บทที่ 142 เมล็ดพันธุ์ใหม่

บทที่ 142 เมล็ดพันธุ์ใหม่

อาการป่วยของท่านพ่อค่อนข้างรักษาได้ยาก

เสี่ยวเป่าทำหน้ามุ่ย มือป้อมลูบหัวของเสี่ยวไป๋ไปมา

“ดอกสามชีวา ไหมเหมันต์พันปี จากดินแดนที่อากาศหนาวเย็นจัด”

นางก้มศีรษะมองร่างกายเล็ก ๆ ของตนเอง แม้จะไม่อยากยอมรับนัก แต่ดูท่าแล้วนี่น่าจะเกินความสามารถของตนไปหน่อย

ตอนนี้ นางมิใช่ภูตน้อยที่สามารถไปไหนมาไหนได้ โดยไม่ต้องกลัวอันตรายอีกต่อไปแล้ว QAQ

“ยังคิดมากอยู่อีกหรือ”

หนานกงสือเยวียนเคาะหน้าผากมนของเด็กน้อยด้วยด้ามพู่กัน

“เสี่ยวเป่าสบายดี ไม่ได้คิดมากแล้ว”

เสี่ยวเป่านั่งเท้าคางมน เอียงศีรษะมองท่านพ่อที่ทั้งสูงและหล่อเหลาของตนเอง ท่านพ่อน่าเกรงขามและโดดเด่นถึงเพียงนี้ เหตุใดต้องอายุสั้นด้วย?

“ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าจะช่วยท่านพ่อให้ได้เลย!”

เด็กน้อยชูกำปั้นกลม ๆ นุ่มนิ่มขึ้นมา เสียงหวานใสฟังดูขึงขังจริงจังมาก

หนานกงสือเยวียนเม้มริมฝีปากเล็กน้อย “ตอนนี้เจ้าก็ช่วยข้าได้มากแล้ว”

เสี่ยวเป่า “???”

นางช่วยอะไรท่านพ่อ ทำไมไม่เห็นรู้ด้วยเลย

หนานกงสือเยวียนกำลังอ่านฎีกา ร่างสูงนั่งหลังเหยียดตรงดูราวกับต้นสนภายใต้แสงเทียน สุรเสียงทุ้มของเขาอ่อนโยนแต่ก็แฝงไว้ด้วยความลุ่มลึกจนไม่อาจหยั่งถึง

“ตั้งแต่เจ้ามาถึง อาการนอนไม่หลับของข้าก็หายเป็นปกติ ครั้งนี้ข้ายังได้รับดอกเถ้ากระดูก เพราะหมอปีศาจรับเจ้าเป็นศิษย์”

เสี่ยวเป่ากะพริบตาปริบ ๆ แพขนตางอนกระพือขึ้นลง

“เช่นนี้หมายความว่า เสี่ยวเป่าสำคัญต่อท่านพ่อใช่หรือไม่~”

เสียงของเจ้าก้อนแป้งฟังดูนุ่มนวลสดใส เจ้ากวางขาวข้าง ๆ กันยิ่งทำให้นางดูราวกับเป็นเซียนตัวน้อยที่เผลอหลุดเข้ามาในโลกมนุษย์

หนานกงสือเยวียนเอ่ย “ถึงเวลาเข้านอนแล้ว”

แม้จะไม่ได้ตอบคำถามไร้เดียงสาของบุตรสาว แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยปฏิเสธเช่นกัน

เสี่ยวเป่าร้องอืออาในลำคอ หากท่านพ่อไม่ยอมตอบ นางก็จะตอบคำถามนั่นเอง

เจ้าก้อนแป้งเอนตัวซบไหล่บิดาเบา ๆ แล้วทำเสียงให้ต่ำลงก่อนจะเอ่ยขึ้น

“ใช่แล้ว เสี่ยวเป่าเป็นลูกสาวคนสำคัญของพ่อ!”

หนานกงสือเยวียนขบขันเจ้าตัวเล็กอยู่สักพัก แต่ก็เพียงยกยิ้มขึ้นมาเป็นเวลาสั้น ๆ เท่านั้น

เขาบีบแก้มนุ่มของเจ้าตัวดี “ผิวตรงนี้หนามากงั้นหรือ”

เสี่ยวเป่าเอียงหน้าหลบแล้วเอามือปิดหูอย่างไม่รู้ไม่ชี้ เสี่ยวเป่าไม่เข้าใจสักนิดว่าท่านพ่อพูดอะไร

โดยปกติแล้ว หลังจากที่เจ้าก้อนแป้งผล็อยหลับไป นางมักจะกลิ้งไปมาบนที่นอนราวกับเป็นลูกหมาน้อยที่ไม่ได้ถูกล่ามไว้ ทำให้เจ้าตัวเล็กกลิ้งไปมาและเบียดเข้าหาบิดาอยู่เป็นประจำ

เป็นสิ่งที่พบเจอจนคุ้นชิน แต่ทำให้หนานกงสือเยวียนนอนหลับได้ขึ้น เพราะความรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

กลายเป็นว่าหากไม่มีเจ้าตัวเล็กมากลิ้งอยู่ข้าง ๆ ก็จะทำให้เขานอนไม่หลับเสียอย่างนั้น

เช้าวันต่อมา เสี่ยวเป่าตื่นขึ้นบนฟูกนิ่มที่ยุบตัว ร่างเล็กค่อย ๆ ขยับขาสั้น ๆ พลิกตัวขึ้นมา จากนั้นก็กลิ้งตัวไปบนเตียงต่ออีกสองสามครั้ง

“องค์หญิงเพคะ ถึงเวลาสรงน้ำแล้วเพคะ”

“โอ้~”

วันนี้เสี่ยวเป่ารู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษ

นางสำรวจเนื้อตัวแล้วฮึมฮัมออกมาอย่างมีความสุข

เสียงเจื้อยแจ้วเหมือนสัตว์เล็ก ๆ น่าเอ็นดู หากมีหางฟูฟ่องที่ก้นก็คงจะชี้ขึ้นแล้วสะบัดไปมาอย่างแรง

ดวงตาของเสี่ยวเป่าเปล่งประกาย พลังวิญญาณของนางเพิ่มขึ้นอีกสี่ส่วน ฮ่า ๆ!

ยิ้มกว้างพร้อมกอดอก.jpg

“องค์หญิงน้อยทรงเป็นอะไรไปเพคะ”

เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้น ชุนสี่ก็นึกเป็นห่วงขึ้นมา

เสี่ยวเป่าส่ายหน้าอย่างเบิกบาน “พวกเจ้าไม่เข้าใจหรอก ฮิ ๆ…”

ชุนสี่และนางกำนัลที่เหลือ “???”

หลังจากแต่งองค์ทรงเครื่องเรียบร้อยแล้ว เสี่ยวเป่าก็เอากระเป๋าเงินออกมาจากใต้หมอน แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่ามันหนักขึ้นมาก

มือเล็ก ๆ บีบเข้าหากันอย่างประหลาดใจ จากนั้นดวงตากลมก็เบิกกว้าง รีบเปิดดูด้านในอย่างระมัดระวัง

เด็กน้อยเห็นว่าในถุงใบงาม เดิมทีมีถั่วสีทองอยู่สองสามเมล็ด แต่ตอนนี้กลับมีสิ่งอื่นอยู่ในนั้นด้วย

เสี่ยวเป่ารีบเอามันออกมา

มีมันเทศหนึ่งหัว เมล็ดหญ้าถุงหนึ่ง และเมล็ดข้าวสาลีอีกเล็กน้อย

เสี่ยวเป่า “!!!”

“ว้าว~~~”

ชุนสี่ “องค์หญิงเป็นอะไรไปเพคะ แล้วนี่คือ…สิ่งใดกันเพคะ?”

เสี่ยวเป่าดีใจจนเนื้อเต้น ในที่สุดนิ้วทองคำที่ไม่ได้ทำงานมานานของนางก็เริ่มกลับมาทำงานอีกครั้งแล้ว!

แม้ว่าเมล็ดพืชเหล่านี้จะเป็นพืชชนิดเดิมที่นางเคยเก็บสะสมมาก่อน แต่เสี่ยวเป่าก็มีความสุขมากจริง ๆ เพราะตั้งแต่มาที่นี่ นางยังไม่เคยได้ปลูกมันเทศและเมล็ดหญ้างอกงามอย่างจริงจังมาก่อนเลย

ใช่แล้ว การตั้งชื่อพืชพรรณของภูตน้อยนั้นช่างเรียบง่าย เมล็ดหญ้างอกงามเหล่านี้ได้รับการเพาะและดูแลให้เติบโตโดยเสี่ยวเป่าเอง นางใช้วิธีการเพาะปลูกไม่ต่างจากการปลูกพืชของมนุษย์และเสริมพลังวิญญาณเข้าไปด้วย ทำให้พวกมันเจริญเติบโตงอกงามอย่างดี ไม่ได้เป็นเพียงอาหารโปรดของพวกสัตว์กินพืชเท่านั้น แต่สัตว์กินเนื้อบางครั้งก็ยังชอบกินหญ้านี้ด้วย

เมื่อเห็นว่าลำต้นของมันดูงดงามเพียงใด ภูตน้อยจึงตั้งชื่อของมันอย่างตรงไปตรงมาอย่างเรียบง่ายว่าหญ้างอกงาม สามารถหว่านเพื่อเพาะปลูกได้ตลอดทั้งปี

“นี่คือเด็ก ๆ ของข้าเอง”

เสี่ยวเป่าจ้องมองพืชสามชนิด และนับจำนวนเมล็ดพืชที่เก็บมาได้ ในอุ้งมือเล็ก ๆ ของตนเองด้วยการนับนิ้วไปมา

เยี่ยมไปเลย นี่มันมากจนนับนิ้วไม่พอด้วยซ้ำ

อันที่จริงแล้ว นางยังมีเมล็ดพืชอีกมากมาย แต่มีเพียงไม่กี่เมล็ดพันธุ์เท่านั้นที่มายังที่นี่

เรื่องนี้ทำให้เสี่ยวเป่าเสียดายไม่น้อย

ในทุก ๆ เช้า นางอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับเมล็ดพันธุ์ใหม่ ๆ ที่ปรากฏขึ้นมาในกระเป๋า แต่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้

“องค์หญิงเพคะ?”

ภูตน้อยที่กำลังหมกมุ่นอยู่ในโลกใบเล็กของตัวเอง พลันถูกเรียกสติกลับมา

ชุนสี่มองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล “องค์หญิงเพคะ พระองค์รู้สึกไม่ดีตรงไหนหรือเปล่า ได้เวลาสรงน้ำแล้วนะเพคะ”

“อ๊ะ ได้เลย ชุนสี่รีบล้างหน้าให้เสี่ยวเป่าเถอะ ล้างเสร็จแล้วก็ไปปลูกต้นหญ้ากัน”

ใบหน้าของชุนสี่เต็มไปด้วยความสงสัย: ปลูกอะไรนะ?

แต่ไม่ว่าองค์หญิงจะทรงสนพระทัยเรื่องใด เจริญชันษาขึ้นอย่างไร พวกนางกำนัลก็ต้องคอยติดตามองค์หญิงเสมอ แม้จะมีงานอดิเรกที่แสนพิเศษ แต่พวกนางก็มีหน้าที่ทำตามรับสั่งเท่านั้น

และทุกครั้งที่องค์หญิงทรงอยากจะปลูกต้นไม้ ไม่ว่าจะเป็นพืชชนิดใดก็ล้วนสร้างความประหลาดใจให้แก่ผู้คนได้เสมอ

เสี่ยวเป่าล้างหน้าเล็ก ๆ ของตนแล้วก็รีบก้าวขาสั้น ๆ นำเหล่านางกำนัลไปยังลานแปลงด้านนอก

ตอนนี้แตงโมถูกเก็บเกี่ยวไปแล้ว ทำให้แปลงดินว่างเปล่า

เสี่ยวเป่าเอาเมล็ดหญ้างอกงามออกมาโปรยทั่ว ๆ โดยไม่ต้องขุดดิน

หญ้างอกงามไม่เพียงแต่เจริญเติบโตได้ง่าย ทว่ายังเป็นปุ๋ยที่ดีให้แก่ดินอีกด้วย มันเป็นพืชที่มีพลังชีวิตเต็มเปี่ยม สามารถเติบโตได้แม้แต่ในรอยแยกของหิน

สำหรับมันเทศและเมล็ดข้าวสาลีที่เหลือนั้น เสี่ยวเป่าวางแผนที่จะเอากระถางที่เคยใช้ปลูกเฉ่าเหมยมาเพาะพวกมันลงไป

จากนั้น เด็กเล็กก็ม้วนแขนเสื้อแล้วเริ่มทำการเพาะปลูก

ชุนสี่มีท่าทีกังวล มององค์หญิงน้อยที่กำลังเอาอะไรบางอย่างฝังลงไปในกระถาง จากนั้นก็เอาถุงเมล็ดข้าวสาลีออกมาเพาะให้รากงอก

“องค์หญิงเพคะ นี่ไม่ใช่ฤดูกาลสำหรับปลูกข้าวสาลีไม่ใช่หรือเพคะ”

พืชทั้งสามชนิดนี้ นางจำได้เพียงข้าวสาลีเท่านั้น

เสี่ยวเป่าพรมน้ำลงบนเมล็ดข้าวสาลีที่อยู่บนผ้าชุบน้ำหมาดอย่างระมัดระวัง และเสริมพลังวิญญาณให้พวกมัน

“ไม่เป็นไร เชื่อมือเสี่ยวเป่าได้เลย”

ภูตน้อยเต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจ

“ตอนนี้ก็รอจนกว่ามันจะงอกก็เป็นใช้ได้แล้ว”

เมล็ดเหล่านี้มีอยู่จำนวนไม่มาก ทำให้เจ้าก้อนแป้งวัยสามขวบได้แต่ถอนหายใจอย่างเคร่งเครียด

นางต้องใช้เวลานานเพียงใด กว่าจะสามารถปลูกข้าวให้เต็มท้องนา เพื่อเลี้ยงดูบิดาและพี่น้องทั้งหมด

หนานกงสือเยวียนพบว่า ช่วงนี้เด็กน้อยที่มักเดินตามตนต้อย ๆ กลับไม่ค่อยมาให้เขาเห็นหน้าสักเท่าไหร่

เขาแตะจมูกตนเอง “ฝูไห่”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

“องค์หญิงเก้าอยู่ที่ใด”

ฝูไห่ “ดูเหมือนว่าองค์หญิงเก้าจะทรงเริ่มเพาะปลูกอะไรบางอย่างอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงสือเยวียน “…”

ธิดาของเขาชื่นชอบการทำนาถึงเพียงนี้เชียวหรือ

“ไปถามนางว่าอยากออกไปเจอพี่ชายที่นอกวังหรือไม่”

“พ่ะย่ะค่ะ”

ฝูไห่จากไปพร้อมรอยยิ้ม ฝ่าบาททรงเปลี่ยนไปมาก

เมื่อก่อนนั้นพระองค์มักอยู่เงียบ ๆ เพียงลำพัง ไม่โปรดที่จะถูกผู้ใดรบกวน ทว่าตั้งแต่องค์หญิงน้อยเสด็จมา มีพระธิดาวัยเยาว์ช่างพูดช่างเจรจาอยู่ใกล้ ๆ ฝ่าบาทก็ทรงดูมีชีวิตชีวามากขึ้น ซ้ำยังไม่ตรัสบ่นรำคาญเลยแม้แต่ครั้งเดียว

ในช่วงนี้ที่อากาศเย็นลงอย่างกะทันหัน ทำให้องค์หญิงไม่ได้เสด็จเข้าเฝ้าฝ่าบาทบ่อย ๆ เช่นเคยพระองค์จะไม่ทรงรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างขาดหายไปได้อย่างไร