บทที่ 142 ผู้แสวงหาผลกำไร 2

พลิกชะตาหมอยา

“อะไรนะ !” เฟิ่งชิงหัวรู้สึกตกใจ นางจ้องมองของต่าง ๆ ที่อยู่บนโต๊ะ เต้าหู้ก้อนเล็กที่มีราคาอย่างมากกสองอีแปะ และขึ้นฉ่ายราคาห้าอีแปะ

เมื่อผู้ดูแลร้านผู้นั้น ได้ยินเฟิ่งชิงหัวส่งเสียงดังต่อหน้าท่านอ๋องเช่นนี้ ก็รู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมาทันที เมื่อกำลังคิดว่าเขาผู้นี้คงไม่ถูกท่านอ๋องจับโยนออกไปหรอกกระมัง กลับคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินท่านอ๋องพูดขึ้นมาเบา ๆ : “เจ้าจะตกใจขนาดนั้นทำไม ทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมไปได้”

เฟิ่งชิงหัวชี้นิ้วไปที่จ้านเป่ยเซียว มือเล็ก ๆ สั่นเทา : “ค้ากำไรเกินควร ๆ พ่อค้าหน้าเลือด ๆ ข้าติดไม่ถึงเลยว่าท่านจะเป็นคนเช่นนี้ ที่พูดว่าไม่มีเงินไม่มีอำนาจ ที่บอกว่าชีวิตไม่ยืนยาวล่ะ ?”

มุมปากของจ้านเป่ยเซียวกระตุกเล็กน้อย : “ใครพูด ?”

“ทุกคนล้วนพูดเช่นนี้”

“ข่าวลือก็บอกว่าเจ้าเป็นคนไร้ความสามารถ”

เฟิ่งชิงหัวเจ็บปวดสุดแสน : “ข่าวลือช่างทำร้ายคนจริง ๆ”

ผู้ดูแลร้านยังคงยืนอยู่ที่เดิม และพยายามทำให้ตนเองนั้นไร้ตัวตน ไม่กล้ารบกวนบทสนทนาของทั้งสองคน

เฟิ่งชิงหัวครุ่นคิดก็ยังไม่เข้าใจ : “ไม่ถูกต้อง นี่มันไร้เหตุผล เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเป็นของธรรมดา ๆ ทำไมจึงมีคนมากินเยอะขนาดนี้ ?”

จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้ว : “ไม่แน่ว่า อาจเป็นเพราะเบื่อรสชาติของอาหารอันโอชะ ดังนั้นจึงเปลี่ยนมากินอาหารเจดูบ้างกระมัง ?”

“จริงหรือ ? ถึงแม้อยากเปลี่ยนรสชาติ แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องมาให้เชือดถึงที่นี่สักหน่อย ?”

“คนที่มาที่นี่ ส่วนมากล้วนเป็นข้าราชการชั้นสูงหรือตระกูลสูงศักดิ์ ต่างก็มาที่นี่เพื่อเกียรติยศ ดังนั้นไม่ว่าจะกินอะไร ก็ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจมากนัก”

“จุ๊ ๆ ที่แท้คนมีเงินก็ไม่มีความฝันนั่นเอง ขอเพียงคิดก็สามารถเป็นความจริงได้ ความฝันที่ไร้เงินทองถึงจะยั่งยืน เพราะอาจไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้ตลอดกาล” เฟิ่งชิงหัวรู้สึกอิจฉาอีกครั้ง

“ข้าจะให้คนทำมาให้อีกชุดหนึ่งดีไหม ?” จ้านเป่ยเซียวกล่าว

เฟิ่งชิงหัวยกมือขึ้น : “ไม่ต้องแล้ว ต่อให้จะทำอีกสักสิบชุด อย่างไรเสียเต้าหู้ก็คือเต้าหู้ ขึ้นฉ่ายก็คือขึ้นฉ่ายอยู่ดี ข้าจะลงไปหาอะไรกินเองที่ด้านล่างจะดีกว่า ท่านค่อย ๆ กินเองเถอะ”

จ้านเป่ยเซียวไม่ฝืนใจ แต่ได้ส่งสายตาให้กับผู้ดูแลร้าน ผู้ดูแลร้านรีบส่งนางไปยังห้องครัวที่อยู่ชั้นล่างด้วยความเคารพทันที

ทันทีที่เข้าไป เฟิ่งชิงหัวก็เห็นคนสิบกว่าคนกำลังทำอาหาร ถึงแม้จะบอกว่าทำอาหาร แต่อันที่จริงในมือของทุกคนต่างกำลังง่วนกับกระทะใบใหญ่อยู่ ปริมาณอาหารที่อยู่ด้านในเหมาะสำหรับ 7-8 คนทาน

เมื่อมีคนบอกรายการอาหารมาจากด้านหน้า พ่อครัวที่ถูกเรียกชื่ออาหาร ก็จะตักอาหารให้กระทะของตนเองออกมาหนึ่งช้อน ดูไม่มีศิลปะใด ๆ เลยแม้แต่น้อย

ท่าทางเช่นนี้ ช่างดูเหมือนการตักอาหารในโรงอาหารของโรงเรียนอย่างไรอย่างนั้น เห็นแล้วทำให้เฟิ่งชิงหัวประหลาดใจไม่น้อย

ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ภัตตาคารของจ้านเป่ยเซียวก็ยังไม่เจ๊ง ก็มีเพียงสองเหตุผล ข้อแรก บรรดาขุนนางที่มากินอาหารเหล่านี้ ล้วนมาเพื่อศักดิ์ศรี เพราะมีการกำหนดไว้ว่า ขุนนางขั้นไหนจึงจะสามารถนั่งในห้องส่วนตัวได้ ขุนนางขั้นไหนจึงจะนั่งกินอาหารที่ชั้นหนึ่งได้ ส่วนเหตุผลอีกข้อหนึ่งก็คือสภาพโดยรวมของภัตตาคาร ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่มีระดับอย่างยิ่ง

บรรดาใต้เท้าเหล่านี้ล้วนเบื่อหน่ายรสชาติอาหารอันโอชะ ลองกินอาหารธรรมดาดูบ้างเป็นบางครั้ง ก็คงถือได้ว่าเป็นเรื่องน่าสนุก

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เฟิ่งชิงหัวก็ไม่รู้สึกแปลกใจอีก

เฟิ่งชิงหัวมองดูวัตถุดิบก่อน พบว่าที่นี่ไม่มีเนื้อเจือปนแม้แต่น้อยเลยจริง ๆ แม้กระทั่งเนื้อบดก็หาไม่เจอ จึงทำได้เพียงถอนหายใจออกมาด้วยความจนใจ

หยิบมะเขือสองลูกออกมาหั่นเป็นเส้น จากนั้นจึงนำแครอทออกมาหั่นฝอย ยังมีเห็ดหูหนูและหน่อไม้ด้วย

หลังจากเตรียมวัตถุดิบพร้อมแล้ว ก็เดินไปตรงหน้ากระทะที่ยังว่างเปล่าอยู่ จากนั้นจึงเปิดไฟผัดอาหาร ด้วยท่าทางคล่องแคล่ว

ไม่นานนัก ก็มีกลิ่นหอมลอยอบอวลไปทั่วครัว บรรดาพ่อครัวที่กำลังเตรียมอาหารของตนอยู่นั้น ต่างค่อย ๆ หันหน้ามามองนาง

“หอมจริง ๆ หรือว่าทำอาหารจากปลา ?”

“จะเป็นไปได้อย่างไร ที่นี่มีเนื้อเสียที่ไหนกัน”

“หอมขนาดนี้ ไม่เหมือนกับอาหารเจเลยแม้แต่น้อย”

ขณะที่พูดอยู่นั้น ก็มีคนเดินเข้ามา จ้องมองอาหารที่อยู่ในกระทะของเฟิ่งชิงหัว และอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้นว่า : “น้องชาย เจ้าทำอาหารอะไรหรือ ช่างหอมจริง ๆ”

“มะเขือม่วงผัดเต้าเจี้ยวปรุงรส” เฟิ่งชิงหัวยกกระทะพลางพูดขึ้น

“ทำจากปลาหรือ ?”

“ไม่ใช่ มะเขือม่วง”

คนเหล่านั้นไม่เชื่อนัก ต่างหันมองเฟิ่งชิงหัวด้วยสีหน้าที่เหมือนกำลังพูดว่า เจ้าอย่าหลอกพวกข้าเสียให้ยาก

เฟิ่งชิงหัวไม่พูดอะไร และทำอาหารต่ออีกสองอย่าง อย่างแรกคือหมาผัวโต้วฟู อีกอย่างคือผัดสามเซียน สุดท้ายยังทำผักกาดขาวเปรี้ยวหวานอีก และต้มแกงจืดวุ้นเส้นไข่ไก่อีกหนึ่งถ้วย

จากนั้นจึงถือขึ้นไปชั้นบน ปล่อยให้คนที่เหลือวิพากษ์วิจารณ์กันต่อไป

พวกเจ้าเห็นอาหารที่เขาผัดเมื่อครู่หรือไม่ เครื่องปรุงที่ใส่ลงไปล้วนเป็นของที่เรามีอยู่ทั้งสิ้น ยังคงเป็นอาหารเจ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีกลิ่นหอมเช่นนี้”

“ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลยว่า จะสามารถนำผักมาทำอาหารเช่นนี้ได้ด้วย นำทั้งหมดมารวมกัน มองดูแล้วหน้าตาน่ากินไม่น้อย”

เฟิ่งชิงหัวยกตะกร้าอาหารกลับไปที่ชั้น 12 มองดูอาหารที่อยู่บนโต๊ะและไม่แตะต้องอีก จ้านเป่ยเซียวกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนตั่งนุ่มด้านข้าง

เมื่อครู่เฟิ่งชิงหัวสังเกตเห็นแล้วว่า เขามีชั้นหนังสือหลายชั้นจัดวางอยู่ในห้องที่ติดกัน ภายในเป็นหนังสือทั้งหมด มีอยู่จำนวนไม่น้อยที่เป็นต้นฉบับที่มีเพียงเล่มเดียว นางเองก็ยังคิดว่าจะปรึกษากับเขาเพื่อขอหยิบยืมมาอ่าน

เนื่องจากมีจุดประสงค์เช่นนี้ ดังนั้นเฟิ่งชิงหัวจึงดูอัธยาศัยดีเป็นพิเศษ หลังจากจัดวางอาหารเรียบร้อยแล้ว จึงหันไปพูดกับจ้านเป่ยเซียวด้วยรอยยิ้มว่า : “ท่านอ๋องจะกินอีกสักหน่อยไหม ?”

จ้านเป่ยเซียวได้กลิ่นของอาหาร ตั้งแต่ที่เฟิ่งชิงหัวยังอยู่ด้านนอก เขาขยับนิ้วชี้ และใช้หนังสือเล่มหนึ่งช่วยแสดงท่าทาง ตอนนี้เมื่อได้ยินคำเชื้อเชิญของเฟิ่งชิงหัว จึงค่อย ๆ ลุกขึ้น แล้วพูดเบา ๆ ว่า : “เช่นนั้นจะกินอีกสักหน่อยก็แล้วกัน”