บทที่ 144 เหตุใดจึงโง่เขลาได้ถึงเพียงนี้!

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 144 เหตุใดจึงโง่เขลาได้ถึงเพียงนี้!

บทที่ 144 เหตุใดจึงโง่เขลาได้ถึงเพียงนี้!

“ต้องขอบคุณเสด็จพี่ที่มีสายพระเนตรเฉียบแหลม ทรงมีวิธีการจัดการที่โดดเด่น มีปฏิภาณไหวพริบเพื่อลงโทษพวกเขา เช่นนี้จึงทำให้เหล่าขุนนางและทหารอยู่ภายใต้การปกครองอย่างเชื่อฟังและถ่อมตน เสด็จพี่ของข้าถือได้ว่าเป็นผู้นำแห่งยุคสมัย…”

คำสรรเสริญเยินยอนี้ ทำให้ผู้ที่ได้ยินต่างมุมปากกระตุกและอดไม่ได้ที่จะชื่นชมเขา

ปากนี้ช่างประจบสอพลอเก่งเสียจริง เปลี่ยนคำพูดและความคิดอย่างรวดเร็วจนไม่น่าเชื่อ เอ่ยทุกอย่างออกมาอย่างนุ่มนวล

แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังโดนตีเข้าที่ปาก

หนานกงหลีนั่งตัวตรง มือยกขึ้นปิดปากไว้และหันไปมองเสด็จพี่ด้วยความน้อยอกน้อยใจ

ข้าไม่ได้พูดอะไรไม่ดีถึงท่านด้วยซ้ำ อีกทั้งยังพูดยกย่องสรรเสริญท่าน การประจบสอพลอใช่เรื่องง่ายที่ไหนกัน! เขาเองก็ต้องใช้ความพยายามอย่างหนักมากนะ!

แต่เหตุใดท่านถึงได้ใจแคบกับข้าเช่นนี้?

หนานกงสือเยวียนเอ่ยออกมาโดยไม่รู้สึกผิด

“มือลื่น”

หนานกงหลีนึกเคืองอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก มือลื่นมาตีข้าถึงสองครั้งสองคราวเลยหรือ!

“ขาของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

หนานกงสือเยวียนหันไปมองโอรสองค์โตด้วยความเป็นห่วง

หนานกงฉีซิวคลี่ยิ้มออกมา “ทูลเสด็จพ่อ ข้าดีขึ้นแล้ว ท่านหมอเจี่ยบอกว่าขาของข้าฟื้นตัวดีมาก เดือนหน้าก็สามารถเริ่มฝึกเดินได้แล้ว”

เดิมทีเขาเป็นคนจิตใจดีอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้เข้ารับการตรวจรักษาขา และได้รับการวินิจฉัยว่าอาจหมดหวังแล้ว แต่เขาก็ยังคงนิ่งสงบและไม่เคยกล่าวโทษใด ๆ หนานกงฉีซิวยังคงมีท่าทีสงบนิ่งและดูอ่อนโยนดังเดิม

หนานกงสือเยวียนพยักหน้า “เช่นนั้น เจ้ามาเล่นหมากล้อมเป็นเพื่อนข้าหน่อยแล้วกัน”

มีเสี่ยวเป่าและหนานกงหลีนั่งอยู่ด้านข้างคอยเป็นผู้ชม

เมื่อเห็นว่ากระดานหมากที่ตนเล่นนั้นยังเล่นไม่จบ แต่กลับต้องถูกปลดออกเช่นนี้ เขาก็บ่นพึมพำขึ้นมา

“ข้ายังเล่นไม่เสร็จเลย”

เสด็จพี่ทรงเผด็จการ!

“เจ้าเหลืออีกกี่ก้าวล่ะ?”

หนานกงหลีตอบอย่างเหม่อลอย “ข้าเหลืออีกสิบก้าว”

หลังจากพูดจบ เขาก็นั่งตัวตรง หันไปสบสายพระเนตรของฮ่องเต้ เพื่อพบว่าอีกฝ่ายกำลังมองมาที่เขาด้วยสายตาเย้ยหยัน

หนานกงหลี “…”

“ตอนที่เจ้าเล่นหมากล้อมกับข้า ข้าไม่เห็นว่าเจ้าจะอยากเดินหมากใหม่เลย การเดินหมากล้อมของเจ้าย่ำแย่มากเสียจนข้าอยากจะส่งเจ้าเข้าไปฝึกฝนในค่ายทหาร มาตอนนี้เจ้าก็อายุไม่น้อยแล้ว ยังคิดจะรังแกหลานชายของตัวเองอีกหรือ หน้าหนาเกินไปหรือไม่!”

เซียวเหยาอ๋องผู้อายุไม่น้อยแล้ว และหน้าหนา “…”

เหตุใดจู่ ๆ เขาถึงถูกดูหมิ่นได้เพียงนี้

เสี่ยวเป่าปิดปากเพื่อไม่ให้เสียงหัวเราะหลุดออกมา แต่สุดท้าย นางก็อดไม่ได้ หลุดเสียงหัวเราะออกมาดัง ฮ่าฮ่าฮ่า…

ท่านอาเจ็ดโดนท่านพ่อดุอีกแล้ว!

หนานกงฉีซิวหันไปมองเพียงครู่เดียว จากนั้นเขาก็ยักไหล่ แต่ไม่ได้หัวเราะออกมาอย่างเปิดเผย นับว่ายังคงไว้หน้าเสด็จอาของตนอยู่บ้าง

เมื่อบิดาและบุตรชายเริ่มเล่นหมากล้อม หนานกงหลีก็ยื่นมือเข้าไปบีบเนื้อตัวนุ่มนิ่มของหลานสาวด้วยความมันเขี้ยว

“เสี่ยวเป่ากล้าหัวเราะเยาะอาหรือ!”

เสี่ยวเป่ายกมือขึ้นปกปิดใบหน้าตัวเอง “ข้าเปล่านะ ท่านอาเจ็ดเข้าใจผิดแล้ว!”

สุดท้ายแล้ว ใบหน้าเล็ก ๆ ของนางก็ถูกบีบหลายครั้ง จนเสี่ยวเป่าส่งเสียงร้องออกมา

“ท่านพ่อ!”

หนานกงสือเยวียนมองมาที่หนานกงหลีด้วยสายตาตำหนิ ฝ่ายหลังจึงหยุดการกระทำลงอย่างว่านอนสอนง่าย

เสี่ยวเป่ายกสะโพกของนางขึ้น พร้อมกับเผยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ “ฮึ่ม เสี่ยวเป่ามีท่านพ่อ!”

หนานกงหลี “…”

ในโลกใบนี้ มีเพียงเซียวเหยาอ๋องเท่านั้นที่ได้รับความเจ็บปวด…

“เสด็จพี่ พี่สี่จะกลับมาเมื่อใดหรือ”

ไม่ได้การ เขาถูกเสด็จพี่และหลาน ๆ รังแกจนอึดอัดแทบแย่แล้ว จำต้องหาคนมาเป็นพวกเพิ่ม

เสี่ยวเป่าไม่เคยได้ยินเรื่องของท่านอาสี่มาก่อน ดังนั้น นางจึงนั่งตัวตรงและตั้งอกตั้งใจฟังด้วยหูเล็ก ๆ ของนาง

หนานกงสือเยวียนวางหมากสีดำลงไปบนกระดาน ตอนนี้บนกระดานหมากล้อมกำลังเตรียมพร้อมเปิดศึกแล้ว

“ช่วงนี้หนานจ้าวสุขสงบดี เชียนชิวเจี๋ย*[1]ปีนี้ ข้าจะเชิญทูตจากชายแดนทางตอนใต้อย่างหนานจ้าวมาเข้าร่วมการเฉลิมฉลองด้วย”

หนานกงฉีซิวขมวดคิ้ว “อาณาจักรหนานจ้าวหรือ เสด็จพ่อ ท่าน…”

หนานกงสือเยวียนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่ช้าก็เร็ว ข้าจะสะสางบัญชีกับอาณาจักรหนานจ้าว”

ชายแดนทางตอนใต้มากไปด้วยผู้ใช้คาถาอาคม ร่างกายของเขาถูกกู่ของผู้ใช้วิชาแห่งอาณาจักรหนานจ้าวที่ร่วมมือกับฮ่องเต้ผู้ล่วงลับ เขาต้องอดทนต่อความเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นกับร่างกาย และยืนกรานที่จะสังหารทหารของหนาวจ้าวกว่าสามหมื่นชีวิต นี่เองที่ทำให้ความแข็งแกร่งของหนาวจ้าวถดถอยลงจนถึงขั้นต้องมีการเปลี่ยนแปลงฮ่องเต้

หากไม่ใช่เพราะตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่ยากต่อการสู้รบ และเขาได้รับบาดเจ็บจากการถูกกู่ การเตรียมพร้อมกำลังพลสำหรับการสู้รบในครั้งนั้น จะต้องทำลายอาณาจักรหนานจ้าวได้อย่างแน่นอน!

ทว่าแม้จะสังหารทหารสามหมื่นนายของอาณาจักรหนานจ้าว และฆ่าผู้ที่ใช้กู่กับเขาได้ แต่เขาก็ยังไม่มียาแก้พิษที่จะกำจัดกู่ที่กัดกินหัวใจอยู่ดี

กู่ที่กัดกินหัวใจนั้นยากที่จะรับมือ และวิธีสลายพิษนี้ก็ได้หายไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน

ต่อมา แม้ว่าทั้งเขาและไต้ซือฮุ่ยเยวี่ยนจะพยายามหาวิธีแก้ แต่พืชสมุนไพรต่าง ๆ ที่ต้องการนั้นกลับหาได้ยากยิ่ง

ถึงหนานกงสือเยวียนจะอยากทำลายอาณาจักรหนานจ้าว ทว่าอากาศในป่านั้นทั้งดิบชื้นและมีหมอกหนา ซ้ำยังมีพิษร้ายหลายชนิด ต่อให้ทหารของอาณาจักรต้าเซี่ยบุกเข้าไปและยึดครองอาณาจักรหนานจ้าวได้ แต่ก็ต้องแลกมากับการสูญเสียขนาดมหาศาลแน่นอน

ในเวลานั้น เขามุ่งเป้าความโกรธแค้นทั้งหมดไปที่ฮ่องเต้องค์ก่อนผู้ขี้ขลาดไร้ประโยชน์ แม้ตัวของหนานกงสือเยวียนจะอยู่ที่ชายแดนทางตอนใต้อันห่างไกล แต่เขาก็ยังยื่นมือข้าไปทำให้ราชสำนักวุ่นวาย ให้อีกฝ่ายต้องทนมองดูเหล่าโอรสเข่นฆ่ากันเอง

เมื่อเขาฟื้นตัวกลับมาเเล้ว ทั้งยังไม่อาจบุกเข้าไปในอาณาจักรหนานจ้าว จึงยกทัพกลับมาก่อการสังหารที่เมืองหลวง

หนานกงหลีกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แค่พวกเราปล่อยอาณาจักรหนานจ้าวไว้จนถึงตอนนี้ ก็ถือว่าให้โอกาสทางนั้นมากพอแล้ว เสด็จพี่ เมื่อไหร่ท่านจะไปโจมตีพวกเขาอีก”

เขาเอ่ยออกมาด้วยความมั่นใจ เเม้คำพูดเหล่านั้นจะไม่ได้มีการไตร่ตรองมาก่อนก็ตาม

หนานกงสือเยวียนกับหนานกงฉีซิวอดมองมาทางเขาไม่ได้

หนานกงหลีดูจะภูมิใจในตัวเองไม่น้อย “ความคิดของข้ายอดเยี่ยมไปเลยล่ะสิ”

หนานกงสือเยวียนหลับตา “แม้จะโง่เขลาไปหน่อย แต่ขอเพียงสงบปากสงบคำ ไม่ให้มีสิ่งที่ไม่ได้ผ่านกระบวนความคิดออกมาก็พอ”

ถ้าโง่เขลาเเล้วยังออกมากระโดดโลดเต้นเหมือนฮ่องเต้องค์ก่อน กระทั่งเถ้ากระดูกของเขาก็จะไม่เหลือ

หนานกงหลีตัวแข็งทื่อ จากนั้นเขาก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา

เสด็จพี่หมายความว่าอย่างไร! ว่าเขาโง่เขลาอย่างนั้นหรือ!!!

หนานกงฉีซิวมองท่านอาเจ็ด ก่อนจะถอนหายใจออกมา “ท่านอา สภาพภูมิอากาศทางชายแดนใต้ต่างจากต้าเซี่ยยิ่งนัก ฝั่งนั้นมีป่าและแหล่งน้ำมากมาย อีกทั้งยังมีแมลงมีพิษจำนวนมาก ล้วนเป็นภัยต่อเหล่าทหารอาณาจักรต้าเซี่ย

ประการแรก ทหารต้าเซี่ยคงไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่นั่นได้อย่างแน่นอน หากพวกเขาเข้าไปที่นั่นอย่างบุ่มบ่าม พวกเขาก็จะอ่อนแอลงและเกิดการอาเจียนจนหมดแรง ไม่ต้องพูดถึงการสู้รบ แม้แต่ค่ารักษาก็ต้องหมดไปจำนวนไม่น้อย

ประการที่สอง ทหารของต้าเซี่ยไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมที่มีภูเขาและป่าไม้มากมายเท่ากับทหารของหนานจ้าว หากกองทหารจำนวนมากเข้าไป พวกเขาจะต้องกระจัดกระจายกันอย่างแน่นอน เดิมที ความได้เปรียบของเราอยู่ที่กำลังพลจำนวนมาก ทว่าหากจำนวนคนกระจัดกระจายออกไปก็เสียประโยชน์ไปเปล่า ๆ การที่เราไปในสถานที่ที่มีแหล่งน้ำมากมายหรือที่ซึ่งมีแมลงและสัตว์มีพิษมากนั้น ย่อมถือเป็นความเสี่ยง

ประการที่สาม คนทางชายแดนตอนใต้เป็นพวกเเข็งกร้าวไม่ยอมโอนอ่อน ไม่เพียงแค่คนของอาณาจักรหนานจ้าวเท่านั้น ทว่ายังมีกลุ่มโจรหลายเผ่าและแม้แต่ภาษาท้องถิ่นที่แตกต่างกันมากมาย สถานที่แห่งนี้จึงถือได้ว่าวุ่นวายเป็นอย่างมาก แม้เราจะยึดอาณาจักรหนานจ้าวมาได้ แต่การปกครองที่นั่น ไม่เพียงต้องใช้เวลาและแรงกายมากเท่านั้น แต่ยังต้องใช้เงินจำนวนมากอีกด้วย ทั้งยังอาจจะต้องสูญเสียบุคคลที่มีความสามารถไป ซึ่งมันไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย

และถ้าเราส่งกองทหารไปสู้รบกับหนานจ้าวก่อน ความผิดก็จะตกเป็นฝ่ายเรา หากเราต้องการใช้ประโยชน์จากความชอบธรรม พวกเขาก็ต้องเป็นผู้กระทำความผิดเสียก่อน”

หนานกงหลีรู้สึกตกตะลึงหลังจากได้ฟังการวิเคราะห์ของหลานชาย

“คนเล่นการเมืองเช่นพวกเจ้า ล้วนมีสมองเเบบนี้หมดเลยหรือ?”

เขาคิดซับซ้อนเช่นนี้ได้อย่างไร? มองเห็นปัญหามากมายถึงเพียงนี้ได้อย่างไร!

[1] เชียนชิวเจี๋ย (千秋节) คือ วันเฉลิมพระชนมพรรษาของฮ่องเต้ เริ่มจากฮ่องเต้ถังเสวียนจงแห่งราชวงศ์ถัง