ตอนที่ 220 คุณหนูใหญ่อารมณ์ไม่ดี

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 220 คุณหนูใหญ่อารมณ์ไม่ดี

ฉินหลิวซีอารมณ์ไม่ดี อารมณ์นี้ยังคงค้างอยู่จนกระทั่งกลับมาถึงบ้าน

“คุณหนู ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว” ฉีหวงเข้ามาต้อนรับ เห็นสีหน้าไม่น่ามองของนาง เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “เกิดเรื่องใดขึ้นหรือเจ้าคะ”

“มีเรื่องน่าหงุดหงิดนิดหน่อยน่ะ” ฉินหลิวซีเดินเข้าไปในห้องน้ำ กวักน้ำเย็นขึ้นมาล้างหน้า

ฉีหวงตกใจ “น้ำนั้นตั้งมาทั้งวัน เย็นมากเลยนะเจ้าคะ หากท่านจะล้างหน้าล้างตา ข้าไปยกน้ำอุ่นเข้ามาให้ใหม่นะเจ้าคะ”

ฉินหลิวซีล้างหน้าด้วยน้ำเย็น อารมณ์เริ่มสงบลงไปบ้าง เงยหน้าที่เปียกชื้นขึ้นมา “ไม่เป็นไร”

นางหยิบผ้าขนหนูที่แขวนอยู่ด้านข้างขึ้นมาซับหน้า เอ่ย “หยิบชุดออกมา ข้าจะไปคารวะสักหน่อย ให้ป้าหลี่นำก๋วยเตี๋ยวน้ำแกงร้อนๆ มาให้ข้าสักถ้วยเถิด”

“ตอนนี้ก็สายแล้ว ท่านกินก่อนแล้วค่อยไปดีหรือไม่” ฉีหวงมองดูนาฬิกาน้ำ ใกล้จะปลายยามเฉิน[1]แล้ว

ฉินหลิวซีคลายมวยผมบนศีรษะออก เอ่ย “สายกว่านี้ก็ยามเที่ยงแล้ว”

ฉีหวงมองเปลือกตาของนางที่เขียวคล้ำเล็กน้อย ทั้งเห็นว่านางอารมณ์ไม่ดี ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น คงจะไม่ได้นอนมาทั้งคืน กลับมายังต้องไปแสดงความกตัญญูตามธรรมเนียมปฏิบัติ อดรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้

ระหว่างช่วยนางเปลี่ยนเสื้อผ้าจึงเอ่ยว่า “ไม่ใช่ต้องไปทุกวันนี่เจ้าคะ ไยท่านต้องทำให้ตนเองต้องลำบาก”

“สองวันมานี้ไม่ได้ไป นายหญิงนั้นไม่เป็นอะไร แต่ฝั่งนายหญิงผู้เฒ่าคงตำหนิ ถึงตอนนั้นยังต้องให้นายหญิงช่วยแก้ต่างให้ข้าอีก มีผลกระทบตามๆ กัน” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบ “เรื่องอะไรต้องให้นางมารับคำตำหนิแทนข้าเช่นนี้เล่า”

ขอเพียงฉินหลิวซียังเป็นสตรีตระกูลฉิน นางก็ยังเป็นหน้าตาของตระกูลฉิน หากนางทำสิ่งใดผิดไป คนอื่นจะพูดได้ว่าสะใภ้หวังที่เป็นคนเลี้ยงดูนางไม่รู้จักสั่งสอน

บางเรื่อง ฉินหลิวซีรับเอาไว้ผู้เดียวก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องต้องให้คนอื่นมารับหน้าให้

“นิสัยของท่าน สนใจชื่อเสียงเหล่านั้นจริงหรือเจ้าคะ” ฉีหวงจัดชายชุดในนาง เอ่ย “ตามนิสัยของท่าน ต่อให้ยั่วยุให้โกรธ ก็คงเพียงปัดก้นแล้วทิ้งความยุ่งเหยิงนี้ไปก็เท่านั้น”

ฉินหลิวซีหัวเราะพลางบีบแก้มนาง เอ่ย “เจ้าช่างรู้จักเจ้านายของเจ้าดีเสียจริง เช่นนั้นเจ้าลองคิดว่า ข้าปัดก้นหนีไปแล้ว เจ้าฉินห้าน้อยที่เจ้าเพิ่งรู้จัก เจ้าจะทำอย่างไรกับเขา ซาลาเปาหน้าขาวแก้มนุ่มนั่น”

ฉีหวงชะงัก เอ่ย “ท่านปกป้องไม่ได้หรือเจ้าคะ”

ฉินหลิวซียิ้มไม่เอ่ยวาจา นางปกป้องได้ เพียงแต่ต้องดูว่านางอยากปกป้องหรือไม่ รวมไปถึงทุกคนในบ้านหลังนี้

นางนึกถึงคำของตาเฒ่าขึ้นมา รอยยิ้มเลือนหายไปอีกครั้ง เกิดความกังวลใจขึ้นมา

หลังจากเกล้าผมง่ายๆ เรียบร้อย ฉินหลิวซีก็นำฉีหวงตรงดิ่งไปยังเรือนนายหญิงผู้เฒ่า บังเอิญที่คนใหญ่คนเล็กต่างก็อยู่พร้อมหน้า อาจเพราะกินข้าวเช้าพร้อมนายหญิงผู้เฒ่าจากนั้นจึงร่วมสร้างความเฮฮาให้กับคนแก่ ยังมีกลิ่นของซาลาเปาไส้เห็ดในฤดูหนาวหลงเหลืออยู่ในอากาศ

เมื่อทุกคนเห็นฉินหลิวซีปรากฏตัวพลันตกใจ สะใภ้ซื่อเอ่ย “โอ้ นี่คือคุณหนูใหญ่ของเรามิใช่หรือ มารดาของเจ้าบอกว่าเจ้าไม่สบายมาไม่ได้มิใช่หรือ”

สะใภ้หวังเดินมาแล้ว จูงมือฉินหลิวซี ตำหนิเบาๆ “เจ้าเด็กคนนี้ ไม่สบายอยู่ก็พักผ่อน เจ้าไม่มาคารวะอีกสักวัน ท่านย่าเจ้าจะไม่เห็นถึงความกตัญญูของเจ้าหรืออย่างไร”

ฉินหลิวซีรับรู้ถึงมือที่ถูกสะใภ้หวังบีบเบาๆ นางเข้าใจในทันใด เอ่ย “มาบอกกับท่านย่าสักหน่อยเจ้าค่ะ อีกสองวันอารามชิงผิงจะมีงานพิธี ข้าต้องขึ้นเขาหลายวัน คงไม่ได้มาคารวะท่านย่า”

อย่างไรอีกสองวันก็ต้องขึ้นเขา ยังรับปากซือเหลิ่งเย่ว์ว่าจะให้เครื่องรางกับนาง หลายเรื่องเข้ามาพร้อมกัน ตนเองคงไม่มีเวลามาคารวะเช้าเย็น บอกไว้ตอนนี้เลยแล้วกัน จะได้ไม่ต้องมีคนคอยใส่ร้าย ตนเองไม่ใส่ใจ แต่มิอาจทำให้สะใภ้หวังต้องลำบาก

“พิธี พิธีอีกแล้วหรือ” นายหญิงผู้เฒ่าแปลกใจ

ฉินหลิวซีเอ่ย “มีคนใจบุญบริจาครูปหล่อทองคำ อีกสองวันก็จะมีพิธีปลุกเสกเจ้าค่ะ”

บริจาครูปหล่อทองคำหรือ

เหล่านายหญิงผู้เฒ่าต่างแปลกใจ พวกนางนับถือศาสนาพุทธมาโดยตลอด แต่แม้จะนับถือพุทธมานาน แต่ก็เพียงเติมน้ำมันตะเกียงบ้าง ยังไม่เคยบริจาคยิ่งใหญ่เช่นการสร้างรูปหล่อทองคำ

สะใภ้ซื่อเอ่ยถาม “คนใจบุญผู้ใดกัน ถึงได้บริจาคมากมายดังเช่นการสร้างรูปหล่อทองคำให้อารามพวกเจ้า”

“แน่นอนว่าเป็นผู้แสวงบุญของอารามชิงผิง ฟังน้ำเสียงท่านป้ารองแล้ว จะบอกว่าอารามชิงผิงไม่คู่ควรอย่างนั้นหรือ” ความโกรธในใจของฉินหลิวซียังไม่จางหาย ได้ยินเช่นนั้นจึงถามกลับไป น้ำเสียงแฝงไปด้วยความเหน็บแนม

สะใภ้ซื่อถูกฉินหลิวซีเหน็บแนม ใบหน้าทะมึนขึ้นมาเล็กน้อย เอ่ย “ไหนเลยข้าจะหมายความเช่นนั้น”

“อ้อ เช่นนั้นข้าเข้าใจผิดหรือ” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบ “บอกให้ท่านป้ารองได้รู้ อารามชิงผิงไม่ได้มีความสามารถอย่างอื่นมากมาย การกำจัดมารปีศาจกลับไม่ด้อย แต่หากท่านป้ารองมีความต้องการใด ก็สามารถคิดถึงอารามชิงผิงได้”

ใบหน้าของสะใภ้ซื่อเดี๋ยวดำเดี๋ยวแดง

นี่ไม่ได้กำลังสาบแช่งนางใช่หรือไม่ อายุยังน้อยแต่ร้ายกาจนัก

“พี่หญิงใหญ่ ผู้มีความรู้มิเอ่ยถึงเรื่องผีสาง ไยท่านจึงเอ่ยถึงมารปีศาจได้เต็มปากเต็มคำเล่า” ฉินหมิงฉีขมวดคิ้ว เอ่ยว่า “หากแพร่งพรายออกไป คงไม่ดีต่อชื่อเสียงของพี่หญิงใหญ่”

ฉินหลิวซีมองเขาราวกับมองคนโง่ “เกรงว่าเจ้าคงลืมไปแล้ว ข้าพี่หญิงใหญ่ของเจ้าแม้จะอาศัยอยู่บ้านเดิมเพียงคนเดียว แต่ก็เข้าสู่เส้นทางเต๋ามาตั้งแต่เด็ก ต่อให้เอ่ยถึงมารปีศาจเต็มปากเต็มคำ ใครกล้าว่าอะไรกับนักพรตหญิงอย่างข้า นักพรตเต๋ามีหน้าที่ปราบมารปีศาจ ไหนเลยจะเหมือนเจ้า ที่เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับตำราไม่สนใจสิ่งอื่นใด”

ฉินหมิงฉีสะอึก

นักพรตหญิงหรือ

ซ่งอวี่เยียนมองฉินหลิวซีที่ดูแปลกไปจากปกติ น้ำเสียงก็หุนหันพลันแล่นจึงลากน้องสาวให้หลบมาอยู่ด้านหลังเงียบๆ กลัวจะได้รับผลกระทบไปด้วย

สะใภ้ซื่อเห็นบุตรชายตนเองเสียเปรียบ รู้สึกโมโหขึ้นมา เอ่ย “เจ้าเด็กซี น้องสี่ของเจ้าเพียงเตือนเจ้าด้วยความหวังดีเท่านั้น ไยเจ้าต้องอารมณ์ร้ายเช่นนี้”

“เตือนด้วยความหวังดีหรือ ก็ต้องรู้จักหลักการ ท่านลองให้เขาเอ่ยต่อหน้าเหล่านักพรตพวกนั้นสิว่าผู้มีความรู้ไม่เอ่ยถึงผีสาง ไม่สามารถเอ่ยถึงมารปีศาจได้เต็มปากเต็มคำ ท่านดูสิว่าเขาจะไม่ถูกมองราวกับคนโง่” ฉินหลิวซียิ้มเย็น “ความหวังดีนี้ของเขา ก็เหมือนถามว่าไยไม่กินหมูสับ ไม่เพียงทำให้คนฟังแล้วโกรธ อ้อ เจ้าเป็นคนมีการศึกษา รู้ความหมายของคำว่าไยจึงไม่กินหมูสับ[2]หรือไม่”

ฉินหมิงฉีหน้าแดงขึ้นมา

ฉีหวงลอบมองคนอื่นๆ ยิ้มเย็นในใจ สมน้ำหน้า เจอกับคุณหนูใหญ่ที่กำลังอารมณ์ไม่ดี สมควรโดนเอาคืนแล้ว

นางฉินผู้เฒ่าเห็นฉินหลิวซีเล่นงานคนแล้วคนเล่า นางก็ขมวดคิ้วพลางเอ่ย “เอาล่ะ ที่นี่ไม่ใช่ตลาดสด พวกเจ้าเถียงกันไม่หยุด เหมาะสมแล้วหรือ”

“ท่านย่า ฉีเอ๋อร์หวังดี แต่ท่านดูนิสัยของนางสิเจ้าคะ” สะใภ้ซื่อกระทืบเท้าไม่พอใจ เพราะฉินหลิวซีเจ้าเด็กคนนี้นั้นเป็นราวกับหนามยอก

“ข้าขอบคุณความหวังดีท่านแล้ว ต่อไปก็อย่าได้มีความหวังดีอีกเลย” ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้นหน้าใสซื่อ “ข้ากลัวรับไม่ไหว”

“เช่นนั้นพวกเราคงไม่กล้าเอ่ยปากหวังดีต่อพี่หญิงใหญ่แล้ว” ฉินหมิงเย่ว์เอ่ยขึ้นเสียงเนิบ

ฉินหลิวซียิ้ม น้ำเสียงสบายๆ “พวกเจ้าอยู่ดีๆ ให้ได้ในแต่ละวัน อย่าได้สร้างเรื่องให้ข้า ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกัน นั่นก็ดีกับข้าแล้ว”

สีหน้าทุกคนพลันเปลี่ยน

นางฉินผู้เฒ่าเองก็สีหน้าทะมึน ความหมายของประโยคนี้ ขาดเพียงบอกว่าขีดเส้นแบ่งแยกระหว่างกันเท่านั้นแล้ว

[1] ยามเฉิน 7-9 โมงเช้า

[2] มีความหมายเปรียบเทียบว่าเป็นคนรู้ไม่ครอบคลุมค่ะ รู้แต่รู้ไม่จริง คือคนที่ไม่ได้มีประสบการณ์จริงๆ แต่ยังไปแนะนำคนอื่น