บทที่ 138 อย่าตามข้า

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

หลังจากเฝ้าดูเงียบ ๆ อยู่พักหนึ่ง ฉินปู้เข่อก็กระซิบว่า “ท่านจะถวายรายงานนี้แด่ฮ่องเต้หรือไม่เพคะ”

นางกังวลเล็กน้อย เนื่องจากฮ่องเต้ต้าเซี่ยไม่ชอบหมี่โม่หรู่ บางทีเขาอาจจะไม่อ่านรายงานที่เขาส่งให้และส่งกลับโดยตรง

“ไม่ใช่ข้า แต่เป็นคนอื่น” หมี่โม่หรู่ลูบหัวนาง “อย่ากังวลเรื่องข้าให้มากนักเลย ให้รู้ไว้ว่าจิตใจของข้ามีเพียงแค่เตรียมพร้อมเท่านั้น ไม่ใช่เตรียมที่จะหลบหนี”

ในขณะเดียวกันก็เพื่อให้ตัวเองรู้สึกสบายใจขึ้นเท่านั้น หมี่โม่หรู่มองผู้หญิงในอ้อมแขนของเขาอย่างรักใคร่และครุ่นคิดกับตัวเอง

“เพคะ” ฉินปู้เข่อเอนกายพิงหน้าอกของเขาอย่างเชื่อฟังและเล่นกับจี้หยกที่เอวของเขา

หากการมีส่วนร่วมในการเมืองเป็นแผนอาชีพของเขา นางก็จะไม่ยอมให้เขาเลิกอาชีพเพื่อตัวนางเองอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องอื่น ๆ ก็จะพูดถึงมันในภายหลัง

วันเกิดของพระสนมเสียนผินกำลังจะมาถึงตามกำหนด ฉินปู้เข่อก็พร้อมที่จะเข้าไปในวังพร้อมกับคำอวยพรที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้แล้ว

“หม่อมฉันขอซื้อของกำนัลถวายให้พระสนมเสียนผินได้หรือไม่เพคะ สิ่งที่ท่านเตรียมนั้นเป็นของท่าน หม่อมฉันต้องการเตรียมของหม่อมฉันเองเพคะ”

ฉินปู้เข่อระมัดระวังเกี่ยวกับพระสนมเสียนผินอย่างมาก และหลังจากที่นางพูดจบก็รีบอธิบายต่อ “หม่อมฉันแค่คิดว่าท่านเป็นแม่สามีของหม่อมฉัน และหม่อมฉันจะไม่ใช้จ่ายเงินอย่างฟุ่มเฟือย แต่หม่อมฉันเจอขนมอร่อย ๆ เมื่อสองสามวันก่อน จึงต้องการจะซื้อไปให้ท่านเพคะ”

“เสี่ยวเข่อ เจ้าไม่ต้องเอาใจใส่มากถึงเพียงนั้นหรอก” หมี่โม่หรู่รู้สึกผิดเล็กน้อย เมื่อเห็นท่าทางไม่สบายใจของนาง เขาจึงอธิบายอย่างระมัดระวัง “วันนั้นเป็นเพราะข้าเอง มันเป็นวันเซ่นไหว้คนตาย ข้าจึงไม่ได้ควบคุมอารมณ์ของข้า”

“เช่นนั้นแสดงว่าท่านตกลง” ฉินปู้เข่อทำลายบรรยากาศแปลกประหลาดและพูดด้วยรอยยิ้ม “ค่อยบอกหม่อมฉันทีหลังเมื่อท่านมีเวลาและอารมณ์”

“ตกลง” หมี่โม่หรู่จุมพิตหน้าผากนางเบา ๆ “วันนี้ข้าจะไปที่จวนของฉีเหวินกง ผู้อาวุโสซือเยี่ยนกลับมาแล้ว ข้าอาจจะกลับมาดึกนัก ไม่ต้องรอข้านะ”

“เข้าใจแล้วเพคะ~”

รถม้าเริ่มวิ่งออกไป ฉินปู้เข่อออกเดินทางไปทางเหนือของเมืองเพื่อซื้อติ่มซำ

เนื่องจากครั้งล่าสุดที่นางถูกลักพาตัวไป นอกจากซวงหวนแล้ว บัดนี้นางก็มาพร้อมกับองครักษ์อย่างน้อยสี่คน ไม่นับคนที่แอบเดินตามหลังไปด้วย

ดังนั้นหลังจากที่นางแวะร้านติ่มซำแล้ว องครักษ์ทั้งสี่ก็เข้าแถวสองแถวที่หน้าประตูร้าน ทำให้ผู้คนที่ผ่านไปมาไม่กล้าเข้าใกล้

ฉินปู้เข่อส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และคิดวิธีแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว ดังนั้นนางจึงจะรีบซื้อและรีบจากไปอย่างรวดเร็ว

“แม่นาง ขนมเปี๊ยะสีม่วงเหลือเพียงสองชิ้นสุดท้าย หากท่านต้องการเป็นกล่องก็จะต้องรอราวหนึ่งเค่อ” เถ้าแก่เนี้ยพบกับฉินปู้เข่อแล้วหลายครั้ง น้ำเสียงของนางจึงสนิทสนมนัก

“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะรอ ข้าแค่เกรงว่างานของเถ้าแก่เนี้ยจะล่าช้า” ฉินปู้เข่อชี้ไปที่องครักษ์ที่อยู่นอกประตู “มีใบหน้าทะมึนสองสามหน้ายืนอยู่นอกประตู ข้าจึงเกรงว่าเหล่าสตรีจะไม่กล้าเข้ามาซื้อของ”

“ที่ไหนกันเล่าแม่นาง ทุกครั้งที่ท่านมาที่นี่ ท่านก็ซื้ออาหารของเรากลับไปเกือบทั้งหมด แล้วท่านจะทำให้กิจการล่าช้าได้อย่างไร” เถ้าแก่เนี้ยหัวเราะเสียงดัง และแม่ค้าเช่นนางชอบลูกค้าประเภทนี้มากที่สุด

ขณะที่พูดติดตลกกันอยู่นั้น หญิงสาวในชุดสีเขียวเข้มนอกประตูก็ยื่นศีรษะมองเข้าไปในร้าน เมื่อฉินปู้เข่อรู้สึกได้จึงหันมองไปรอบ ๆ โดยไม่รู้ตัว

ขณะที่นางมองไป เด็กสาวที่อยู่นอกประตูก็รีบหันมามองนางแล้วเดินโซเซไปทางด้านข้าง

“ซวงหวน ตามเถ้าแก่เนี้ยไปหยิบกล่องขนมเปี๊ยะแล้วเอาไปให้หญิงสาวผู้นั้น” ฉินปู้เข่อมองกวาดไปทั่วใบหน้าของหญิงสาวแล้วขมวดคิ้ว และกระซิบที่หูของซวงหวนอีกครั้ง

“เพคะ” ซวงหวนก็มองออกไปเช่นกัน และเพียงเห็นมุมชุดสีเขียวเข้มของนาง

หลังจากนั้นไม่นาน ซวงหวนก็กลับมาที่ร้าน

“นายหญิง มีตัวอักษรอยู่บนคอของนางจริง ๆ และนิ้วมือขวาของนางก็หายไปด้วยเพคะ”

ฉินปู้เข่อนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วลุกขึ้นเดินออกไปนอกร้าน ซึ่งตอนนี้ก็ไม่เห็นสตรีผู้นั้นแล้ว

นางสังเกตสภาพแวดล้อมทางซ้ายและขวา ก่อนจะเดินเข้าไปในตรอกถัดจากร้านติ่มซำสองก้าว แล้วนางก็เห็นคนผู้หนึ่งกำลังกินอยู่ข้างกำแพง

เมื่อลี่หลัวเห็นการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของนาง นางก็รีบกลืนขนมที่ยังเคี้ยวไม่ละเอียดในปากของนาง แล้วหันกลับมาทำความเคารพ “ขอบพระทัยพระชายาเพคะ”

“เจ้าอย่าตามข้ามาอีก” ฉินปู้เข่อมองดูนางอย่างระมัดระวัง

สีของเสื้อผ้าบนร่างกายของนางไม่สม่ำเสมอกันเลย มีสีเขียวเข้มเป็นหย่อม ๆ ผสมกับสีเขียวสด หากสังเกตดูดี ๆ จะเห็นว่ากระโปรงยาวที่ควรจะเป็นสีเขียวอ่อนกลายเป็นสีเขียวเข้ม เพราะยังไม่เคยได้ทำความสะอาดมาเป็นเวลานาน

ใบหน้าและมือของนางเป็นสีขาว แต่คอและข้อมือของนางเป็นสีดำคล้ำ ไม่น่าจะมีที่อาบน้ำ ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงล้างหน้าและมือในทุกวันเท่านั้น

มือของนางได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ละเอียดอ่อน ขาวและไม่มีริ้วรอยบนนิ้วมือ นางจึงน่าจะมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย แขนเสื้อขวาถูกดึงยาวขึ้นเล็กน้อย เพราะตั้งใจปกปิดนิ้วก้อยที่หายไปและรอยแผลที่น่าสะพรึงกลัว

เสื้อผ้าที่แต่เดิมเป็นคอกลมถูกนางยกขึ้นมาปิด และรอยสักครึ่งหนึ่งที่มีคำว่า ‘ต๋ง’ โผล่ออกมาจากคอ ซึ่งเป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ฉินปู้เข่อสามารถระบุตัวตนของนางได้

“ครั้งล่าสุดที่ข้ามาที่นี่ เจ้าอยู่ข้างหลังข้าใช่หรือไม่”

ประมาณสิบวันก่อน ตอนที่นางมาที่ร้านติ่มซำครั้งแรก นางรู้สึกว่ามีตาคอยมองนางตลอดเวลา แต่เนื่องจากมีองครักษ์อยู่รอบกายนางมากมายและมีปัจจัยด้านความปลอดภัยที่สูง ฉินปู้เข่อจึงไม่ได้สนใจมากนัก และคิดว่ามันเป็นเพียงคนที่เดินสัญจรผ่านไปมาบนถนนที่มีความอยากรู้อยากเห็น เมื่อเห็นสตรีที่ล้อมรอบไปด้วยองครักษ์เช่นนี้

ลี่หลัวเปิดปากของนางแต่ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่จ้องไปที่นาง

ฉินปู้เข่อเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ดูจากรูปลักษณ์ของเจ้าแล้ว เจ้าน่าจะวิ่งมาจากหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียง ข้าไม่รู้เกี่ยวกับจวนสกุลต๋ง แต่หญิงสาวตัวเล็กคนอื่นหายไปหมดแล้ว ดังนั้นเจ้าก็ควรจากไปด้วยตัวเอง บัดนี้เหตุใดจึงมายุ่งกับข้า เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะพาผู้หญิงที่ไม่ทราบแหล่งที่มากลับไปด้วย”

ดวงตาของลี่หลัวหดหู่ลง แล้วนางก็ก้มศีรษะลงและกระซิบ “ข้ารบกวนพระชายาแล้ว”

“เงินสิบตำลึงนี้ให้ใช้เป็นค่าเดินทางของเจ้า ข้าไม่รู้ว่าเจ้าอาศัยอยู่ไกลจากที่นี่เพียงใด เจ้าสามารถใช้เงินสิบตำลึงหาคนเพื่อส่งเจ้ากลับไป หากเจ้าให้เงินคนอื่นหลังจากที่เจ้ากลับถึงบ้านแล้วและนำเงินออกจากบ้านเพื่อชดเชย คนก็น่าจะยินดีส่งเจ้ากลับ”

ฉินปู้เข่อสั่งให้ซวงหวนหยิบเศษเงินออกมาแล้วยัดไว้ในมือของนาง และเตือนด้วยน้ำเสียงที่จริงจังกว่าเดิม “หากข้าพบว่าเจ้ายังตามข้าอีก องครักษ์ที่อยู่ข้างหลังข้าจะฆ่าเจ้าในฐานะนักฆ่า”

“เข้าใจแล้วเพคะ ขอบพระทัยพระชายาสำหรับรางวัล” ลี่หลัวถือเงินในมือและทำความเคารพอีกครั้ง

“เฮ้ ทุกคน ขนมเปี๊ยะสีม่วงของแม่นางเสร็จแล้ว” เสียงแหลมของเจ้าของร้านติ่มซำดังขึ้น

ฉินปู้เข่อไม่สนใจคนที่อยู่ข้างหลังนาง และเดินออกจากตรอกพร้อมกับซวงหวน

ข้างหลังนาง ลี่หลัวซ่อนตัวอยู่ในเงาของกำแพง มองดูฉินปู้เข่อขึ้นไปบนรถม้าพร้อมกับขนมหลายสิบกล่อง แล้วมองดูรถม้าไปตลอดทาง

“เหตุใดถึงไม่เล่า” นางก้มหน้าลงด้วยน้ำตาคลอเบ้าและสับสนอย่างยิ่ง

ผัวะ

ก่อนที่นางจะพูดจบในลำคอ ลี่หลัวก็รู้สึกเจ็บปวดที่ท้ายทอยของนาง และนางก็ล้มลงกับพื้นในความมืด

“พาตัวไป” คนที่มาถีบสตรีผู้นี้ลงกับพื้น แล้วมองไปที่รถม้าของฉินปู้เข่อและยกริมฝีปากขึ้นยิ้ม “ค่อนข้างระมัดระวังตัวนัก”

………………………………………………………………………….