บทที่ 109 ให้คุณย่าอ่านหนังสือ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 109 ให้คุณย่าอ่านหนังสือ
บทที่ 109 ให้คุณย่าอ่านหนังสือ

คุณย่าซูหยิบของที่ซูหม่านซิ่วซื้อออกมาทั้งหมดแล้วโชว์ให้ดู หัวใจพลันรู้สึกมีความสุข

เห็นข้าวของมากมายตระการตาขนาดนี้คุณย่าซูรู้สึกพอใจสุด ๆ วันเวลาดี ๆ แบบนี้สิถึงค่อยเหมือนชีวิตที่ดีหน่อย!

ก่อนหน้าไม่ใช่ชีวิตที่ดีหรอก มันคือชีวิตแห่งความเจ็บปวดต่างหาก!

อันที่จริงทุกคนในครอบครัวคิดว่ามันแปลกมาก เพราะการใช้ชีวิตของบ้านพวกเราไม่เคยดีเช่นนี้มาก่อน

แล้วทำไมจู่ ๆ สถานการณ์ถึงพลิกผันไปได้ขนาดนี้ล่ะ?

แต่ทุกอย่างมองดูแล้วปกติ ทั้งเงินทั้งตั๋วก็ควรได้อย่างถูกต้องแล้วนี่ และมันตั้งแต่เมื่อไรกันที่บ้านเรามีของเหล่านี้เยอะขนาดนี้?

หวังเซียงฮวามองข้าวของบนเตียง แล้วก็หันไปมองพวกลูกชายที่โง่เขลาของตนเอง

เจ้าเด็กคนนี้โตมากพอแล้ว อีกไม่กี่ปีก็จะสามารถแต่งงานได้แล้ว

แม่สามีบอกว่ารอโส่วเวินแต่งงานเมื่อไรจะเตรียมของหมั้นให้เยอะอย่างแน่นอน

ไม่รู้ว่าถึงตอนนั้นแล้ว เครื่องประดับเงินทองที่บ้านจะเอาออกไปได้หรือเปล่า แต่หากเอาออกมาได้ก็จะเป็นหน้าเป็นตาให้แก่วงศ์ตระกูล

ฉีเหลียงอิงและเหลียงซิ่วมีความคิดไม่ต่างกันมากนัก แต่ลูกของพวกเธออายุน้อยกว่า จึงไม่รีบเร่งคิดเหมือนพี่สะใภ้ใหญ่

“ชีวิตครอบครัวเราดีขึ้นมากแล้ว ถ้าพวกเรามีชีวิตที่ดี ชีวิตน้องใหญ่ก็จะดีเหมือนกัน!” คุณย่าซูพูดด้วยความซาบซึ้งขณะเก็บของบนเตียงเตา “เราต้องรู้จักขอบคุณนะ!”

ขณะที่ทุกคนคิดว่าแม่จะกล่าวขอบคุณต่อประเทศชาติ กลับได้ยินท่านพูดอีกอย่างแทน “ที่บ้านเรามีชีวิตที่ดีได้เป็นเพราะมีเสี่ยวเถียนที่แสนโชคดี!”

อะไรนะ?

ที่บ้านเรามีชีวิตที่ดีได้ต้องขอบคุณที่เสี่ยวเถียนโชคดีงั้นหรือ?

เอาเถอะ โชคดีก็โชคดี!

แต่ประโยคนี้คิดอยู่แต่เพียงในใจก็พอแล้ว หากพูดออกไป เกรงว่าจะสร้างปัญหาขึ้นมาแทน

“แม่ แม่พูดแบบนี้ข้างนอกไม่ได้นะ ที่พวกเรามีชีวิตที่ดีได้ต้องขอบคุณช่วงเวลาดี ๆ กับการมีผู้นำที่ดีสิ!” ลูกชายคนโตรีบพูด

“คิดว่าฉันไม่รู้หรือไง? ไม่ใช่ว่าจะมีคนนอกเสียหน่อยก็เลยพูดไปอย่างนั้น”

คุณย่าซูเหลือบมองเหล่าต้าอย่างไม่ชอบใจ

โง่จริงเชียว เพราะไม่รู้ไงว่าที่บ้านเรามีวันดี ๆ ได้เป็นผลงานของเสี่ยวเถียนที่ได้ราชามังกรคอยดูแลต่างหาก

ช่างเถิด พวกนี้พูดไม่ได้หรอก พูดกับใครก็ไม่ได้ด้วย

“ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าต้องหาผ้าห่มกับเสื้อที่เสี่ยวเถียนเคยใช้ออกมาด้วย เก็บไว้ให้ลูกหม่านซิ่วใช้” จู่ ๆ คุณย่าซูก็ตื่นเต้นขึ้นมา

สมาชิกในตระกูลซูไม่ค่อยคุ้นชินนัก หากแต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา

กลับกันแล้ว เป็นเหล่าซานที่คิดเรื่องหนึ่งขึ้น จึงพูดด้วยรอยยิ้ม “พวกพี่ไม่รู้อะไรเสียแล้ว เสี่ยวเถียน เจ้าเด็กคนนี้นับวันยิ่งตลกขึ้นเรื่อย ๆ”

เหลียงซิ่วอยากจะถามว่าลูกสาวตนเองไปทำเรื่องตลกอะไรมา แต่ก็ได้ยินพ่อสามีถามขึ้นมาเสียก่อน

“เสี่ยวเถียนพูดเรื่องตลกอะไรงั้นหรือ?”

หว่างคิ้วของเขามีร่องรอยขบขัน เด็กคนนี้ตัวก็เท่านี้แต่ฉลาดหลักแหลม เห็นได้ชัดเจน ว่าเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ทว่ามักจะพูดเรื่องจริงจังแสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่ มันตลกมากจริง ๆ

“เธอบอกหม่านซิ่ว หากเป็นแม่คนแล้วรู้หนังสือจะทำให้เด็กในท้องเก่ง แถมยังพูดอีกว่าอยากมีน้องชายคนเล็กที่ฉลาดด้วย! แล้วยังบอกให้หม่านซิ่วเรียนเริ่มหนังสือกับเฉินจื่ออันนับจากนี้!”

ซูเหล่าซานจำท่าทางจริงจังของลูกสาวได้ รวมถึงน้องใหญ่ที่มีท่าทางสับสนงุนงน จึงอดหัวเราะไม่ได้

คุณย่าซูก็มีความสุขเช่นกัน “เสี่ยวเถียนคนนี้ทำคนเขางุนงงไปหมดแล้ว เห็นใครเขาก็เอาแต่บอกว่าให้เรียนหนังสือด้วยนะ”

“เรียนหนังสือก็ดีนะ ไม่งั้นยายเฒ่า ว่าง ๆ ก็ไปอ่านหนังสือสักหน่อยไป”

ครั้นคุณย่าซูได้ยินผู้เป็นสามีกล่าวเช่นนี้ ก็ส่ายหัวพัลวันเอ่ยเสียงสั่นเครือ “ฉันอายุปูนนี้แล้วยังอ่านได้อยู่อีกหรือ? อย่ามาล้อเล่นกันหน่อยเลยน่า”

“รัฐยังสนับสนุนให้คนเรียนหนังสือด้วยนะ ผู้หญิงวัยอย่างเธอก็ควรรู้หนังสือสักหน่อย” คุณปู่ซูพูดพร้อมกับสูบยาเส้น

ถึงแม้ตอนนี้ที่โรงเรียนจะยุ่งเหยิงไปเสียหน่อย แต่ก็ยังมีการจัดการเรียนการสอนอยู่ ด้วยเหตุนี้เอง การที่คนบ้านซูเรียนหนังสือจึงไม่เป็นที่สนใจของคนอื่น

คุณย่าซูมองคนในครอบครัว แล้วเอ่ยอย่างระแวดระวัง “ไม่อย่างนั้นฉันก็ต้องเรียนหนังสือด้วยน่ะสิ? จะให้เสี่ยวเถียนเป็นครูตัวน้อยของฉันหรือ?”

“คุณย่าขา หนูจะสอนอย่างดีเลยค่ะ ถ้าคุณย่าไม่ตั้งใจเรียนหนูจะลงโทษด้วยนะ!” ซูเสี่ยวเถียนไม่คิดว่าย่าจะเป็นฝ่ายพูดว่าอยากเรียนหนังสือ จึงรีบเอ่ยปากทันที

แล้วทุกคนก็ต้องหัวเราะลั่นอีกครั้ง

หลังจากหัวเราะเสร็จซูเหล่าซานก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่ลูกสาวเห็นซูเสี่ยวฉินจึงเอ่ยออกมา

บรรยากาศแห่งความสุขหยุดนิ่งในทันใด

“จริงหรือ? แต่เธอเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวนะ จะใช้ชีวิตในเมืองได้อย่างไรกัน?” หวังเซียงฮวาถามด้วยความประหลาดใจ

ซูเหล่าซานส่ายหัว “ผมก็ไม่เห็นเหมือนกันครับ มีแค่เสี่ยวเถียนที่เห็น”

ซูเสี่ยวเถียนรีบตอบ “หนูเห็นสองครั้งเลยค่ะ ไม่ผิดตัวแน่นอน”

ซูเสี่ยวเถียนไม่เข้าใจว่าทำไมซูเสี่ยวฉินถึงวิ่งไปถึงตัวเมืองอำเภอแล้วยังเข้ากันได้ดีกับคนเหล่านั้น เธอไม่เข้าใจเลยจริง ๆ

เหมือนกับเรื่องที่ซูหม่านซิ่วไม่ได้ตายแล้วยังตั้งครรภ์อีก รวมถึงเรื่องที่ซูเสี่ยวฉินไปอำเภอก็คาดไม่ถึงเช่นกัน เหตุการณ์พวกนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในชาติก่อนเลย

คุณปู่ซูสูบยาสูบสองมวนติดต่อกันโดยไม่พูดอะไรสักคำ สุดท้ายก็ทิ้งไว้เพียงเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่

แม้ว่าความสัมพันธ์บ้านเรากับบ้านรองจะไม่ได้ดี แต่คุณย่าซูก็ยังให้คนไปส่งข่าวกับหลิวซิ่วอิง

หลังจากได้ยินข่าวนี้ หลิวซิ่วอิงไม่ได้วางแผนจะรับซูเสี่ยวฉินกลับมา

“นังเด็กเวรนั่น ผ่านไปนานขนาดนี้ฉันคิดว่าตายไปตั้งนานแล้ว!”

เหลียงซิ่วได้ฟังถ้อยคำเหล่านี้มีที่ไหนจะไม่เข้าใจ

เดิมทีคิดจะเกลี่ยกล้อม แต่เมื่อคิดว่ามันเป็นเรื่องของคนอื่น จำเป็นต้องเข้าไปยุ่งขนาดนั้นด้วยหรือ?

เธอไม่เสียเวลาอยู่บ้านรองอีกต่อไป แล้วเดินไปหาซูเถาฮวาที่บ้าน

เธอพกน้ำตาลทรายแดงมาให้ซูเถาฮวาด้วย ช่วงสองสามวันนี้ดูเหมือนสีหน้าของเธอจะดูไม่ค่อยดีเท่าไร ท่าทางราวกับขาดเลือดอย่างไรอย่างนั้น

ซูเถาฮวานอนอยู่บนเตียงเตา ครั้นเห็นเหลียงซิ่วขึ้นมาก็ประคองตนเองลุกขึ้นนั่ง

“พี่เถาฮวา ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้คะ? ถ้าป่วยก็ต้องไปหาหมอสิ พี่ทนไว้ไม่ได้นะคะ”

ซูเถาฮวายิ้มบาง พูดด้วยสีหน้าซีดเซียว “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก นอนสักวันสองวันก็ดีขึ้นแล้ว”

“แล้วนักบัญชีหลี่ล่ะ? ทำไมฉันไม่เห็นเขาเลย นี่มันเที่ยงแล้วนะ ไม่จุดไฟในบ้านสักหน่อยเล่า?” เหลียงซิ่วสำรวจไปรอบ ๆ แล้วมองเตาที่ถูกทิ้งไว้จนเย็น

ร่องรอยของความเศร้าปรากฏบนใบหน้าซูเถาฮวา ทว่ามันก็หายวับไป

“พวกเด็ก ๆ ไปบ้านน้องสาวนู่น ส่วนเขาก็มีธุระ อยู่ตอนนี้ไม่อยู่บ้านหรอก”

ครั้นเห็นคนเป็นพี่ไม่อยากพูด เหลียงซิ่วก็ไม่ถามให้มากความ

“พี่เถาฮวา ฉันเอาน้ำตาลทรายแดงมาให้ เดี๋ยวเอาไปต้มกับน้ำร้อนให้นะคะ”

เหลียงซิ่วเดินไปที่ห้องครัวด้วยความคุ้นเคย ส่วนเจ้าของบ้านเอ่ยห้ามไม่ทัน

ยามมองแผ่นหลังผู้เป็นน้อง ซูเถาฮวาก็กำมือแน่นจนปลายนิ้วซีดขาว

ในไม่ช้าแขกเยี่ยมก็เดินกลับมาพร้อมกับถ้วยไข่ต้มน้ำตาลทรายแดง