจองมาเป็นจำนวนมาก ข้าจะไปตัดชุดที่ร้านของพวกเขายังต้องเลื่อนออกไปก่อนสักสองสามวัน”
เฉินลั่วได้ยินแล้วขมวดคิ้วมุ่น กล่าวว่า “เช่นนั้นเกรงว่าการค้าของพวกเขาคงทำได้ไม่ยืนยาวนัก”
หวังซีไม่คิดจะคุยเรื่องไม่จรรโลงใจเหล่านี้กับเฉินลั่ว อยากคุยแต่เรื่องน่ายินดีกับเขาเท่านั้น
นานๆ ทีกว่าพวกเขาจะได้มาเจอกันครั้งหนึ่ง เหตุใดทุกครั้งที่นึกถึงภาพเหตุการณ์เวลาทั้งสองคนเจอหน้ากันถึงรู้สึกขมขื่นอยู่เสมอด้วยเล่า
นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องนี้ตระกูลหวังของพวกข้าติดหนี้บุญคุณเจ้าแล้ว อีกไม่กี่วันพี่ชายใหญ่ของข้าจะเดินทางมาจิงเฉิง ถึงเวลานั้นจะให้เขามากล่าวขอบคุณเจ้าด้วยตัวเองอีกครั้งหนึ่งก็แล้วกัน ส่วนตัวข้าก็ให้แล้วกันไปเถอะ อย่างไรเสียข้าก็เป็นแค่คนทำงานจิปาถะผู้หนึ่งเท่านั้น คาดว่าเจ้าคงไม่รู้สึกว่าถูกดูแคลนหรอกกระมัง”
คนทำงานจิปาถะเก่งกาจขนาดนี้เชียว?
เฉินลั่วอยากเย้านางสักประโยคหนึ่ง แต่เมื่อมองดวงตาระยิบระยับของหวังซี เขาพลันรู้สึกละอายขึ้นมาเล็กน้อย ไม่อาจเปล่งคำพูดที่มารออยู่ตรงริมฝีปากออกมาได้ ระงับไว้ครู่ใหญ่ถึงพูดออกมาประโยคหนึ่งว่า “วันนี้นอกจากไก่ขอทานแล้ว ยังทำอะไรอีกบ้าง ฤดูกาลนี้มีอะไรอร่อยบ้างหรือ”
พูดถึงเรื่องกิน นับเป็นเรื่องถนัดของหวังซี นางสนใจขึ้นมาทันที กล่าวว่า “ฤดูกาลนี้บางพื้นที่มีข้าวสาลีออกใหม่ บะหมี่เย็นกับบะหมี่คลุกน้ำปรุงรสต่างก็รสชาติดีมาก ทำแป้งนึ่งก็อร่อยมากเช่นกัน หรือวันนี้พวกเราก็กินบะหมี่คลุกน้ำปรุงรสกันดี? มีเนื้อไก่ด้วยพอดี ทำบะหมี่คลุกน้ำปรุงรสไก่ฉีกได้ด้วย”
อาหลีนั่งอยู่ข้างๆ กล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจว่า “วันนี้บอกว่าจะกินไก่ขอทานมิใช่หรือ เหตุใดต้องกินบะหมี่คลุกน้ำปรุงรสไก่ฉีกแทนด้วย”
หวังซีตะลึงงัน จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังออกมา หอมแก้มอาหลีพลางกล่าว “ถูกต้อง อาหลีของพวกเรากล่าวได้ถูกต้องที่สุด วันนี้พวกเรากินไก่ขอทาน ไม่อาจโลเลเปลี่ยนใจไปกินบะหมี่คลุกน้ำปรุงรสไก่ฉีกได้ คราวหน้าพวกเราค่อยกินบะหมี่คลุกน้ำปรุงรสไก่ฉีกก็แล้วกัน”
อาหลีเผยรอยยิ้มของผู้ชนะออกมา
ทุกคนต่างพากันหัวเราะ
หวังซีรับประทานมื้อเที่ยงที่สะพานศิลาขาวเสร็จ ตอนบ่ายยังเล่นชิงช้าเป็นเพื่อนอาหลีอีกครึ่งวันด้วย
มิใช่นางโล้ชิงช้าให้อาหลีนั่ง แต่เป็นนางกับอาหลีผลัดกันเจ้านั่งรอบหนึ่งข้านั่งรอบหนึ่ง ตอนอาหลีนั่ง หลิวจ้งเป็นคนโล้ชิงช้าให้ ตอนหวังซีนั่ง แรกๆ ไป๋กั่วเป็นคนโล้ชิงช้าให้ ต่อมาหวังซีบ่นว่าไป๋กั่วโล้ชิงช้าได้ไม่แรงพอ เฉินลั่วจึงรับช่วงต่ออย่างไร้ทางเลือก ช่วยโล้ชิงช้าให้หวังซีแทน
หวังซีรู้สึกผิดเล็กน้อย แต่การนั่งชิงช้าเป็นกิจกรรมที่นางชื่นชอบที่สุด นอกจากนี้ยังมีเฉินลั่วที่มีเรี่ยวแรงมาก ช่วยโล้ชิงช้าที่นางนั่งให้สูงลิ่วได้ นางก็ยิ่งรู้สึกสนุกมากขึ้น
นางใช้โอกาสนี้คุยเรื่องงานแต่งของฉังเคอกับเขา “ตอนนี้นอกจากจวนชิงผิงโหว คาดว่าจวนหย่งเฉิงโหวกับจวนเซียงหยางโหวล้วนถูกขจัดออกไปแล้ว เหลือแค่ดูว่าซือจูจะได้แต่งกับผู้ใด นางสนิทสนมกับองค์หญิงฟู่หยางขนาดนี้ น่าจะเลือกจากหนึ่งในสองคนระหว่างองค์ชายสามกับองค์ชายห้ากระมัง”
หลิวจ้งที่กำลังป้อนน้ำให้อาหลีที่เล่นจนเหนื่อยแล้วกล่าวแทรกขึ้นมาจากด้านข้างว่า “น่าจะเป็นองค์ชายห้า องค์ชายสามอายุมากกว่าองค์ชายห้า ซูเฟยเหนียงเหนียงน่าจะเลือกบุตรสาวของขุนนางฝ่ายบุ๋นสักคนมาให้เขา ส่วนจวนเซียงหยางโหว หากบอกว่าขจัดทิ้งตอนนี้ยังถือว่าเร็วไปสักหน่อย เพราะคุณหนูห้าของพวกเขาอายุรุ่นราวคราวเดียวกับองค์ชายสี่”
หวังซีหลุดหัวเราะ เล่าเรื่องที่คุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวซ่อนตัวจากฮูหยินของเหยียนเจิ้งให้เฉินลั่วฟัง
เฉินลั่วอัศจรรย์ใจ กล่าวว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าของจวนเซียงหยางโหวเก่งกาจจริงๆ ช่างกล้าคิดกล้าทำ!”
นี่ก็เป็นสิ่งที่หวังซีวิพากษ์วิจารณ์นางเช่นกัน ได้ยินแล้วอดยิ้มไม่ได้
……………………………………………………………………………..
[1] ซากั่ว ผลไม้สีแดงคล้ายแอปเปิลแต่มีขนาดเล็กกว่ามาก บ้างก็เรียกแอปเปิลจิ๋ว
[2] ดอกจื่อเถิง ดอกวิสทีเรีย
ตอนต่อไป