ตอนที่ 107 วางแผนคร่าวๆ

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 107 วางแผนคร่าวๆ
สิ่งที่ฮ่องเต้ทรงอยากจะได้ยิน นางอาศัยจังหวะที่ตระกูลบรรพบุรุษมาก่อเรื่องกล่าวออกไปหมดแล้ว

ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ล้วนมีหัวใจ ต่อให้เย็นชาสักเพียงใด…แต่ก็ต้องมีจุดที่อ่อนไหวอยู่ดี

ที่หน้าท้องพระโรงในวันนั้น นางกุเรื่องโกหกฮ่องเต้ว่าท่านปู่กล่าวชื่นชมว่าพระองค์ทรงมีปณิธานที่ยิ่งใหญ่ ทำให้ฮ่องเต้ทรงรู้สึกผิด

นางเชื่อว่าหากฮ่องเต้ทรงรับรู้ว่าจวนเจิ้นกั๋วกง ยอมถูกใต้หล้ารังแก แต่จะมิยอมรังแกใต้หล้า ฮ่องเต้ต้องทรงตัดสินพระทัยอย่างเด็ดขาดแน่นอน

“เพราะถูกตระกูลบรรพบุรุษบีบบังคับจึงขายทรัพย์สมบัติทั้งหมดของจวนเจิ้นกั๋วกง ช่วยให้ข้าบรรลุเป้าหมายตามที่ต้องการ ผลักดันให้ฮ่องเต้ทรงตัดสินพระทัยอย่างเด็ดขาด ปูทางให้จวนเจิ้นกั๋วกงย้ายกลับไปอยู่ที่ซั่วหยางโดยมิถูกตระกูลบรรพบุรุษรังแก” เซียวหรงเหยี่ยนลูบคลำหยกจักจั่นในมือ ลอบชื่นชมหญิงสาวอยู่ในใจ เอ่ยถามเสียงเบา “เรื่องที่ตระกูลบรรพบุรุษบีบคั้นตระกูลไป๋เป็นแผนการของคุณหนูใหญ่ไป๋ด้วยหรือไม่ขอรับ”

คุณหนูใหญ่ตระกูลไป๋ผู้นี้มีฝีมือเก่งกาจเหนือผู้ใด มักทำให้คนรู้สึกประหลาดใจอยู่เสมอ ทว่ามีการวางแผนรับมืออย่างต่อเนื่อง ทุกเรื่องเชื่อมโยงกันอย่างน่าทึ่งที่สุด

“ตระกูลบรรพบุรุษโลภมาก ข้าเพียงแต่รับมือตามสถานการณ์ วางแผนคร่าวๆ เพื่อหาทางรอดให้ตัวเองก็เท่านั้น”

การปฏิเสธต่อหน้าคนฉลาดอย่างเซียวหรงเหยี่ยนมีแต่จะทำให้เขาบีบจนนางต้องยอมรับเท่านั้น มิสู้ยอมรับออกมาอย่างเปิดเผยดีกว่า

“ไม่ว่าอย่างไร ครั้งนี้คุณหนูใหญ่ไป๋ช่วยเหลือข้า ข้าจะมิลืมบุญคุณขอรับ”

“ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ สมหวังดังที่ตนต้องการ ไม่มีผู้ใดติดค้างบุญคุณผู้ใดหรอกเจ้าค่ะ ถือว่าสมหวังกันทั้งสองฝ่ายแล้วกัน อีกอย่างไป๋ชิงเหยียนกล่าวไว้ที่ศาลาเจ๋อหลิ่วในวันนี้ว่าหากเซียวเซียนเซิงมีปัญหา ตระกูลไป๋ยินดีช่วยเหลืออย่างเต็มที่เท่าที่จะทำได้ ไม่คิดบ่ายเบี่ยงเจ้าค่ะ”

ระหว่างที่สนทนากันอยู่ ไป๋ชิงเหยียนพาเซียวหรงเหยี่ยนมาถึงหน้าประตูจวน หญิงสาวกระชับเสื้อคลุมขนจิ้งจอกของตัวเองเล็กน้อย หันไปมองบุรุษที่ยืนอยู่ข้างประตูจวนท่ามกลางแสงไฟ “หากเซียวเซียนเซิงยังรู้สึกไม่สบายใจ ก็ถือว่าตระกูลไป๋ตอบแทนบุญคุณที่เซียวเซียนเซิงยื่นมือเข้าช่วยเหลือถึงสองครั้งก็แล้วกันเจ้าค่ะ”

บ่าวของจวนเจิ้นกั๋วกงจูงม้าของเซียวหรงเหยี่ยนมารออยู่ที่หน้าประตูจวน เมื่อม้ามองเห็น

เซียวหรงเหยี่ยนจึงพ่นลมออกมาจากจมูก กระทืบเท้าไปมาเหมือนอยากจะพุ่งเข้ามาหา

“เชิญเซียวเซียนเซิงเจ้าค่ะ…”

“ลาก่อนขอรับ” เซียวหรงเหยี่ยนทำความเคารพไป๋ชิงเหยียนเสร็จจึงเดินออกไปจากจวนเจิ้นกั๋วกง กระโดดขึ้นไปบนหลังม้าอย่างสง่างาม

มือหนึ่งกุมบังเหียน อีกมือรับแส้ม้าสีทองคาดดำมาจากบ่าวของจวนเจิ้นกั๋วกง นั่งหลังตรงอยู่บนหลังม้า มองดูไป๋ชิงเหยียนซึ่งยืนอยู่ด้านในจวน

สตรีในชุดไว้อาลัยย่อกายทำความเคารพเขาท่ามกลางผ้าไหมสีขาวและโคมไฟที่แกว่งไปมาตามลม ใบหน้าขาวซีดราวกับคนป่วยอ่อนแอ ท่ามกลางหิมะที่ตกลงมาโปรยปราย ก็ยังไม่สามารถบดบังใบหน้าที่งดงาม น่าตราตรึงและรัศมีความสูงศักดิ์ของหญิงสาวไว้ได้

ภายนอกดูเรียบร้อย อ่อนโยน ภายในเด็ดเดี่ยว เจ้าเล่ห์ เจ้าแผนการจนยากจะมองออก

บุคคลเช่นนี้ เซียวหรงเหยี่ยนนับถือมาก

ดวงตาล้ำลึกราวกับบ่อน้ำของเซียวหรงเหยี่ยนจ้องไปยังหญิงสาวครู่หนึ่ง จากนั้นจึงควบม้าจากไป

“วันนี้เป็นวันที่ยาวนานมากเลยนะเจ้าคะ!” ชุนเถาประคองแขนของไป๋ชิงเหยียน ถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้ “คุณหนูใหญ่เหนื่อยแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”

หญิงสาวพยักหน้า “ไปเถิด! ไปหาท่านย่าก่อนแล้วค่อยไปดูอาการจี้ถิงอวี๋”

โรงครัวที่เรือนหลังของจวนเจิ้นกั๋วกง หญิงรับชราใช้สองคนถือถังขยะวิ่งเหยาะๆ เข้าไปหยุดอยู่ใต้ชายคาโรงครัว ปัดหิมะที่ติดอยู่ตามร่างกายออก เงยหน้ามองดูหิมะสีขาวพลางถอนหายใจ “วันนี้สภาพอากาศช่างแปลกประหลาดเสียจริง ทั้งหมอกหนา ทั้งหิมะตกหนัก”

หญิงรับใช้ชราคนหนึ่งมองสำรวจซ้ายขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดจึงกระซิบข้างหูหญิงชราอีกคนเสียงเบา “ข้าได้ยินมาว่าลูกอนุผู้ไม่เอาไหนคนนั้นกับแม่ของเขาจ้างรถม้ามาสองคัน หลบหนีออกจากจวนเจิ้นกั๋วกงไปทางประตูหลังพร้อมสัมภาระใบใหญ่มากมาย! ไม่รู้ว่าจวนเจิ้นกั๋วกงสร้างเวรกรรมอันใดมา โดนตระกูลบรรพบุรุษบีบจนฮูหยินซื่อจื่อต้องขายทรัพย์สมบัติทั้งหมดของจวน หากลูกอนุผู้นั้นหนีไปอีก…จวนเจิ้นกั๋วกงคงไม่มีแม้แต่คนโยนชามกระเบื้อง”

“ดูเหมือนว่างานของจวนเราคงน้อยเกินไปใช่หรือไม่!” หมัวมัวผู้มีหน้าที่ดูแลเรื่องอาหารขององค์หญิงใหญ่ยืนอยู่ด้านในโรงครัว สองมือประสานไว้ที่หน้าท้อง ท่าทีน่าเกรงขามทั้งๆ ที่ไม่ได้แสดงอาการโกรธเคืองออกมา

หญิงรับใช้ชราทั้งสองคนตกใจจนสะดุ้ง รีบย่อกายทำความเคารพพลางถอยหลังไปยืนอยู่ทางด้านหนึ่ง ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง

หมัวมัวท่าทีองอาจซึ่งสวมชุดสีน้ำเงินเข้มจ้องไปยังหญิงชราทั้งสองเขม็ง เดินออกไปจากโรงครัวที่กำลังวุ่นวายอลหม่าน สาวใช้ถือกล่องอาหารทองคำแกะสลักลวดลายงดงามเดินตามหลังหมัวมัวไปเป็นขบวน ทั้งหมดเดินบนระเบียงทางเดินท่ามกลางแสงไฟตรงไปยังเรือนพักอาศัยขององค์หญิงใหญ่

ไฟจากเตาผิงภายในเรือนฉางโซ่วที่องค์หญิงใหญ่พักอาศัยสว่างจ้า สาวใช้จัดเรียงอาหารลงบนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ หญิงชราที่มีหน้าดูแลเตาผิงใช้ไม้คีบเติมถ่านลงไปในเตาผิงเพื่อเพิ่มเชื้อเพลิง จากนั้นปิดฝาทองแดงครอบเตาผิงเอาไว้

เจี่ยงหมัวมัวยืนฟังหมัวมัวผู้ดูแลเรื่องอาหารขององค์หญิงใหญ่เล่าเรื่องที่ไป๋ชิงเสวียนและมารดาของเขาหลบหนีไปอยู่กับไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ่นซิ่วตรงระเบียงทางเดิน เมื่อฟังจบจึงโบกมือให้หมัวมัวกลับไป

หมัวมัวผู้ดูแลพยักหน้า ทำความเคารพอย่างนอบน้อมแล้วเดินจากไป

“ข้ารู้เรื่องนี้แล้ว” ไป๋ชิงเหยียนสารภาพตามตรง “หมัวมัวจากเรือนชิงหมิงมารายงานข้าตั้งแต่เช้าแล้วว่าลูกอนุนั่นจะหลบหนี ข้าสั่งไม่ให้คนรั้งพวกเขาไว้เอง”

“จะไปก็ไปเถิด!” ไป๋จิ่นซิ่วขมวดคิ้วแน่น สีหน้าส่อแววรังเกียจอย่างที่ไม่ค่อยแสดงออกมาให้เห็นสักเท่าใด “สตรีกลางคนและลูกอนุนั่น…ไม่รู้ว่าเหตุใดท่านพ่อของข้าจึง…” เหตุใดถึงตาบอดไปรักใคร่ชอบพอกับสตรีจอมเสแสร้งผู้นั้นกัน

บุตรมิอาจตำหนิบิดา ใจของไป๋จิ่นซิ่วเต็มไปด้วยโทสะ ทว่าสุดท้ายก็ทำเพียงหลับตาลง ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก

ไป๋ชิงเหยียนก้มหน้า มองดูหิมะที่ตกลงกระทบลงบนหลังคาของระเบียงทางเดินจนเกิดเสียง น้ำเสียงราบเรียบ “ท่านย่าว่าอย่างไรบ้าง ท่านต้องการรั้งคนไว้หรือไม่”

“องค์หญิงใหญ่ยังไม่ทราบเรื่องเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่ บุรุษตระกูลไป๋ไม่หลงเหลือแล้ว อย่างน้อยนั่นก็คือสายเลือดของจวนเจิ้นกั๋วกง ที่เด็กนั่นนิสัยไม่ดีก็เพราะไม่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูที่ดี หลายวันก่อนองค์หญิงใหญ่เปรยกับบ่าวว่ารอให้ฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการลงโทษซิ่นอ๋อง หลิวฮ่วนจางและจงหย่งโหวฉินเต๋อเจาลงมาก่อน เมื่อเสร็จพิธีศพของจวนเจิ้นกั๋วกง องค์หญิงใหญ่จะเข้าวังไปขอถอดยศเจิ้นกั๋วกง จากนั้นกำจัดแม่แล้วเหลือไว้เพียงลูก ท่านจะอบรมสั่งสอนลูกอนุผู้นั้นเองเจ้าค่ะ” เจี่ยงหมัวมัวเห็นไป๋ชิงเหยียนก้มหน้าไม่กล่าวสิ่งใด จึงก้าวเข้าไปกุมมือหญิงสาวเอาไว้ “คุณหนูใหญ่ องค์หญิงใหญ่ชราภาพมากแล้ว สูญเสียทั้งสามี ลูกชายและหลานชาย ท่านจะเจ็บปวดเพียงใดเจ้าคะ! เราควรให้ความหวังแก่ท่าน หาเรื่องให้ท่านทำ ความทุกข์ทรมานในใจขององค์หญิงใหญ่จึงจะค่อยๆ ดีขึ้นเจ้าค่ะ!”

“สิ่งที่หมัวมัวกล่าวมาทั้งหมดข้าทราบดี” น้ำเสียงอบอุ่นของไป๋ชิงเหยียนกลบเกลื่อนไอสังหารที่มีอยู่ในใจ “ข้าปล่อยให้พวกเขาจากไปเองเพราะข้ามองนิสัยชอบหนีเอาตัวรอดของลูกอนุผู้นั้นออก ขอแค่ฮ่องเต้มีพระราชโองการสั่งลงโทษซิ่นอ๋อง เขาต้องกลับมาจวนเจิ้นกั๋วกงอีกแน่นอน หมัวมัวเชื่อข้าเถิด!”

“เชื่อเจ้าค่ะ หมัวมัวเชื่อคุณหนูใหญ่อยู่แล้วเจ้าค่ะ! หมัวมัวเป็นกังวลมากเกินไป…คุณหนูใหญ่โปรดอย่าใส่ใจเลยนะเจ้าคะ” เจี่ยงหมัวมัวย่อกายทำความเคารพไป๋ชิงเหยียน

“หมัวมัว” ไป๋ชิงเหยียนถอนหายใจ ประคองเจี่ยงหมัวมัวให้ลุกขึ้น “หมัวมัวทำให้อาเป่าลำบากใจนะเจ้าคะ! หมัวมัวดูแลท่านย่ามาทั้งชีวิต ถือเป็นญาติคนหนึ่งของอาเป่าและจิ่นซิ่ว ท่านย่าอยู่กับหมัวมัวมานานกว่าหลานอย่างข้าด้วยซ้ำ มีท่านคอยดูแลเป็นห่วงเป็นใยท่านย่า ถือเป็นวาสนาของพวกเราเจ้าค่ะ”

เจี่ยงหมัวมัวตาแดงก่ำ ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปาก น้ำตาไหลพราก “คุณหนูใหญ่ คุณหนูรอง พวกท่านคงไม่ทราบ ตั้งแต่ที่จวนเจิ้นกั๋วกงเกิดเรื่อง องค์หญิงใหญ่ทุกข์ทรมานใจมาก ทว่า ท่านฝืนทำตัวเข้มแข็งไม่ยอมล้ม ท่านอยู่ตรงกลางระหว่างราชวงศ์และจวนเจิ้นกั๋วกง ทุกข์ทรมานใจราวกับอยู่ท่ามกลางน้ำมันเดือด ไม่มีวันใดที่ท่านรู้สึกสงบได้เลยเจ้าค่ะ”