บทที่ 143 มีมิตรสหายย่อมไม่ตายเพียงลำพัง

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

ตอนที่ 143 มีมิตรสหายย่อมไม่ตายเพียงลำพัง

ตอนที่ 143 มีมิตรสหายย่อมไม่ตายเพียงลำพัง

ท่านพ่ออยากพานางไปหาท่านพี่ แน่นอนว่าเสี่ยวเป่าตอบรับโดยไม่ลังเล

เด็กน้อยโยนจอบเล็ก ๆ ในมือลงทันที ทิ้งวัชพืชที่ขุดออกมาไว้ตรงนั้น ตรงไปหาท่านพ่อด้วยชุดตัวเล็กที่เปรอะดิน และใบหน้ามอมแมม

ชุนสี่รีบวิ่งตามองค์หญิงน้อยไป

“องค์หญิงเพคะ องค์หญิงทรงผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ก่อนเถิดเพคะ พระองค์จะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทและจิ้นอ๋องทั้งอย่างนี้ไม่ได้นะเพคะ”

เสี่ยวเป่าเหลือบมองรองเท้าและเสื้อผ้าที่เลอะดินโคลน ก็บิดตัวกลับวิ่งย้อนมาทางเดิม

ชุนสี่พูดถูก หากนางไปเกาะขาท่านพ่อทั้งอย่างนี้ ท่านพอมีหวังพระพักตร์เปลี่ยนสี โยนนางทิ้งเป็นแน่!

นางก็ยังอายตัวเองตอนนี้เช่นกัน

หลังจากอาบน้ำจนหอมกรุ่น เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่สวยงามสะอาดเอี่ยม เสี่ยวเป่าก็เดินออกมาด้วยทรงผมน่ารักน่าเอ็นดู

“ท่านพ่อ~”

ทันทีที่นางวิ่งเข้าไปหาบิดาก็รีบกอดขายาวของเขาอย่างชำนิชำนาญ เสี่ยวเป่าเป็นที่เอ็นดูอย่างมากในฐานะตัวเกาะขาสุดน่ารัก

หนานกงสือเยวียนหิ้วตัวเกาะขาตัวน้อยขึ้นมาอย่างคุ้นเคยและวางนางลงข้าง ๆ กาย

“ข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”

อาภรณ์ที่อยู่บนร่างสูงตอนนี้คือ เสื้อคลุมมังกรสีดำสง่างามหาใครเทียบได้ ซึ่งแน่นอนว่าหากสวมมันออกจากไปข้างนอกจะเป็นการโดดเด่นเกินไป

ท่านพ่อไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เสี่ยวเป่าก็เป็นเด็กดีมาก นั่งเล่นเป่าฟองอยู่คนเดียวแก้เบื่อ

“ไปกันเถอะ”

แม้ว่าหนานกงสือเยวียนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว แต่ชุดนั้นก็ยังเป็นสีดำสนิทอยู่ดี

เมื่อเทียบกับเสื้อคลุมมังกรที่ประณีตสวยงาม อาภรณ์ที่เขาสวมอยู่ขณะนี้ดูคล้ายกับชุดฝึกวรยุทธ์มากกว่า เป็นเสื้อผ้าที่กระชับเข้ากับรูปร่างที่สมส่วนแข็งแรง

เมื่อปราศจากปัญหาเรื่องการนอนหลับ ทำให้ตอนนี้หนานกงสือเยวียนกินอิ่มนอนหลับสบาย ร่างกายของเขาดูมีเนื้อมีหนังมากขึ้น ทั้งยังดูอิ่มเอิบขึ้นกว่าก่อนหน้าที่ดูซูบผอม และไม่สบอารมณ์อยู่เสมอ

นอกจากนี้เขายังใช้เวลาช่วงเช้าไปกับการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ทุกวัน แม้ว่าจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น แต่ส่วนนั้นก็แปรเปลี่ยนไปเป็นกล้ามเนื้อที่แข็งแรงและสมส่วนแทน

อีกทั้งแผงกล้ามท้องของเขาก็กลับมาแล้วด้วย

“ท่านพ่อหล่อมาก!”

เด็กน้อยจอมประจบประแจงเข้าไปหาบิดาพร้อมเริ่มเอ่ยเสียงหวาน

หนานกงสือเยวียนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย อุ้มตัวเจ้าก้อนแป้งอ้วนป้อมขึ้นมาด้วยแขนข้างเดียว

แล้วเสี่ยวเป่าก็เอามือน้อย ๆ ขึ้นมากอดไหล่กว้างของท่านพ่อด้วยความรู้สึกปลอดภัย

“ท่านพ่อ ตอนนี้เสี่ยวเป่ากำลังปลูกผักไว้ทำอาหารอยู่ รอเสี่ยวเป่าปลูกได้เยอะ ๆ เมื่อไหร่จะเอามาให้ท่านพ่อกินจนอ้วนเลย!”

หนานกงสือเยวียนชะงักไปเล็กน้อย

นางไม่จำเป็นต้องเป็น ‘บุตรกตัญญู’ ถึงเพียงนั้นก็ได้กระมัง

ในฐานะอดีตราชันเทพสงคราม หนานกงสือเยวียนถือว่าค่อนข้างพอใจกับรูปร่างปัจจุบันของตนเองตอนนี้

“ไม่เป็นไร”

หนานกงสือเยวียนปฏิเสธอย่างใจเย็น

เสี่ยวเป่าตบไหล่บิดา “ไม่ต้องเกรงใจไปเพคะ เสี่ยวเป่าจะเลี้ยงดูท่านพ่ออย่างดีเลย!”

หนานกงสือเยวียน: …ข้าไม่ได้อยากให้เจ้ามาเลี้ยงดูข้าจริง ๆ เสียหน่อย

เขาชักสงสัยแล้วว่า ในสายตาของพระธิดา ตัวเขาดูน่าสงสารเพียงนั้นเลยหรือ เหตุใดนางถึงต้องการเลี้ยงดูเขานัก

หนานกงสือเยวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจว่าหลังกลับจากจวนจิ้นอ๋อง เขาจะพาเจ้าตัวเล็กไปดูพระคลังส่วนตัวว่า ภายในนั้นเต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติมากมายขนาดไหน!

รถม้าออกจากพระราชวังมุ่งหน้าไปยังจวนจิ้นอ๋อง ระหว่างทาง เสี่ยวเป่ายังคงมองออกไปนอกรถม้าด้วยความอยากรู้อยากเห็นเช่นเดิม

“ว้าว ครึกครื้นกันจัง!”

ดูเหมือนว่าวันนี้ถนนโดยรอบจะมีชีวิตชีวามากกว่าปกติเล็กน้อย และมีบรรยากาศของงานรื่นเริงอยู่ตลอดทาง

หนานกงสือเยวียนกล่าวขึ้นมาว่า “ใกล้เทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว”

เสี่ยวเป่าร้องว้าวออกมาเสียงดัง “ท่านพ่อ ๆ อยากกินขนมไหว้พระจันทร์ในวันไหว้พระจันทร์หรือไม่ แล้วขนมไหว้พระจันทร์มีไส้แบบใดบ้างเพคะ”

ก้อนแป้งตัวน้อยเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและคาดหวังไปทุกอณูของร่างกาย

หนานกงสือเยวียนรับคำในลำคอ แต่แล้วก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “โหงวยิ้ง*[1] ถั่วแดงกวน”

เพียงแต่เขาไม่ใช่คนที่ชอบกินของหวานเท่าไหร่นัก จึงไม่ชอบกินขนมไหว้พระจันทร์

เสี่ยวเป่ามองมาด้วยสายตาคาดหวัง จดจ่อรอให้บิดาเอ่ยอะไรบางอย่าง

สถานการณ์เช่นนี้นิ่งงันไปเป็นเวลาหนึ่ง…

เสี่ยวเป่าดูงุนงง “ท่านพ่อ มีเท่านี้หรือเพคะ”

หนานกงสือเยวียนเองก็ดูงุนงงเช่นกัน “ต้องมีอีกงั้นหรือ”

แล้วสองพ่อลูกก็นั่งจ้องหน้ากัน

เสี่ยวเป่าเริ่มเอานิ้วขึ้นมานับ

“อย่างเช่น ไข่เค็ม อวิ๋นถุ่ย*[2] เม็ดบัว ฮวาเจี้ยง*[3] หรือเฉ่าเหมยกวนของเสี่ยวเป่าก็น่าจะเอามาทำเป็นไส้ขนมไหว้พระจันทร์ได้ด้วยใช่ไหมเพคะ แล้วก็ยังมีพุทรา ถั่วเขียว…”

หนานกงสือเยวียน “เจ้าไปรู้จักไส้พวกนี้มาจากไหนกัน”

ถั่วเขียวกวนนั้นไม่ได้แปลกใหม่อะไร เขายังพอนึกออก แต่ไส้อื่น ๆ นั้น…

ล้วนแปลกใหม่ไม่เคยได้ยินมาก่อน

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินว่า สามารถเอาเนื้อสัตว์มาทำเป็นขนมไหว้พระจันทร์ได้

เสี่ยวเป่ากะพริบตาปริบ ๆ มองบิดาอย่างไร้เดียงสาและเต็มไปด้วยความจริงใจ

“เสี่ยวเป่าเพียงรู้จักเท่านั้น ท่านพ่อยังไม่เคยกินเลย เสี่ยวเป่าก็ไม่เคยกินเช่นกันเพคะ คิก ๆ…”

ดูท่าทางภูมิใจนั่นสิ หากนางไม่เคยกินมาก่อนแล้วจะรู้จักของพวกนั้นได้อย่างไรกัน

เมื่อเห็นว่าสายตาเล็ก ๆ นั้นเปล่งประกายไปด้วยความสนอกสนใจ หนานกงสือเยวียนพลันรู้สึกไม่ดีขึ้นมาชอบกล

และเพียงอึดใจต่อมา เขาก็ได้ยินเสียงเจ้าตัวเล็กเริ่มโอ้อวด

“ท่านพ่อมีของอร่อยมากมายที่ไม่เคยกินเช่นนี้ ถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์เมื่อใด เสี่ยวเป่าจะซื้อให้ท่านพ่อลองกินให้หมดเลย!”

หนานกงสือเยวียนลังเลว่าจะเอ่ยปากดีหรือไม่

ไม่…ไม่เห็นต้องทำอย่างนั้นเลย

เจ้าตัวน้อยเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “ท่านพ่อ คอยดูนะเพคะ เทศกาลไหว้พระจันทร์ครั้งนี้จะเป็นที่จดจำไม่มีวันลืมแน่นอน!”

หนานกงสือเยวียน “…”

เขาเสมองไปทางเพดานรถม้าอย่างนิ่ง ๆ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำลายความมั่นใจของบุตรสาวเลยแม้แต่น้อย

เอาเถอะ ถึงอย่างไรก็ยังมีน้องชายอยู่

กินได้หรือไม่ก็ไม่เป็นไร ถึงเวลานั้นค่อยให้น้องชายหน้าโง่ ‘ทดสอบพิษ’ ให้เสียก่อน

ดังคำกล่าวที่ว่า… มีมิตรสหายย่อมไม่ตายเพียงลำพัง

หนานกงหลี “ฮัดชิ่ว!”

ใครบังอาจมาให้ร้ายท่านอ๋องอย่างเขากัน!

ณ จวนจิ้นอ๋อง

เสี่ยวเป่ากระโจนตัวเข้าไปในอ้อมแขนของบิดา ก่อนที่จะถูกอุ้มเข้าไปในจวนเมื่อมาถึง

“ขอฝ่าบาททรงพระเจริญพ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงสือเยวียนอยู่ในอาการสงบนิ่ง “จิ้นอ๋องอยู่ที่ใด”

เสี่ยวเป่ามองไปรอบ ๆ “พี่ใหญ่~ พี่ใหญ่ของเสี่ยวเป่าไปไหนแล้ว”

พ่อบ้านประจำจวนกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “เวลานี้ท่านอ๋องทรงเข็นรถออกไปประลองหมากล้อมกับเซียวเหยาอ๋องที่สวนพ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงสือเยวียนจึงพาเสี่ยวเป่าตรงไปที่สวนตามคำกล่าวนั้น

ช่างน่าบังเอิญเสียจริง เพราะเขาเพิ่งจะคิดถึง ‘อนุชาสุดที่รัก’ เมื่อไม่นานมานี้เอง

“เมื่อไหร่ฝ่าบาทจะยอมให้ข้าหยุดพักเสียที ตอนนี้ไม่มีเรื่องซุบซิบในราชสำนักอีกต่อไปแล้ว ช่างน่าเบื่อเหลือเกิน”

เซียวเหยาอ๋องที่กำลังนั่งอยู่ด้วยท่าทางสบาย ๆ ไม่ได้เป็นทางการ กำลังออกปากบ่นพลางวางหมากขาวลงในกระดาน

หนานกงฉีซิว “เสด็จพ่ออาจจะกำลังทดสอบท่านอาเจ็ด แท้จริงแล้ว ท่านอามีความสามารถมาก อาจจะเป็นการดีกว่าที่จะอยู่ช่วยงานเสด็จพ่อมากขึ้น”

“ไม่เห็นดีเลย ข้านอนดึกก็ไม่ได้ ยืนนาน ๆ ก็หิว ฟังพวกเขาเถียงกันเรื่องนั้นเรื่องนี้ หัวจะระเบิดอยู่แล้ว”

หลังจากว่าจบ เขาก็ยิ้มอย่างยินดี “โชคดีที่ฝ่าบาทคือฮ่องเต้ ฮ่า ๆ”

หนานกงฉีซิว “…”

นั่นเป็นวาจาที่เขาสมควรกล่าวออกมาอย่างนั้นหรือ

พ่อบ้านที่ติดตามหนานกงสือเยวียนมาด้วย ลอบมองไปทางฮ่องเต้อย่างเหงื่อตก

เซียวเหยาอ๋อง พระองค์กำลังรนหาที่ตายอีกแล้ว!

“แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ได้เห็นพวกขุนนางวิ่งกันวุ่นทุกวัน ไหนจะพวกทหารที่รับคำสั่งแล้วเกาหัวด้วยความงงงวยก็ถือเป็นเรื่องสนุกดี”

“อย่างนั้นหรือ?”

เซียวเหยาอ๋องตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงร่าเริง ไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติเลยแม้แต่น้อย และไม่ทันได้สังเกตด้วยว่า หลานชายคนโตกำลังขยิบตาให้เขา

“ก็ใช่น่ะสิ เจ้าไม่รู้หรอกว่าทหารพวกนั้น…”

ในที่สุด หนานกงหลีก็พบว่ามีบางอย่างแปลกไป คนทั้งคนตัวแข็งทื่อ และด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าในการเอาชีวิตรอด เขาจึงรีบหักเลี้ยวอย่างกะทันหันเพื่อเอาชีวิตรอด ก่อนที่จะตกขอบผาตายไปจริง ๆ

[1] โหงวยิ้ง (伍仁) คือ ธัญพืชห้าอย่าง

[2] อวิ๋นถุ่ย (云腿) คือ ไส้ขนมไหว้พระจันทร์แบบเค็ม ทำจากขาหมูยูนาน

[3] ฮวาเจี้ยง (花酱) คือ ไส้ขนมไหว้พระจันทร์ที่ทำมาจากกลีบดอกไม้เชื่อม