บทที่ 143 จงใจหลอกลวงข้า

พลิกชะตาหมอยา

หลังจากที่จ้านเป่ยเซียวนั่งลงที่โต๊ะ และเห็นอาหารที่อยู่ตรงหน้า แววตาก็เป็นประกายขึ้นมา และถามขึ้นด้วยความงุนงงในทันที : “นี่คืออาหารเจหรือ ?”

“ใช่แล้ว ใช้ผักที่อยู่ในภัตตาคารของท่านทำ ท่านให้ผักสดกองโตกับข้า แล้วยังคาดหวังว่าข้าจะทำไก่เป็ดปลาเนื้อให้ท่านอีกหรือ ทำได้เพียงแค่นี้แหละ” เฟิ่งชิงหัวหันมองอาหารและพูดขึ้นด้วยความรู้สึกรังเกียจเล็กน้อย นางเป็นคนประเภทหากไม่ได้กินเนื้อก็ไม่มีความสุข อาหารเหล่านี้สำหรับนางแล้วช่างดูข้นแค้นยิ่งนัก

จ้านเป่ยเซียวไม่พูดอะไร เขาหยิบตะเกียบขึ้นมา แล้วคีบเห็ดหูหนูใส่เข้าปากหนึ่งชิ้น เคี้ยวสองครั้งแล้วกลืนลงคอไป จากนั้นจึงหันมองเฟิ่งชิงหัวด้วยสีหน้าประหลาดใจในทันที

“ทำไม ไม่อร่อยหรือ ?” เฟิ่งชิงหัวรีบคีบเข้าปากหนึ่งชิ้นทันที รสชาติก็ใช้ได้นี่ จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแล้วหันมองจ้านเป่ยเซียว

“ทำไมถึงมีรสชาติของปลาได้ ?” จ้านเป่ยเซียวพูดอย่างงุนงง

“อาหารจานนี้เรียกว่ามะเขือม่วงผักเต้าเจี้ยวปรุงรส ท่านลองคีบมะเขือม่วงหนึ่งชิ้นดู”

จ้านเป่ยเซียวคีบตามที่ว่า พบว่าคล้ายคลึงมากจริง ๆ หากไม่ใช่เพราะบนชิ้นมะเขือม่วงนี้ ยังคงมีเปลือกสีม่วงหลงเหลืออยู่ เขาแทบจะคิดว่าตนเองกินเนื้อปลาหนึ่งชิ้นเข้าไปจริง ๆ

จากนั้นจึงคีบหมาผัวโต้วฟูขึ้นมาอีกหนึ่งชิ้น ทั้งเผ็ดและชาลิ้น แต่รู้สึกถูกปากอย่างยิ่ง ไม่จืดชืดเหมือนกับเต้าหู้ก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย อ่อนนุ่มเป็นอย่างยิ่ง

“เจ้าทำอย่างไร ?”

“ก็ทำอย่างนี้นะสิ จะให้ทำอย่างไร ข้าบอกแล้วว่า ต่อให้ภัตตาคารของท่านแขวนหัวแกะหรือขายเนื้อสุนัข แต่อย่างน้อยก็ต้องทำอาหารที่กลืนลงคอได้ออกมา มิเช่นนั้นต่อให้บรรดาขุนนางเหล่านั้นไม่พูดออกมาตามตรง แต่ก็ต้องแอบพูดลับหลังว่าท่านอ๋องอย่างท่าน ตระหนี่เกินไปแล้ว”

จ้านเป่ยเซียวไม่พูดอะไร นั่งกินอาหารเงียบกริบ

ทั้งสองผลัดกันคีบคนละคำ ไม่นานนักก็กินอาหารทั้งสามจานจนเกลี้ยง แม้แต่น้ำแกงก็ดื่มไปสองถ้วย

เฟิ่งชิงหัวพูดพลางหัวเราะ : “พวกท่านบอกว่าเป็นอาหารเจ คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีของอย่างเช่นไข่ไก่ด้วย หากมีพระสงฆ์มาฉันละก็ คงต้องผิดศีลอย่างแน่นอน”

จ้านเป่ยเซียวจนใจ : “ไม่ใช่วัดสักหน่อย ย่อมไม่ใช่อาหารเจอย่างแท้จริง อย่ามัวพูดจาสุ่มสี่สุ่มห้าอยู่เลย กินเสร็จก็กลับจวนกัน”

ในน้ำเสียงแฝงไปด้วยความรักใคร่ที่ทั้งสองก็ยังไม่ทันสังเกตเห็น

เฟิ่งชิงหัวกลับจับคางแล้วครุ่นคิดอยู่สักครู่ : “ท่านอ๋อง พวกเรามาร่วมมือกันเถอะ ?”

“ร่วมมือ ?”

เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า : “ท่านดูสิ หอไล่ตามเมฆาของท่าน เรียกได้ว่าทั้งถูกที่ ถูกเวลา และถูกคน แต่อาหารเหล่านี้นะหรือ เรียกว่ายากจะอธิบายได้ในคำเดียว หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป จะต้องส่งผลต่อปริมาณลูกค้าอย่างแน่นอน ไม่สู้ ให้ข้าปรับปรุงรสชาติอาหาร ตั้งราคาเสียใหม่ จากนั้นท่านก็แบ่งกำรให้ข้าสองในสิบเป็นอย่างไร?”

“เจ้าขาดแคลนเงินมากเลยหรือ ?” จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้ว

“คงไม่มีใครรังเกียจที่มีเงินเยอะหรอกใช่ไหม ?” เฟิ่งชิงหัวผายมือ แล้วพูดขึ้นอย่างจนใจ

จ้านเป่ยเซียวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่ได้รตอบรับนางในทันที กลับพูดว่า : “ข้าขอคิดดูก่อน”

เฟิ่งชิงหัวพูดขึ้นทันที : “ยังจะคิดอะไรอีก ท่านเองก็ชิมอาหารที่ข้าทำแล้วนี่ เมื่อเทียบกับที่พ่อครัวเหล่านั้นทำ ต่างกันราวฟ้ากับดินเลยใช่ไหมล่ะ ? หลังจากได้รับการชี้แนะจากข้า ทักษะการทำอาหารของพวกเขา จะต้องยกระดับถึงจุดสูงสุดอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นหอไล่ตามเมฆาของพวกท่าน ก็จะมีโอกาสขึ้นเป็นภัตตาคารรสเลิศที่ใหฐ่ที่สุดในเมืองหลวง ว่าอย่างไร ? อยากจะร่วมมือกับข้าไหม ?”

จ้านเป่ยเซียวหันมองเฟิ่งชิงหัว ที่แววตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยประกายแวววาว เดิมทีคิดจะตกปากรับคำ แต่ทว่า จู่ ๆ เขาก็คิดขึ้นมาได้ว่า ผู้หญิงคนนี้ ไม่ใช่ผู้หญิงที่รับมือได้ง่าย

หากตนเองตอบรับนางอย่างง่ายดายเช่นนี้ นางไม่มีทางซาบซึ้งในบุญคุณอย่างแน่นอน

นึกถึงตอนที่เขาให้นางคัดลอกกฎของบ้าน แล้วนางแอบเล่นไม่ซื่อ จ้านเป่ยเซียวก็แอบถอนหายใจเบา ๆ

จ้านเป่ยเซียวเหลือบมองเฟิ่งชิงหัวอย่างเย่อหยิ่ง : “หอไล่ตามเมฆาของข้านับว่าไม่เป็นสองรองใครในเมืองหลวงแล้ว ไม่ต้องอาศัยเจ้าหรอก”

เมื่อเฟิ่งชิงหัวเห็นว่า คนผู้นี้ในตอนแรกยังรับปากว่าจะคิดดูก่อน แต่จู่ ๆ กลับปฏิเสธขึ้นมา ซ้ำยังแสดงท่าทีดูถูก ช่างน่าโมโหจริง ๆ !

ที่นี่ไม่ต้องการข้า ก็ย่อมมีที่อื่นที่ต้องการข้า นางไม่เชื่อว่า อาศัยความฉลาดที่นางมีอยู่ จะหารายได้ไม่ได้ ?

ยิ่งไปกว่านั้น นางคงไม่เป็นพวกสิ้นไร้ไม้ตอกไปตลอด หากไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น หึ!

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เฟิ่งชิงหัวก็หันหน้าไป และไม่หันมองจ้านเป่ยเซียวอีก

จ้านเป่ยเซียวเห็นนางโมโหเช่นนี้ ก็เม้มริมฝีปาก และทำเสียงกระแอมเบา ๆ หนึ่งครั้ง แต่คนที่นั่งตรงข้ามกลับไม่หันมองเขาแม้แต่น้อย

จ้านเป่ยเซียวยกมือขึ้นบังริมฝีปาก แล้วพูดเบา ๆ ว่า : “ที่จริงแล้ว ก็ใช่ว่าจะปรึกษากันไม่ได้”

เฟิ่งชิงหัวหูผึ่งขึ้นมาในทันที แต่ก็ยังหันมองจ้านเป่ยเซียวด้วยสีหน้าดูถูกอย่างยิ่ง : “ท่านจะให้ข้าทำอะไรอีก ? ข้าจะบอกท่านให้นะ ข้ายอมหักไม่ยอมงอ ไม่มีทางก้มหัวให้เงินเดือนอันน้อยนิดแน่นอน !”

จ้านเป่ยเซียวเปรยตามองเฟิ่งชิงหัว แล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า : “เจ้าคงยังเจ้าได้ว่า เมื่อครู่ข้าเพิ่งใช้เงินหนึ่งล้านตำลึงซื้อปะการังไปนะ ?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฟิ่งชิงหัวก็รู้สึกตัวอ่อนยวบลงไปทันที แต่เพื่อปิดบังความรู้สึกผิดในใจ จึงยืดอกขึ้นมา : “จำได้สิ ทำไมล่ะ ?”

“ของสิ่งนั้น ข้าซื้อให้เจ้านะ”

เฟิ่งชิงหัวรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมา แอบกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ : “เอ่อ แล้วอย่างไร ?”

“ข้าซื้อมาเพื่อเอาใจนายหญิงของจวนอ๋อง” จ้ายเป่ยเซียวพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ทว่า ทันทีที่เปลี่ยนบทสนทนา นำเสียงก็เคร่งขรึมขึ้นทันที : “เพราะฉะนั้น เจ้าพิจารณาเสร็จหรือยัง ?”

เมื่อเฟิ่งชิงหัวได้ยินประโยคด้านล่าง ก็แทบอยากเอาหัวมุดลงดินในทันที

“ปะการังของท่าน อย่างมากข้าก็แค่เอาคืนให้ท่าน ท่าทำสัญญาขึ้นมาสิ” เฟิ่งชิงหัวพูดขึ้นอย่างไม่ลดราวาศอก

“หนึ่งล้านตำลึง เจ้าคิดว่าเมื่อไรจะคืนหมด ? หากภายในระยะเวลาอันสั้นก็ไม่เป็นไร หากกินเวลายาวนานขึ้นมา เกรงว่าดอกเบี้ยคงสูงไม่น้อย” จ้านเป่ยเซียวพูดขึ้นอย่างสบาย ๆ

“หากต้องการเงิน ข้าคืนให้ได้ แต่หากต้องการคน ข้าไม่ให้ ! ปะการังนั่น ข้ไม่ได้เป็นคนให้ท่านซื้อสักหน่อย ให้ใครให้ท่านปากไวใจเร็วเช่นนั้น คนอื่นเห็นแล้วก็ให้ราคาเพียงห้าหกแสนตำลึง แต่จู่ ๆ ท่านกลับให้ราคาสูงถึงหนึ่งล้านตำลึง ข้ายังสงสัยเลยว่าท่านกำลังจวใจหลอกลวงข้าอยู่หรือเปล่า !” เฟิ่งชิงหัวพูดขึ้นด้วยความโมโห