ในตอนแรกโม่เหลิงประหลาดใจเล็กน้อย ด้วยคิดไม่ถึงว่าอ๋องเจ็ดจะเดินทางมาที่นี่ด้วยตนเองเพราะเรื่องนี้ อีกทั้งยังไม่อนุญาตให้เขาเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของเขาอีก ทว่าตอนนี้ เมื่อได้ยินคำพูดเกี้ยวพาราสี
ของอ๋องเจ็ด ก็ทำให้เขาตกสู่ภาวะงุนงงทันที
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อหันมองคนที่ยืนอยู่ข้างกายอ๋องเจ็ด เมื่อเทียบกับผู้ชายทั่วไป จัดว่าอยู่ในระดับปานกลางเท่านั้น ส่วนที่ดูดีที่สุดในร่างกายน่าจะเป็นเรื่องความสะอาดสะอ้าน และที่ยิ่งสำคัญไปกว่านั้นก็คือ เขาเป็นผู้ชาย
โม่เหลิงปิดตัวเองทันที
หลังออกมาจากฉีเป่าเจ จ้านเป่ยเซียวก็กลับไปนั่งบนรถรถเข็นของตนเอง และทั้งสองก็ขึ้นไปยังชั้นที่สิบสองอีกครั้ง
ห้องที่ถูกเฟิ่งชิงหัวทำรกรุงรังก่อนหน้านี้ ได้ถูกปัดกวาดจนเรียบร้อยแล้ว พรมขนสัตว์ที่วางอยู่บนพื้นก็เปลี่ยนเป็นผืนใหม่
เฟิ่งชิงหัวหันมอง ปรากฏว่าได้เปลี่ยนเพียงแค่ผืนเดียวเท่านั้น แต่ทว่า เปลี่ยนใหม่ทั้งหมด
หากมีคนถามนาง มีเงินแล้วจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ
เฟิ่งชิงหัวก็อยากตอบกลับไปหนึ่งประโยคจริง ๆ ว่า มีเงินแล้วทำอะไรก็ได้
อย่างน้อยเครื่องแต่งกายที่อยู่บนตัวของนาง ก็ยังเทียบราคาไม่ได้กับพรมที่ถูกทำให้สกปรกผืนนั้นเลย
“ไม่กลับจวนหรือเพคะ ?” เฟิ่งชิงหัวเอ่ยปากถาม
“กินเสร็จแล้วค่อยกลับ” จ้านเป่ยเซียวพูดขึ้น
ขณะที่พูด ก็มีคนยกอาหารมาที่ด้านนอก แต่ไม่ได้เดินเข้ามา แต่กลับแขวนเอาไว้บนเชือกเส้นหนึ่งแทน จากนั้นจึงดึงเชือกอีกด้าน เพื่อส่งอาหารโต๊ะนั้นไปยังโต๊ะอีกตัวหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล โดยน้ำแกงที่อยู่ด้านในไม่หกเลอะเทอะออกมาแม้แต่น้อย
จ้านเป่ยเซียวมีสีหน้าเรียบเฉย เขาปลดชุดคลุมยาวที่สวมอยู่ออก เผยให้เห็นชุดสีดำด้านใน
เฟิ่งชิงหัวมองจากด้านหลัง ขาทั้งสองข้างของชายหนุ่มค่อนข้างเรียวยาว ไหล่ผาย เอวคอด รูปร่างนับว่าสมบูรณ์แบบ
เฟิ่งชิงหัวยกมือขึ้นเท้าคาง แล้วเอ่ยปากถามว่า : “ทำไมเสื้อคลุมยาวของท่านจึงเป็นสีเดียวแบบเดียวกันหมด ไม่รู้สึกซ้ำซากจำเจหรือ ? หากไม่รู้ว่าท่านเป็นคนรักสะอาดละก็ ข้าต้องคิดว่าท่านไม่เคยเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยอย่างแน่นอน”
จ้านเป่ยเซียวหันหน้าไปมองนาง : “ยุ่งยาก”
“เปลี่ยนเสื้อผ้ามีอะไรยุ่งยากกัน สีสันที่ต่างกันบ่งบอกถึงอารมณ์ที่ต่างกัน บางครั้งที่อารมณ์ไม่ดี สวมเสื้อผ้าสีสันสดใสสักหน่อย ก็จะทำให้อารมณ์ดีขึ้นมาได้ เรื่องนี้มีข้อพิสูจน์ให้เห็น”
นักวิทยาศาสตร์เคยทำการทดสอบ การเลือกเสื้อผ้าสีโทนอบอุ่นและโทนเย็น สามารถเปลี่ยนอารมณ์ของคนได้ และช่วยเพิ่มสีหน้าของคนได้
จ้านเป่ยเซียวพูดว่า : “เจ้าทำให้ข้าสิ แล้วข้าจะใส่”
เฟิ่งชิงหัวอดไม่ได้ที่จะกลอกตาด้วยความเบื่อหน่าย : “ถือเสียว่าข้าไม่เคยพูดก็แล้วกัน”
ทั้งสองนั่งลงที่โต๊ะ แล้วมองดูสีสันของอาหารที่วางอยู่ ส่วนเป็นอาหารที่มีสีเขียว ไม่มีเนื้อสัตว์แม้แต่จานเดียว
ตะเกียบของเฟิ่งชิงหัวค้างอยู่กลางอากาศ แต่ไม่รู้ว่าควรจะคีบอะไรไปชั่วขณะหนึ่ง
จ้านเป่ยเซียวนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วคีบอาหารเข้าปาก
เฟิ่งชิงหัวเม้มปาก แล้วจ้องมองที่จานอาหาร มองดูเต้าหู้สีขาวบริสุทธิ์นั่น และยังมีผักสีเขียวอี๋ รวมไปถึงถั่วนานาชนิด ก็กลืนน้ำลายหนึ่งอีก
นางปลอบใจตนเองว่า บางที เต้าหู้นี่อาจจงใจทำให้ดูเหมือนธรรมดา ? แต่ที่จริงแล้วด้านในอาจมีสิ่งพิเศษซ่อนอยู่สินะ ?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เฟิ่งชิงหัวก็คีบเต้าหู้หนึ่งชิ้นเข้าปาก ก็พบว่า เต้าหู้ก็เป็นเพียงแค่เต้าหู้ธรรมดาหนึ่งชิ้นจริง ๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่เลยสักนิด
ลองชิมอาหารชนิดอื่นดู รสชาติล้วนธรรมดาเหมือนหน้าตา ไม่มีอะไรแตกต่าง
เฟิ่งชิงหัวที่เดิมทีเดินทางมาทั้งวัน จนรู้สึกหิวจนตาลายนานแล้ว กลับวางตะเกียบลงทันที
“ไม่ชอบหรือ ?” จ้านเป่ยเซียวเห็นนางวางตะเกียบลง ก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา
หากไม่ใช่เพราะเห็นจ้านเซียวกินอย่างเอร็ดอร่อย เฟิ่งชิงหัวก็เกือบคิดว่า จ้านเป่ยเซียวจงใจนำอาหารที่จืดชืดและไร้รสชาติโต๊ะนี้ มาลงโทษนาง
“หรือว่าท่านชอบ ?”
จ้านเป่ยเซียวหันมองจานอาหาร : “ตั้งแต่เป็นทหารเมื่อก่อน ก็คุ้นชินแล้ว”
ตั้งแต่ตอนอายุสิบสามปีที่เขาเข้าไปเป็นทหาร ก็กินข้าวหม้อใหญ่เช่นเดียวกับทหารทั่วไป อาหารทุกอย่างล้วนรวมอยู่ในหม้อใบเดียว จะอร่อยสักแค่ไหนกัน ดังนั้นอาหารเหล่านี้ สำหรับจ้านเป่ยเซียวก็นับว่าไม่เลวแล้ว
เฟิ่งชิงหัวพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ : “อาหารพวกนี้มาจากไหน ? ต่อให้เป็นอาหารของจวนก็น่าจะดีกว่าอาหารเหล่านี้นะ ?”
จ้านเป่ยเซียวขมวดคิ้ว : “ภัตตาคารที่ข้าเปิด”
เฟิ่งชิงหัวยิ่งตกตะลึงเมื่อได้ยินดังนั้น : “อาหารเช่นนี้นะหรือ ยังกล้าเปิดภัตตาคารอีก ? ใครให้ความมั่นใจเช่นนี้กับท่าน ? ใครให้ความมั่นใจเช่นนี้กับพ่อครัวของท่านกัน ?”
อาหารเช่นนี้ อย่าว่าแต่สีสันหน้าตาและรสชาติที่ไม่ได้มาตรฐานเท่านั้น อีกทั้งยังทำแบบลวก ๆ อีกด้วยถือเป็นความล้มเหลวสำหรับวงการอาหารจริง ๆ
จ้านเป่ยเซียวไม่พูดอะไร เขาขมวดคิ้ว เหมือนกำลังครุ่นคิดความหมายในคำพูดนี้ของเฟิ่งชิงหัว
“คือว่า ภัตตาคารของพวกท่าน คาดว่ากิจการคงไม่ดีนักใช่ไหม ?” เฟิ่งชิงหัวอดพูดขึ้นไม่ได้
จ้านเป่ยเซียวพูด : “ข้าเองก็ไม่แน่ใจ ข้าจะตามคนมาถามดู”
ขณะที่พูด เฟิ่งชิงหัวก็เห็นจ้านเป่ยเซียวดึงเชือกที่อยู่ข้าง ๆ จากนั้นก็มีคนคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นตรงประตู
“ท่านอ๋องมีอะไรจะสั่งพ่ะย่ะค่ะ ?” คนผู้นั้นสวมชุดของผู้ดูแลร้าน บนศีรษะสวมหมวกทรงสูง ไว้หนวดสองข้าง แค่ดูก็รู้ว่าเป็นคนฉลาด
“วันนี้กิจการของภัตตาคารเป็นอย่างไรบ้าง ?” จ้านเป่ยเซียวพูดขึ้น
“วันนี้ห้องส่วนตัวเต็มทุกห้อง กิจการเหมือนอย่างที่เป็นมา ท่านอ๋องต้องการตรวจสอบบัญชีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ?” คนผู้นั้นตอบกลับด้วยึความเคารพ
จ้านเป่ยเซียวหันมองเฟิ่งชิงหัว เพื่อส่งสัญญาณให้นาง
เฟิ่งชิงหัวอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น : “คือว่า ไม่รู้ว่าอาหารให้ภัตตาคารของพวกท่านตั้งราคาไว้เช่นไรบ้าง ? ช่างเถอะ เจ้าลองบอกข้ามาซิว่า อาหารโต๊ะนี้มีราคารวมเท่าไร”
ผู้ดูแลร้านผู้นั้นมีความเข้าใจในอาหารของท่านอ๋องเป็นอย่างดี จึงพูดขึ้นด้วยความเคารพว่า : “อาหารโต๊ะนี้มีราคารวมห้าสิบตำลึงเงินพ่ะย่ะค่ะ”