ตอนที่ 108 ไว้ทุกข์

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 108 ไว้ทุกข์
สิ่งที่เจี่ยงหมัวมัวกล่าวมาทั้งหมดนางรู้ดี เพราะว่ารู้ดี…นางจึงพยายามข่มไอสังหาร ยอมไว้ชีวิตบุตรอนุผู้นี้เพื่อท่านย่า

“ข้าจะจัดการเรื่องกำจัดมารดาของเด็กนั่นเอง อย่าให้ท่านย่าต้องมากังวลกับเรื่องพวกนี้เลย” ไป๋ชิงเหยียนกล่าว

“หมัวมัว ท่านย่าทุกข์ทรมาน แล้วพี่หญิงใหญ่ไม่ทุกข์หรืออย่างใด” ไป๋จิ่นซิ่วกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น กล่าวแทนไป๋ชิงเหยียนทั้งน้ำตา “หากปล่อยลูกอนุของท่านพ่อข้าอยู่ที่ตระกูลไป๋ต่อมีแต่จะสร้างความเดือดร้อนให้จวนของเรา ถ้อยคำที่เด็กสารเลวนั่นกล่าวกลางถนนวันนั้นยังมิน่ากลัวพออีกหรือ! หากเก็บเขาไว้…มิรู้ว่าเขาจะนำความเดือนร้อนมาให้ตระกูลของเราเมื่อใด หากถึงเวลานั้นต้องให้พี่หญิงใหญ่ไปตามเก็บกวาดปัญหาที่เด็กนั่นก่ออีกหรือเจ้าคะ เดิมทีพี่หญิงใหญ่ก็ร่างกายไม่แข็งแรงอยู่แล้ว ต้องมาคอยเป็นกังวลตระกูลของเราเช่นนี้อีก วันนี้พี่หญิงใหญ่โดนโบยที่หน้าประตูอู่เต๋อไปหนึ่งที จวบจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีเวลาพักผ่อนให้ท่านหมอหงมาตรวจดูอาการเลยด้วยซ้ำ หมัวมัวไม่สงสารพี่หญิงใหญ่ แต่กลับมาขอร้องให้พี่หญิงใหญ่ไว้ชีวิตเด็กสารเลวนั่นจนถึงที่นี่เลยหรือ”

ไป๋จิ่นซิ่วเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก น้ำตาไหลพรากอย่างควบคุมไม่ได้ “ตั้งแต่เล็กจนโต ต่อให้พี่หญิงใหญ่ได้รับบาดเจ็บก็ไม่เคยร้องว่าเจ็บปวดเลยสักครั้ง หมัวมัวคิดว่าร่างกายของพี่หญิงใหญ่จากเหล็ก ไม่รู้จักความเจ็บปวดหรืออย่างใด”

เจี่ยงหมัวมัวซึ่งยืนอยู่ภายใต้แสงไฟเหมือนตื่นขึ้นจากความฝัน มองไปทางไป๋ชิงเหยียนพลางสำรวจนางอย่างร้อนรน เอ่ยถามเสียงสะอื้นอย่างตื่นตระหนก “คุณหนูใหญ่…คุณหนูใหญ่เป็นอันใดมากหรือไม่เจ้าคะ หมัวมัวเลอะเลือนเองเจ้าค่ะ เป็นความผิดของหมัวมัวเอง หมัวมัวจะไปตามท่านหมอหงมาเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!”

“ท่านหมอหงกำลังเฝ้าดูอาการของจี้ถิงอวี๋อยู่ จี้ถิงอวี๋เสียเลือดมาก เกรงว่า…” ไป๋ชิงเหยียนเม้มปากไม่กล่าวสิ่งใดต่อ เมื่อนึกว่าจี้ถิงอวี๋หักแขนข้างที่เพิ่งห้ามเลือดได้ของตัวเองอีกครั้งเพื่อจวนเจิ้นกั๋วกง ขอบตาของหญิงสาวก็ร้อนผ่าว “ข้ามิเป็นอันใดมาก”

เทียบกับจี้ถิงอวี๋แล้ว นางโดนโบยแค่ครั้งเดียวจะเป็นอันใดไป

หญิงสาวจับมือไป๋จิ่นซิ่วแน่น ปลอบโยนน้องสาว “เพชฌฆาตออมแรงตอนโบยพี่ เบากว่าตอนโดนโบยที่จวนมากนัก มิเช่นนั้นพี่จะยืนอยู่ตรงนี้ได้หรืออย่างใดกัน”

เสียงม่านลูกปัดแกว่งไปมา และเสียงลูกปัดกระทบกันดังออกมาจากในห้อง สาวใช้และหญิงชราเดินออกมาจากห้อง

เจี่ยงหมัวมัวเช็ดน้ำตา แหวกม่านเปิดให้ไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ่นซิ่ว เมื่อเดินเข้าไปในห้องก็เห็นต่งซื่อประคององค์หญิงใหญ่นั่งลงบนโต๊ะกลม

ต่งซื่อมารายงานองค์หญิงใหญ่เรื่องขายทรัพย์สมบัติของจวนเจิ้นกั๋วกง อธิบายเรื่องทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบให้องค์หญิงใหญ่ฟังอย่างละเอียด องค์หญิงใหญ่รู้ว่าต่งซื่อและไป๋ชิงเหยียนวางแผนเพื่อชีวิตภายภาคหน้าของสตรีแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเมื่อย้ายกลับไปอยู่ที่ซั่วหยาง ท่านจึงไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ กลับรู้สึกว่าต่งซื่อและไป๋ชิงเหยียนทำได้เด็ดขาดมาก ไม่ต้องกังวลว่าพวกนางจะถูกรังแกหลังย้ายกลับอยู่ที่ซั่วหยางอีกแล้ว

เมื่อต่งซื่อกล่าวจบก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก ขณะเตรียมรับประทานอาหารก็ได้ยินเสียงสนทนาของเจี่ยงหมัวมัวดังมาจากด้านนอก

องค์หญิงใหญ่และต่งซื่อยืนฟังอยู่ในห้องครู่หนึ่งจึงแหวกม่านเดินออกไป

องค์หญิงใหญ่หลับตา มือนับลูกประคำ ผมขาวโพลนส่องระยิบระยับท่ามกลางแสงเทียนในห้อง ใบหน้าที่ดูทรุดโทรมปรากฏชัดเจน

“อาเป่า…” องค์หญิงใหญ่ยื่นมือที่ถือลูกประคำไปหาไป๋ชิงเหยียน ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ

เมื่อหญิงสาวก้าวเท้าไปหยุดอยู่หน้าองค์หญิงใหญ่ก็โดนองค์หญิงใหญ่รวบตัวเข้าไปกอดทันที องค์หญิงใหญ่หลับตาลง น้ำตาไหลพราก กัดฟันฟันแน่น เบิกตาขึ้นแล้วตะโกนเสียงดัง

“ให้คนนำบัตรเชิญของข้าไปเชิญท่านหมอหลวงมาดูอาการอาเป่าหน่อย”

แสดงว่าท่านย่าของนางได้ยินสิ่งที่พวกนางสนทนากันเมื่อครู่ ไป๋ชิงเหยียนมององค์หญิงใหญ่ “ท่านย่า ข้ามิเป็นอันใดเจ้าค่ะ ท่านย่ามิต้องกังวล”

“เจ้าเชื่อฟังท่านย่าของเจ้าเถิด!” ต่งซื่อร้อนใจจนแทบทนไม่ไหว ดวงตาแดงก่ำ ผ้าเช็ดหน้าในมือถูกขยำจนแทบขาดวิ่น “เหตุใดต้องฝืนทำเป็นเข้มแข็งต่อหน้าคนในครอบครัวด้วย!”

วันนี้นางรู้เพียงว่าองค์หญิงใหญ่พาพวกเด็กๆ ไปตีกลองเติงเหวิน เมื่อเห็นว่าพวกนางกลับมาอย่างปลอดภัยจึงคิดว่าทุกอย่างราบรื่นดี ผู้ใดจะไปคิดว่าบุตรสาวของนางโดนโบยที่หน้าประตูอู่เต๋อหนึ่งที เหตุใดจึงไม่มีคนมารายงานให้นางทราบกัน

หากรู้ว่าบุตรสาวโดนโบยหนึ่งที นางจะปล่อยให้บุตรสาวเหนื่อยเช่นนี้ได้อย่างใดกัน!

“มิเป็นไรได้อย่างใดกัน! ตั้งแต่เล็กจนโตเจ้าก็เป็นเสียอย่างนี้ ไม่ว่าจะได้รับบาดเจ็บหรือเจ็บปวดที่ใดก็มิเคยร้องสักนิด! เคยตัวจนติดเป็นนิสัยแล้ว ถูกจับได้ยังฝืนทำเป็นเข้มแข็งอีก!” องค์หญิงใหญ่ดุเสียงดัง

“หากเจ้าไม่อยากให้ย่ากังวลก็ให้ท่านหมอหลวงตรวจดูอาการเสีย!”

เมื่อตกลงได้ว่าจะเชิญหมอหลวงมาดูอาการ องค์หญิงใหญ่จึงกล่าวต่ออย่างตัดใจเด็ดขาด “หากเด็กสารเลวนั่นอยากจะไปก็ปล่อยเขาไป จวนเจิ้นกั๋วกงไม่มีทายาทที่ขี้ขลาดเช่นนี้!”

เนื่องจากไป๋ชิงเสวียนเป็นบุตรอนุของบิดาของไป๋จิ่นซิ่ว ไป๋จิ่นซิ่วจึงรู้สึกผิด “ท่านย่าเจ้าคะ…”

องค์หญิงใหญ่ลืมตาที่แดงก่ำขึ้น สีหน้าเคร่งขรึม กล่าวอย่างหนักแน่น “ไม่มีเด็กนั่น จวนเจิ้นกั๋วกงก็ยังมีเด็กในท้องของลูกสะใภ้ห้า ต่อให้เด็กในท้องเป็นสตรี สตรีของจวนเจิ้นกั๋วกงจะประคับประคองตระกูลไปไม่รอดหรืออย่างใดกัน นั่งลงทานข้าวเถิด! หมัวมัวไปเรียกพวกเด็กๆ ที่เฝ้าวิญญาณอยู่หน้าโถงทำพิธีมาทานข้าวเถิด!”

มองดูอาหารเจที่วางเรียงรายเต็มโต๊ะ องค์หญิงใหญ่กล่าวขึ้นอย่างจริงจัง “แม้จะอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ แต่เด็กพวกนี้อยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโต จะทานแต่ผักไม่ทานเนื้อเช่นหญิงแก่อย่างข้าได้อย่างใดกัน!”

“ท่านย่าเจ้าคะ พวกเราอยู่ในช่วงไว้ทุกข์…” ไป๋จิ่นซิ่วกล่าวด้วยตาที่ยังแดงก่ำ

“ไม่ทานเนื้อสัตว์จะเอาเรี่ยวแรงจากที่ใดไปเฝ้าหน้าศพ จะเอาแรงจากที่ใดดูแลจวนเจิ้นกั๋วกงกัน การไว้ทุกข์อยู่ที่ใจมิใช่การกระทำที่ทำให้ผู้อื่นเห็นเช่นนี้ พวกเจ้าไว้ทุกข์ด้วยสิ่งพวกนี้เพื่อสิ่งใดกัน อาเป่าร่างกายอ่อนแอ จิ่นซิ่วออกเรือนไปแล้วก็ต้องดูแลร่างกายเพื่อเตรียมตัวสำหรับภายภาคหน้า น้องสาวของพวกเจ้าก็ยังเด็กอยู่หากไว้ทุกข์ถึงสามปีร่างกายของพวกเจ้าจะเป็นเช่นใด! การที่พวกเจ้าแข็งแรง ปลอดภัย คือความกตัญญูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่พวกเจ้าทำเพื่อท่านปู่และท่านพ่อของพวกเจ้าได้ มิต้องเถียงกันเรื่องนี้แล้ว หากผู้อื่นติฉินนินทา…ก็บอกไปว่าหญิงแก่อย่างข้าใช้คำว่ากตัญญูบังคับให้พวกเจ้าทานเอง!”

องค์หญิงใหญ่รวบรวมสติ หันไปสั่งบ่าวรับใช้ข้างกาย “สั่งให้โรงครัวทำก๋วยเตี๋ยวน้ำแกงไก่ให้พวกเด็กๆ คนละชาม ใส่หน่อไม้เปรี้ยว เห็ดสนและไข่ไก่สองฟอง นำขาหมูนึ่งที่โรงครัวเตรียมไว้ก่อนปีใหม่จัดขึ้นโต๊ะสองจานด้วย! ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปโรงครัวต้องเตรียมน้ำแกงเนื้อสัตว์ไว้ตลอด ข้าเป็นคนสั่งเอง!”

“เด็กดี ป้ารู้ว่าเจ้ากตัญญู แต่ท่านย่าของเจ้ากล่าวถูกต้องแล้ว” ต่งซื่อลูบมือของไป๋จิ่นซิ่วเบาๆ

“พวกท่านปู่ของพวกเจ้าไม่อยู่แล้ว จะให้พวกเจ้าทำร้ายร่างกายของตัวเองเพียงเพราะการไว้ทุกข์ได้อย่างใดกัน เชื่อฟังท่านย่าของเจ้าเถิด!”

เมื่อโน้มน้าวไป๋จิ่นซิ่วเสร็จ ต่งซื่อจึงหันไปสั่งบ่าว “ทำก๋วยเตี๋ยวให้ท่านเขยรองชามหนึ่งและเครื่องเคียงอีกสักสองสามอย่าง ท่านเขยรองเหนื่อยกับการช่วยเหลือจวนเจิ้นกั๋วกงมาหลายวันแล้ว!”

หน้าโถงทำพิธีศพต้องมีคนอยู่เฝ้าตลอดเวลา ไป๋จิ่นถงและไป๋จิ่นจื้อพาน้องสาวอีกสามคนไปทานอาหาร มารดาและท่านอาสะใภ้อยู่เฝ้าวิญญาณที่หน้าโถงทำพิธี

เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ แม่นมพาคุณหนูห้า คุณหนูหกและคุณหนูเจ็ดกลับไปพักผ่อน องค์หญิงใหญ่จับตาดูหมอหลวงตรวจอาการของไป๋ชิงเหยียนด้วยตัวเอง เมื่อได้ยินหมอหลวงบอกว่าไป๋ชิงเหยียนไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสนางจึงวางใจ