ตอนที่ 169 คนที่อยู่หลังฉากคนนั้น

นิยามแห่งราตรี (Night’s Nomenclature )

ตอนที่ 169 – คนที่อยู่หลังฉากคนนั้น

 

จางเทียนเจินและหูเสี่ยวหนิวในสายตาเหล่าเพื่อนนักเรียนนับว่าเป็นหนุ่มสมบูรณ์แบบชั้นท็อปแล้ว 

ตอนที่ทุกคนไปเยี่ยมพวกเขาได้เคยเห็นการวางกำลังในโรงพยาบาล 

บอดี้การ์ดนอกห้องผู้ป่วยเป็นมืออาชีพสุด ๆ ทีมแพทย์ที่รับผิดชอบสองคนนี้โดยเฉพาะก็เป็นมืออาชีพสุด ๆ 

ทุกสิ่งนี้ล้วนไม่ใช่การดูแลที่พวกหนุ่มสมบูรณ์แบบธรรมดาจะสามารถครอบครอง 

แต่ทว่าหนุ่มสมบูรณ์แบบชั้นท็อปอย่างนี้หนึ่งคนถูกยางยางมองอย่างเรียบนิ่งสามวินาทีก็สูญเสียพลังสภาวะไปอย่างแค้นเคืองแล้ว……

จางเทียนเจินเก็บสิ่งของพลางพึมพำพลางว่า “ไหงมารังแกฉันล่ะ เธอไม่ไปรังแกเสี่ยวหนิวมั่ง เห็นฉันว่าง่ายเรอะ!”

ยางยางเหล่มองเขาแวบหนึ่ง “อยากโดนทุบตีอีกใช่มะ”

จางเทียนเจินหุบปากฉับ ย้ายไปโต๊ะอีกตัวอย่างว่าง่าย 

พวกเขาอยู่โรงเรียนเอกชนเดียวกันมาตั้งแต่เด็ก นักเรียนชายตอนเด็กมือจะบอนหน่อย: ชอบเอาดินสอไปจิ้มหลังเด็กสาว ชอบดึงผมม้าของเด็กสาว

นี่เป็นการดึงดูดความสนใจของนักเรียนหญิงอย่างงุ่มง่าม สร้างความรำคาญให้เหล่านักเรียนหญิงสุดจะทน 

แต่ทว่าสถานการณ์ประเภทนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับตัวยางยางเลย เพราะว่ามือบอนใส่เด็กสาวคนนี้จะถูกผลักลงกับพื้นทุบตีกันจริง ๆ 

เด็กสาวนั่งลงตรงที่นั่งระหว่างชิ่งเฉินและหูเสี่ยวหนิว หูเสี่ยวหนิวลดเสียงลงถามว่า “ยางยางค้าบ เธอได้ยินเรื่องของหวังอวิ๋นแล้วเปล่า”

“อืม” ยางยางพยักหน้า “เรื่องนี้ของพวกนายมันก่อกวนซะใหญ่โตขนาดนั้นในแวดวง อยากจะไม่รู้ยังไม่ได้เลย แต่นี่ก็ไม่โทษคนอื่น คลุกคลีกับคนที่มีปัญหา จะเกิดปัญหาก็ปกติมาก”

กริ่งเข้าเรียนดังขึ้น หูเสี่ยวหนิวถอนหายใจไม่พูดอีกสักคำ 

ชิ่งเฉินและหนานเกิงเฉินที่ด้านข้างสบตากัน พวกเขาค้นพบว่า ยางยางคนนี้ในแวดวงของพวกหูเสี่ยวหนิวเหมือนกับจะมีสถานะที่สูงยิ่ง 

เพียงแต่ว่า ชิ่งเฉินมีจุดที่คิดไม่เข้าใจ อีกฝ่ายเหตุใดมานั่งอยู่ข้างตนเอง 

จำตัวเองออกแล้วหรือ   

เด็กสาวคนนี้ตอนแรกเริ่มเห็นได้ชัดว่าไม่ได้สนใจตนเอง สายตายังกวาดผ่านร่างของตนเองไป แต่แล้วกลับวกกลับมาใหม่         

ดูอย่างนี้ อีกฝ่ายถึงจะไม่ได้จำตนเองออกก็จะต้องเกิดความระแวงสักอย่าง 

คาบเรียนภาษาอังกฤษคาบที่หนึ่ง เด็กสาวที่ชื่อยางยางคนนี้แม้แต่ศีรษะยังไม่เงยขึ้นสักครั้ง เอาแต่ขีด ๆ เขียน ๆ ไม่รู้ว่ากำลังวาดอะไร 

ตอนที่จวนจะหมดคาบ จู่ ๆ เด็กสาวเขียนโน้ตหนึ่งแผ่นยื่นให้ชิ่งเฉิน 

หูเสี่ยวหนิวและจางเทียนเจินสองเพื่อนนักเรียนให้ความสนใจเธออย่างเงียบ ๆ ตอนที่เห็นการกระทำนี้ก็ตะลึงงัน นี่มันอะไร ยางยางเขียนโน้ตเล็ก ๆ ให้นักเรียนชายเหรอ พวกเขาสองคนไม่ได้มองผิดใช่ปะ 

จากความประทับใจตามปกติที่พวกเขามีต่อเด็กสาวคนนี้อีกฝ่ายล็อกคอใส่ชิ่งเฉินพวกเขาจะไม่รู้สึกเหนือคาดเลย 

แต่ไม่ควรจะเกิดการกระทำประเภทยื่นโน้ตโดยเด็ดขาด!

เรื่องนี้ถ้าส่งเข้ากลุ่มแชตนักเรียนของมัธยมปลายเมืองไห่ พวกเพื่อนนักเรียนก็จะไม่เชื่อเหมือนกัน!

ตอนที่ลูกเศรษฐีรุ่นสองคุยกัน ชิ่งเฉินที่อยู่ด้านข้างอ่านลายมือบนกระดาษโน้ตตรงหน้าเงียบ ๆ : ฉันรู้ว่านายจำฉันได้   

เขาคิดแล้วเขียนลงบนกระดาษโน้ตว่า: เพื่อนนักเรียน หมายความว่าอะไร 

เด็กสาวเขียนอย่างสงบนิ่งว่า : ฉันก็จำนายได้ 

เขาหัวใจหดเกร็งขึ้นมา 

อีกฝ่ายจำตนเองออกจริงด้วย         

เด็กสาวเบือนหน้ามา จับจ้องใบหน้าด้านข้างของชิ่งเฉินอย่างจริงจัง รอคอยคำตอบของเขา 

ดวงตาอันทะลุทะลวงเฉียมคมเหมือนกับกำลังตะครุบรายละเอียดบนใบหน้าของชิ่งเฉิน การตรวจตราชนิดนี้ราวกับความรู้สึกกดดันนับพันจินถาโถมใส่หน้า 

ชิ่งเฉินตอบไปหนึ่งประโยคว่า : เพื่อนนักเรียน เธอไม่ใช่ว่าผิดพลาดอะไรไปรึเปล่า 

ยางยางเขียนอีกว่า : นายก็คือมือสังหารบนเขาเหล่าจวินคืนนั้น ถึงนายจะเปลี่ยนทรงผม แต่ดวงตาเป็นเหมือนเดิม อันนี้ไม่ผิดหรอก 

ชิ่งเฉินตอบว่า: เพื่อนนักเรียน เธอจำคนผิดจริง ๆ 

เวลานี้ ยางยางไม่พูดไร้สาระอีก

เธอดึงภาพสเก็ตหนึ่งใบออกมาจากใต้สมุดตัวเอง วางลงบนโต๊ะตรงหน้าชิ่งเฉิน 

ชิ่งเฉินมองดูภาพดินสอลายเส้นเรียบง่ายแต่ชั้นแสงเงากลับเต็มเปี่ยมรูปนั้นตรงหน้า ที่แท้ก่อนหน้านี้ที่เด็กสาวคนนี้ขีด ๆ เขียน ๆ ล้วนกำลังวาดเขา! 

ชิ่งเฉินในภาพนั้นมีเพียงใบหน้าครึ่งบน ดวงตาแวววาวดุจมีชีวิต 

ยางยางเขียนว่า “คืนนั้นนายฆ่าคนเป็นครั้งแรกไหม ถ้าเป็นครั้งแรก นายแกร่งกว่าฉัน”

ชิ่งเฉินมองดูรูปภาพตรงหน้า ตนเองบนรูปมีความทุลักทุเลหลายส่วน ผมเผ้ายุ่งเหยิง บนใบหน้าก็มีฝุ่นผง 

แต่ว่าในแววตา สิ่งที่มีมากยิ่งกว่ากลับเป็นความมุ่งมั่นและอุตสาหะ 

รังสีการฆ่าฟันคละคลุ้ง

เขารู้สึกว่า ถ้าตนเองส่องกระจกในคืนนั้น ตนเองในกระจกจะต้องเหมือนกันกับภาพวาดนี้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน 

หรือว่าเด็กสาวคนนี้ก็มีความสามารถผ่านตาไม่ลืมเลือน? 

ไม่เพียงชิ่งเฉินที่มีความรู้สึกชนิดนี้ ตอนที่หนานเกิงเฉินซึ่งอยู่ด้านข้างแอบชำเลืองดูภาพวาดนี้ก็ราวกับจะย้อนนึกถึงทุกสิ่งในค่ำคืนนั้นขึ้นมาอีกครั้ง 

คนร้ายอำมหิต แสงไฟฮือโหม กลุ่มคนที่กรีดร้อง          

ยังมีชิ่งเฉินที่ช่วยชีวิตตนเองตอนที่อยู่ในภาวะวิกฤต 

เวลาผ่านไปหลายวัน หนานเกิงเฉินแทบจะลืมฉากเหตุการณ์ในตอนนั้นไปแล้ว         

แต่รูปวาดแผ่นนี้มหัศจรรย์จนดึงเขากลับไปสู่เที่ยงคืนของวันนั้นอีกครั้งในทันใด 

ยางยางเห็นเขาไม่พูดก็เขียนโน้ตอีกแผ่นว่า “ฉันวาดรูปมา 12 ปี สิ่งที่เชี่ยวชาญที่สุดคือการจับรายละเอียดของใบหน้า โธมัส ลอว์เรนซ์เป็นหนึ่งในจิตรกรที่ฉันชอบที่สุด ดวงตาสีหน้าที่มีเอกลักษณ์ขนาดนี้ ฉันเห็นครั้งเดียวจะไม่ลืมเลือนเด็ดขาด”

ชิ่งเฉินคิดแล้วยังคงเขียนลงบนกระดาษโน้ตว่า “เพื่อนนักเรียน คุณพลาดแล้วล่ะ”

ยางยางมองเขาแวบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรอีก 

ในความเป็นจริง ชิ่งเฉินรู้ว่าอีกฝ่ายมั่นใจฐานะมือสังหารของเขาแล้ว แต่เขาไม่สามารถยอมรับ 

เขาเอาภาพวาดสอดเข้าไปในหนังสือ จากนั้นฉีกเศษกระดาษที่เขียนโน้ตเป็นเศษผงอย่างระมัดระวัง รับรองว่าไม่มีใครสามารถประกอบมันขึ้นมาใหม่ 

หูเสี่ยวหนิวที่อยู่ด้านข้างเหล่มองฉากนี้ ถึงเขาจะเห็นไม่ชัดว่าบนกระดาษโน้ตเขียนอะไร แต่ว่าบนนั้นเขียนบทสนทนาไว้จนเต็มพรืดแล้ว   

เวลานี้ มีเสียงฝีเท้าอันรีบเร่งดังขึ้นมานอกทางเดิน

ครูคนหนึ่งของหน่วยกิจการศึกษาเดินมาถึงหน้าประตูห้องเรียนประกาศว่า “หลังหมดคาบให้ไปรวมตัวกันที่สนามเด็กเล่น ช่วงนี้ไวรัสตับอักเสบบีกำลังระบาด วันนี้ทางโรงเรียนจัดให้มีการตรวจร่างกายภาคบังคับ คาบเรียนช่วงเช้าถูกระงับไปก่อน ทุกคนให้ความร่วมมือด้วย”

หนานเกิงเฉินสะดุ้งเฮือก เขาอยากจะไปมองชิ่งเฉินทันที แต่อดกลั้นเอาไว้ 

เขารู้สึกจากจิตใต้สำนึกว่าการตรวจร่างกายครั้งนี้จะต้องไม่ธรรมดา!   

ตับอักเสบบีเป็นโรคระบาดในกลุ่มโรคระบาดที่ต้องแจ้งเตือนระดับชาติ ระบาดขึ้นมายุ่งยากมาก 

แต่ปัญหาคือ ใคร ๆ ก็ไม่เคยเห็นการตรวจร่างกายที่รีบร้อนขนาดนี้ ถึงขนาดไม่มีคนแจ้งว่าวันนี้อย่ารับประทานอาหารเช้า 

ทุกสิ่งล้วนฉุกละหุก 

ในห้องเรียนเกิดเสียงเอะอะเซ็งแซ่ ไม่ต้องสนว่าตรวจร่างกายอะไร แค่ไม่ต้องเข้าเรียนทุกคนก็มีความสุขมากแล้ว 

ยางยางฉวยจังหวะนี้มองไปทางชิ่งเฉินแล้วลดเสียงลงกล่าวว่า “นี่แปดส่วนคือเพื่อจะหานาย ในเหตุการณ์ที่ทราบจนขณะนี้ มีแค่นายที่ทิ้งรอยเลือดเอาไว้บนเขาเหล่าจวิน อย่าเผื่อฟลุ๊ค ฉันแนะนำให้นายหาข้ออ้างหลีกเลี่ยง”

ความหมายที่ยางยางพูดคือ คนที่หลั่งเลือดแล้วยังไม่ถูกคุนหลุนจดลงทะเบียนมีเพียงชิ่งเฉินคนเดียว         

ชิ่งเฉินมองอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจ เขาคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะชักชวนให้ตนเองหลบเลี่ยง

เขาคิดแล้วยังคงยืนกรานว่า “เพื่อนนักเรียน เธอจำคนผิดจริง ๆ”

เสียงกริ่งเลิกคาบดังขึ้น ชิ่งเฉินตบไหล่ของหนานเกิงเฉิน ทั้งสองคนเดินลงบันไดไปที่สนามเด็กเล่นด้วยกัน

ไม่มีเศษเสี้ยวความกังวลใจ แล้วก็ไม่มีเศษเสี้ยวความลังเล 

คราวนี้ถึงตายางยางประหลาดใจแล้ว เด็กหนุ่มนี่มีวิธีและความมั่นใจว่าจะไม่ถูกค้นพบแล้วเหรอ

……

……

หูเสี่ยวหนิวมองแผ่นหลังของชิ่งเฉิน จากนั้นมองยางยาง “เขามีปัญหาอะไรเหรอ”

ยางยางมองเขา “อันนี้นายยังไม่ต้องรู้ ระวังอย่าไปยั่วโมโหเขาก็พอ”

หูเสี่ยวหนิวกับจางเทียนเจินสบตากันอึ้ง ๆ พวกเขาพลาดเรื่องที่สำคัญเป็นพิเศษอะไรไปหรือไม่ 

ทำไมยางยางต้องเตือนพวกเขาว่าอย่าไปยั่วโมโหชิ่งเฉิน หรือว่านี่เป็นปีศาจร้ายอะไรอีก 

อันที่จริง คืนนั้นตั้งแต่รีสอร์ทลุกไหม้ขึ้นทีละหลัง ยางยางก็เร่งมาถึงที่เกิดเหตุแล้ว

ตอนนั้นเธอกำลังรอจังหวะจะสังหารคนร้าย แต่ยังไม่ทันได้ลงมือก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเล็ดรอดมาจากข้างหลังคนร้าย         

ยางยางเห็นกับตาว่าชิ่งเฉินที่ใบหน้าไร้อารมณ์ถือมีดแทงเข้าม้ามของคนร้ายคนหนึ่งอย่างแม่นยำจากด้านหลัง 

ยังมี วิธีการยิงปืนของอีกฝ่ายก็ประหลาดมาก เห็น ๆ อยู่ว่าเด็กหนุ่มคนนี้แม้แต่ท่าถือปืนยังไม่ได้มาตรฐาน นัดแรกก็ยิงพลาด แต่นัดที่สองก็สามารถแก้ไขวิถีกระสุนอย่างแม่นยำได้ทันควัน 

เลือด, การยิงปืน, เด็กหนุ่ม 

คล้ายกับภาพวาดอันงดงาม 

ในขณะนั้น เธอเคยสัมผัสได้ว่าที่จริงแล้วเด็กหนุ่มก็มีความลุกลี้ลุกลนและตื่นตระหนกอยู่บ้าง แต่อีกฝ่ายละทิ้งอารมณ์อันซับซ้อนทั้งหมดของตนเองไปในสถานการณ์วุ่นวาย แล้วกลายเป็นเครื่องจักรสังหารอันเย็นชา

จากนั้น เธอก็ได้เห็นเครื่องจักรสังหารอันเย็นชานั้นระเบิดความใจเด็ดและกล้าหาญอันน่าทึ่งออกมา   

ความรู้สึกชนิดนี้แปลกประหลาดเกินไปแล้ว จนกระทั่งเธอที่อยู่หลังเด็กหนุ่มเกือบจะลืมลงมือ เพียงแค่ชื่นชมอีกฝ่ายแสดงศิลปะการลอบสังหารอย่างเงียบ ๆ 

ยางยางย้อนความทรงจำ อันที่จริงตอนที่เธอกำลังข้ามมหาสมุทรอินเดียน่ะถูกบังคับให้ฆ่าคน ตอนที่โจรสลัดมา เธอไม่ฆ่าคน คนก็จะฆ่าเธอ 

แถมถ้าหากเธอถูกโจรสลัดจับตัวไป สิ่งที่อีกฝ่ายจะทำจะต้องโหดร้ายยิ่งว่าการฆ่าคนแน่นอน

ตั้งแต่นั้นมา ที่จริงแล้วเธอไม่เคยฆ่าคนอีกเลย เผชิญหน้ากับคนร้ายในลานจอดรถก็แค่บดขยี้หัวเข่าของอีกฝ่ายเท่านั้น 

แต่ชิ่งเฉินไม่เหมือนกับเธอ ชิ่งเฉินในคืนนั้นเป็นนักล่า ตั้งอกตั้งใจค้นหาเหยื่ออยู่ตลอด 

เธอย้อนนึกถึงรอยเท้าเลือดบนพื้นคืนนั้น แล้วก็ย้อนนึกถึงความบากบั่นและเย็นชาของเด็กหนุ่มที่ไล่ล่าฆาตรกรในราตรีมืดมิด 

ความประทับใจโดยสัญชาตญาณที่สุดของยางยางคือ: เด็กหนุ่มคนนี้อันตรายมาก 

ตอนที่ลงบันได หนานเกิงเฉินกระซิบเสียงเบาข้าง ๆ ชิ่งเฉินว่า “พี่เฉิน ฉันเห็นรูปสเก็ตของนักเรียนย้ายเข้าคนนั้นแล้ว เธอค้นพบตัวตนของนายแล้วใช่รึเปล่า ตอนนั้นเธออยู่ที่นั่นเหรอ ทำไมฉันไม่เคยเห็นเธอเลยล่ะ”

ชิ่งเฉินเหล่มองเขา “มีโอกาสค่อยคุยเรื่องนี้”

“อ้อ” หนานเกิงเฉินพยักหน้า “งั้นพี่เฉิน รูปสเก็ตนั่นนายยกให้ฉันได้ไหม ฉันจะกลับไปใส่กรอบให้นายเป็นที่ระลึก จะว่าไปงานวาดของเด็กสาวคนนี้ดีจริง ๆ นะ ฉันพอเห็นรูปสเก็ตนั่นก็คิดถึงเรื่องในคืนวันนั้นขึ้นมาเลย”

ชิ่งเฉินเอ่ยอย่างจนใจว่า “อยากจะจุดธูปบูชาให้ฉันอีกด้วยไหมเนี่ย”

“แค่ก ๆ ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะ” หนานเกิงเฉินกล่าว “ว่าไปแล้วพี่เฉิน ฉันว่าเด็กสาวคนนั้นค่อนข้างหน้าตาดีเลยนะ เธอมานั่งข้างนายมีเจตนาแฝงต่อนายนิดหน่อยรึเปล่า นายสองคน……”

ผลคือตอนนี้ชิ่งเฉินหันหน้ามามองเพื่อนร่วมโต๊ะคนนี้อย่างจริงจัง “ล้อเลียนเด็กสาวลับหลังอย่างนี้ไม่ใช่นิสัยที่ดี”

“รู้แล้ว ๆ” หนานเกิงเฉินยอมรับความผิดอย่างถ่อมตัว “แต่ว่าพี่เฉิน นายถูกเจาะเลือดจะไม่เป็นไรจริง ๆ เหรอ ขอโทษนะที่เป็นตัวถ่วงของนาย”

“ไม่ได้เป็นตัวถ่วงอะไรทั้งนั่นแหละ” ชิ่งเฉินกลับไปคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นคืนนั้น “เริ่มแรกคือเพื่อช่วยชีวิตนาย แต่ตอนหลังไม่ใช่แล้วล่ะ”

“งั้นเป็นเพราะอะไรล่ะ”

“เพราะว่า เรื่องบางอย่างจำเป็นต้องทำ”

ที่สนามเด็กเล่น มีการตั้งเต้นท์สีขาวสิบกว่าหลังไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่   

ชิ่งเฉินมองผ่าน ๆ ค้นพบด้วยความประหลาดใจว่าเสี่ยวอิงที่เคยขับรถชนในลานหมายเลขสี่ถนนสิงสู่คนนั้นก็สวมชุดกาวน์สีขาวกับมาสก์สีขาว……

ที่สนามเด็กเล่น คนที่สะดุดตาที่สุดยังไม่ใช่เต้นท์สีขาวพวกนี้ ทว่าเป็นหลิวเต๋อจู้ 

เห็นแค่ลูกเศรษฐีรุ่นสองสามสิบกว่าคนรายล้อมเขา ทุกคนมองดูเพื่อนนักเรียนบนสนามเด็กเล่นหัวเราะฮิ ๆ ฮะ ๆ ใบหน้าสดชื่นอย่างกับมาถึงชนบท   

ไม่ไกลออกไป ยางยางเฝ้ามองทุกคนเข้าแถวตรวจร่างกายเงียบ ๆ ชิ่งเฉินและหนานเกิงเฉินยืนอยู่ในแถว สงบนิ่งอย่างยิ่ง

เธอเห็นแล้ว         

ตอนที่ถึงคิวชิ่งเฉินเจาะเลือด เด็กหนุ่มคนนั้นนั่งลงหน้าโต๊ะแล้วยื่นแขนออกไปอย่างไม่ลังเลแม้เศษเสี้ยว ราวกับว่าไม่ได้กังวลใจสักนิด 

“หรือว่าเด็กหนุ่มนี่ฉีดยาแปลงพันธุกรรมเปลี่ยน DNA แล้ว ดังนั้นเลยมั่นใจไม่หวาดหวั่น” ยางยางขบคิดกับตัวเอง “เดิมทีฉันนึกว่าเขาอาจจะเป็นนักเรียนของหลี่ซูถง แต่ตอนนี้ดูท่าฉันจะผิดแล้ว?”

ไม่มีคนสังเกตเห็นว่า

หลังจากชิ่งเฉินเจาะเลือดแล้วจากไป เสี่ยวอิงที่สวมชุดกาวน์สีขาวมาที่เต้นท์สีขาว         

พยาบาลที่รับผิดชอบการเจาะเลือดชิ่งเฉินก่อนหน้านี้ยื่นหลอดทดลองเก็บตัวอย่างเลือดออกไปอย่างไม่กระโตกกระตาก ร่างของทั้งสองเพียงเฉียดกันพริบตาเดียว หลอดทดลองเก็บตัวอย่างเลือดก็เปลี่ยนมาอยู่ในมือของเสี่ยวอิงแล้ว 

เขากวาดมองรอยด้านเสมือนไร้เรื่องราว จากนั้นขึ้นรถฉุกเฉิน 120* คันหนึ่งเงียบ ๆ

เขาขึ้นรถแล้วถอดชุดกาวน์สีขาวบนตัว มองเจิ้งหย่วนตงที่อยู่ข้างกายกล่าวว่า “บอสครับ เอามาแล้ว”

เจิ้งหย่วนตงพยักหน้ากล่าวว่า “ไปศูนย์พิสูจน์หลักฐานทางนิติเวช ฉันต้องการรู้ผลลัพธ์โดยเร็วที่สุด”

เสี่ยวอิงคิดแล้วถามว่า “บอสครับ พวกเราต้องระวังขนาดนี้เลยเหรอ ท่านจัดให้เจาะเลือดขนานใหญ่น่ะผมเข้าใจได้ นี่เพื่อไม่ให้นักเรียนกับผู้ปกครองนักเรียนตื่นตระหนก แต่เก็บตัวอย่างเลือดของเขาคนเดียวก็ต้องระวังขนาดนี้ ปกปิดขนาดนี้เหรอครับ”

เจิ้งหย่วนตงมองเสี่ยวอิงแวบหนึ่ง อธิบายอย่างสงบนิ่งว่า “คนที่หาเขามีเยอะเกินไป ถึงพวกเราจะต้องพิสูจน์ตัวตนของเขา แต่ก็ต้องรับรองความปลอดภัยของเขาด้วย”

“ยังมีคนกำลังหาเขาเหรอครับ จิ่วโจวเหรอ” เสี่ยวอิงอยากรู้

เจิ้งหย่วนตงส่ายหน้า “ไม่ใช่แค่จิ่วโจว เกรงว่าจะมากยิ่งกว่าที่พวกเราจินตนาการเอาไว้เสียอีก”

……

……

5 โมงเย็น

ในสำนักงานแห่งหนึ่งของศูนย์พิสูจน์หลักฐานทางนิติเวช เสี่ยวอิงถือรายงานการทดสอบหนึ่งฉบับมาถึงเบื้องหน้าเจิ้งหย่วนตง เขาลังเลครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “บอสครับ ไม่ใช่เขา”

บนใบหน้าเจิ้งหย่วนตงปรากฏแววเคร่งขรึมอย่างหาได้ยาก เขาหยิบรายงานการทดสอบมายืนยันซ้ำสามรอบ สุดท้ายจึงยืนยันแน่ชัดว่าเด็กหนุ่มที่ชื่อชิ่งเฉินคนนั้น DNA ไม่ตรงกับที่พวกเขารวบรวมมาจริง ๆ 

เขาตรวจสอบเบาะแสทั้งหมดที่ตนเองได้รับ

ในสำนักงานอันเงียบสงบ เจิ้งหย่วนตงหลับตาอย่างไร้เสียง

เขากำลังไล่ตามรอยเท้าของเด็กหนุ่มคนนั้นในความทรงจำ เคลื่อนไปใกล้ความจริงราวกับกำลังสาวเส้นไหมออกจากรังไหม         

อย่างไรก็ตาม เบาะแสที่เชื่อมโยงกันทุกอย่างเหมือนใยแมงมุมนั้นกลับขาดวิ่นไปหมดเพราะรายงานการทดสอบฉบับเดียว   

ราวกับถูกคนใช้มีดตัดขาดดื้อ ๆ  

“บอสครับ?” เสี่ยวอิงอดถามไม่ได้ “ตอนนี้ทำไงครับ”

เจิ้งหย่วนตงลุกขึ้นยืน “คนหลังฉากอาจจะไม่ใช่เขา แต่ว่ามือสังหารคนนั้นบนเขาเหล่าจวินจะต้องเป็นเขา ผมเชื่อในการประเมินของตัวเอง”

เจิ้งหย่วนตงกำลังคิดว่า

ถ้าหากเบาะแสของเขาถูกต้องทั้งหมด แต่รายการห้องปฏิบัติการกลับพิสูจน์ว่าการคาดเดาของเขามีความผิดพลาด

อย่างนั้นในนี้จะต้องมีเบาะแสที่เขายังไม่รู้สักอย่าง ทำให้รายการห้องปฏิบัติการฉบับนี้ชี้ไปสู่ข้อสรุปที่ผิดพลาด

“เขาเปลี่ยน DNA ของตัวเองแล้ว” เจิ้งหย่วนตงมองเสี่ยวอิงแล้วกล่าว 

ระหว่างเหตุการณ์เขาเหล่าจวินกับเหตุการณ์เจาะเลือด ในไทม์ไลน์ที่โลกภายนอกภายในบวกกันได้ถึงยี่สิบกว่าวันนี้ ชิ่งเฉินเปลี่ยน DNA ของตัวเองแล้ว! 

นี่เป็นคำอธิบายที่มีเหตุผลที่สุด   

เด็กหนุ่มคนนั้นก็จะต้องรู้ว่าตัวอย่างเลือดที่อีกฝ่ายทิ้งไว้บนเขาเหล่าจวินเป็นเบาะแสที่ร้ายแรงถึงแก่ชีวิตมาก ๆ ดังนั้นอีกฝ่ายจึงเปลี่ยน DNA ของตัวเองขึ้นมาเองในยี่สิบกว่าวันนี้         

แต่วิธีการอะไรที่สามารถเปลี่ยน DNA ของตัวเองล่ะ งั้นก็มีแค่ยาแปลงพันธุกรรมแล้ว 

แต่คำถามก็มา “ถ้าเขาเป็นนักท่องเวลาอีกคนในเรือนจำหมายเลข 18 เป็นนักเรียนของหลี่ซูถง เป็นคนหลังฉากที่หลิวเต๋อจู้ปกปิดเอาไว้ งั้นทำไมเขาเลือกจะฉีดยาแปลงพันธุกรรมล่ะ”

ต้องรู้ว่า คนทั้งหมดของโลกภายในล้วนทราบชัดมากว่ายาแปลงพันธุกรรมมีผลข้างเคียง 

ในยุคใหม่ของอารยธรรม ยาแปลงพันธุกรรมที่เก่าแก่ที่สุดมาจากกลุ่มตุลาการต้องห้าม 

พวกเขาสกัดชิ้นส่วนยีนของ “เทพเจ้า” มาทำยา เสริมความแข็งแกร่งให้ยีนของมนุษย์ 

ภายหลัง ยาแปลงพันธุกรรมค่อย ๆ มากขึ้น กลุ่มการเงินต่าง ๆ ก็เหมือนจะค้นพบยีนของมนุษย์พันธุ์ใหม่จากในสถานที่ต้องห้าม  จากนั้นสกัดออกมา 

แต่ผลข้างเคียงก็ติดมาด้วย: ผู้ที่ฉีดยาแปลงพันธุกรรมจะไม่อาจสืบเชื้อสาย 

นี่ก็เหมือนกับหลักเหตุผลที่เรียบง่ายเป็นพิเศษอย่างหนึ่ง ได้รับมาก็ต้องสูญเสีย   

ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีราคา   

ดังนั้น นักเรียนของหลี่ซูถงจะแบกรับราคาที่ร้ายแรงขนาดนี้เพื่อปิดบังตัวตนหรือ ไม่ใช่แน่นอน

คนชนชั้นล่างเพื่อมีชีวิตรอด, สถานะวงศ์ตระกูล, ปกป้องคนรัก, แสวงหาชีวิต เห็นยาแปลงพันธุกรรมสำคัญอย่างยิ่งยวด

เพราะว่าในยุคสมัยที่ชีวิตคนเบาเหมือนกระดาษ พวกเขามีแต่เปลี่ยนไปเป็นมีประโยชน์ เปลี่ยนไปเป็นมีค่า จึงจะสามารถมีชีวิตดีขึ้นเล็กน้อย!   

แต่ว่าผู้คนชนชั้นสูงดูแคลนยาแปลงพันธุกรรมเสมอมา!   

คิดถึงตรงนี้ เจิ้งหย่วนตงจู่ ๆ มองไปทางเสี่ยวอิง “พวกคุณ……จะโทษที่ผมให้พวกคุณฉีดยาแปลงพันธุกรรมไหม”

เสี่ยวอิงเกาศีรษะยิ้มเอ่ยว่า “บอสคุณพูดอะไรเนี่ย ทุกคนเลือกกันเองนะ แล้วก็รู้ผลข้างเคียงกันหมด”

“แต่พวกคุณอาจจะยังอายุน้อยเกินไป ไม่อาจตระหนักว่าเรื่องนี้สรุปแล้วร้ายแรงแค่ไหน ถึงคุณจะไม่ถือสา ภรรยาของคุณก็จะถือสา”

เสี่ยวอิงยิ้มแล้ว “ขำจะตายแล้วครับ หาเมียยังไม่เจอเลยเหอะ”

ภายใต้การจับจ้องของเจิ้งหย่วนตง         

เสี่ยวอิงรีบกล่าวว่า “บอสครับ ผมล้อเล่น อีกอย่าง……มีเรื่องบางอย่างที่ต้องมีคนไปทำอยู่แล้วล่ะ จริงไหมครับ ท่านวางใจเถอะ พวกผมเคยสาบานกันหมดแล้ว ไม่เสียใจภายหลัง”

……

……

ในห้องสำนักงานจู่ ๆ ก็เงียบลง เจิ้งหย่วนตงตกอยู่ในห้วงคิด

เสี่ยวอิงเปลี่ยนเรื่องถามว่า “บอสครับ เบื้องหลังชิ่งเฉินยังจะมีคนรึเปล่า”

เจิ้งหย่วนตงขบคิดว่า “ผมก็เคยคิดถึงความเป็นไปได้นี้ แถมก็เหมือนจะเหลือแค่ความเป็นไปได้นี้แล้ว คนหลังฉากคนนั้นระมัดระวังมากมาโดยตลอด ไม่มีเหตุผลที่จะพุ่งไปฆ่าหน้าเวทีจากหลังฉาก”

ก็เหมือนกับเหอจินชิว ถึงทุกวันนี้มีคนน้อยมากที่เคยเห็นเขาลงมือ เพราะว่าอีกฝ่ายต้องการเป็นคนที่จัดทัพในกระโจมและควบคุมทุกอย่าง   

ดูจากจุดนี้ ชิ่งเฉินและหลิวเต๋อจู้ล้วนเหมือนกับตัวหมากในมือใครสักคนถูกคนวางลงบนกระดานที่หน้าฉาก 

ราตรีนั้นที่เขาเหล่าจวิน มือสังหารใจเด็ดเกินไปจริง ๆ นี่ก็ไม่คล้ายกับเรื่องที่คนที่ซ่อนอยู่หลักฉากผู้หนึ่งควรจะทำ   

“ผมต้องตรวจสอบอีกหน่อย”

พูดจบ เจิ้งหย่วนตงต่อสายโทรศัพท์กล่าวว่า “ช่วยผมแฮกบันทึกแชตระหว่างหนานเกิงเฉินกับชิ่งเฉินหน่อย ตั้งแต่เริ่มทะลุมิติถึงปัจจุบัน ทั้งหมดเลย”

โทรศัพท์สายนี้ไม่รู้ว่าโทรหาใคร แต่ว่าอย่างรวดเร็วมาก บันทึกแชตก็ส่งมาแล้ว   

เจิ้งหย่วนตงอ่านอย่างละเอียด กลับค้นพบว่าหลังจากเกิดเหตุการณ์ตั้งนานมาก หนานเกิงเฉินไม่รู้สถานะนักท่องเวลาของชิ่งเฉินเลย

จนกระทั่งการคืนกลับครั้งหนึ่ง

เขาอ่านบันทึกแชตช่วงนี้

“พี่เฉิน นายอยู่ไหม อยู่ไหมอยู่ไหมอยู่ไหม”

“พี่เฉิน นายฟังฉันอธิบาย!”

“เปล่านะพี่เฉิน ฉันกับหลี่อีนั่วเป็นเพื่อนธรรมดา ๆ!” 

เจิ้งหย่วนตงรู้สึกพิกล “นี่ พวกเขาจู่ ๆ เจอกันที่โลกภายใน แถมเกิดเรื่องประหลาดสักอย่าง ทำให้หนานเกิงเฉินรีบเร่งอธิบาย หลี่อีนั่ว ผมเคยได้ยินชื่อนี้ นี่ไม่ใช่ชื่อของหลานสาวคนโตรุ่นที่สามตระกูลหลี่เหรอ ช่วงก่อนผมยังเห็นข่าวว่าเธอพอทีมล่าฤดูใบไม้ร่วงไปป่าเลย……”

ขณะนี้ดูท่าหนานเกิงเฉินตามทีมล่าฤดูใบไม้ร่วงลงใต้ จากนั้นเจอกับชิ่งเฉิน

แต่ว่าเพราะอะไรหนานเกิงเฉินถึงอธิบายว่าตนเองกับหลี่อีนั่วเป็นเพื่อนธรรมดา ส่วนชิ่งเฉินกลับให้หนานเกิงเฉินบำรุงดี ๆ ในเจ็ดวันที่คืนกลับ 

เสี่ยวอิงพึมพำว่า “บอสครับ ผมเก็ตแล้วล่ะ หนานเกิงเฉินถูกเศรษฐินีอย่างหลี่อีนั่วเลี้ยงดูปะครับ?!”

เจิ้งหย่วนตงตะลึง อย่าบอกนะว่า มีความหมายอย่างนี้จริง ๆ น่ะ 

เขาอ่านต่อไป จากนั้นเห็นไปตามธรรมชาติว่าหนานเกิงเฉินให้ชิ่งเฉินมาพึ่งพิง ชิ่งเฉินพูดว่าข้าวที่หากินจากน้ำพักน้ำแรงหอมกว่า         

อืม เข้าเค้าอยู่นะ……

เสี่ยวอิงอิจฉานิดหน่อย “ถ้าผมก็สามารถถูกเศรษฐินีเลี้ยงดูด้วยก็ดีสิ ผมยังฉีดยาแปลงพันธุกรรมด้วย ไม่แค่แรงดี ยังไม่ต้องทำหมัน……”

ภายใต้การจับจ้องของเจิ้งหย่วนตง เสี่ยวอิงหุบปาก 

เจิ้งหย่วนตงกล่าวว่า “ชิ่งเฉินนี่เป็นนักล่าในป่า ส่วนหนานเกิงเฉินอยู่ข้าง ๆ หลี่อีนั่ว แล้วก็เปิดเผยเรื่องเกี่ยวกับตระกูลหลี่มากมายให้ชิ่งเฉิน”

อย่างนี้ก็อธิบายได้สมเหตุสมผลแล้ว เป็นหนานเกิงเฉินรับรู้เรื่องที่เกี่ยวกับแผนกวาดล้างจากทางหลี่อีนั่ว 

แล้วแจ้งต่อชิ่งเฉิน! 

เสี่ยวอิงกล่าวว่า “บอสครับ หนานเกิงเฉินจะเป็นคนหลังฉากคนนั้นรึเปล่าครับ คุณดูสิ อันที่จริงในเรื่องทั้งหมดก็แทบจะมีเขาหมดเลยนะครับ”

เจิ้งหย่วนตงมองมาทางเขาช้า ๆ ราวกับมองคนโง่……

อันที่จริงเขาเสียใจอยู่บ้าง วันนี้คุนหลุนระดมกำลังมากขนาดนี้เพื่อเจาะเลือด ปรากฏว่าก็แค่ยืนยันสถานะนักล่าในป่าของชิ่งเฉินเท่านั้น 

ดูตามเบาะแสในปัจจุบัน ชิ่งเฉินและหลิวเต๋อจู้ล้วนฉีดยาแปลงพันธุกรรมแล้ว ดังนั้นพวกเขาน่าจะไม่ใช่บุคคลแกนหลักที่สุดคนนั้น 

จุดที่เป็นประเด็นสำคัญที่สุดคือ ชิ่งเฉินไม่ได้อยู่ที่เรือนจำหมายเลข 18! 

อันที่จริงเจิ้งหย่วนตงกับเสี่ยวอิงไม่รู้ว่า สถานะนักล่าในป่าอะไรนี่ไม่ได้สำคัญ 

ชิ่งเฉินทิ้งบันทึกแชตนี้ไว้ก็เพื่อพิสูจน์กับทุกคนว่าเขาไม่ได้อยู่ในเรือนจำหมายเลข 18 

ในเมื่อเขาไม่ได้อยู่ที่เรือนจำหมายเลข 18 งั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคนที่ซ่อนตัวอยู่ในเรือนจำหมายเลข 18 คนนั้น   

ใครจะไปคิดได้ว่าอันที่จริงเขาสามารถเข้าออกเรือนจำตามใจชอบได้แล้วล่ะ? 

นี่ก็คือไฟร์วอลล์ชั้นที่สองของเขา 

ในความเป็นจริงชิ่งเฉินตระหนักได้อย่างชัดเจนแล้วว่า พร้อมกับวิกฤตการณ์ที่ตามต่อกันมา คิดจะหายตัวไปอย่างสิ้นเชิงเป็นไปไม่ได้เลย         

ดังนั้นเขาจึงถอยไปหาตัวเลือกรองลงมา เลือกศักดิ์ฐานะที่ไม่ได้สำคัญขนาดนั้นให้กับตัวเองขึ้นมาเองเลย 

แต่ว่า เจิ้งหย่วนตงรู้สึกว่า ถึงชิ่งเฉินและหลิวเต๋อจู้เป็นเพียงตัวหมากทั้งสองคน แต่ตำแหน่งของตัวหมากชิ่งเฉินไม่ได้เป็นลูกน้องของหลิวเต๋อจู้เด็ดขาด 

เรื่องประเภทนี้ไม่สามารถฟังความข้างเดียวของหลิวเต๋อจู้เด็ดขาด ความจริงแล้วในสถานการณ์ประเภทนี้ ใครที่ซ่อนลึกกว่า ตำแหน่งของคนนั้นจะสูงกว่า 

……

……

เสี่ยวอิงถามว่า “บอสครับ พูดตามตรงพวกเราไม่เข้าใจเลย ไหงคุณมั่นใจขนาดนี้ว่าชิ่งเฉินเป็นมือสังหารคนนั้นของเขาเหล่าจวิน แม้แต่การเจาะเลือดครั้งนี้ยังจัดแจงเพื่อเขาโดยเฉพาะ”

เจิ้งหย่วนตงกล่าวว่า “เบาะแสพวกนี้เป็นเรื่องราวมากมายที่ร้อยเรียงเข้าด้วยกัน”

“ตอนที่เหตุการณ์ทะลุมิติเพิ่งเกิดขึ้น ลู่หยวนค้นพบเด็กหนุ่มน่าสงสัยคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นนอกประตูชุมชนที่หวงจี้เซียนพักอยู่ แอบสังเกตมองพวกเรา หวงจี้เซียนเป็นนักเรียนม.ปลายปีหนึ่งโรงเรียนสอนภาษาต่างประเทศเมืองลั่วที่เสียสติไปคนนั้น”

“ตอนนั้น ลู่หยวนกับหูลู่ดำเนินการติดตามแบบคาบเกี่ยวต่อเด็กหนุ่มนั่น เริ่มแรกพวกเขาไม่แน่ใจเลยว่าเด็กหนุ่มคนนี้ปรากฏตัวที่นั่นเป็นความบังเอิญหรือไม่ จนกระทั่งเด็กหนุ่มสลัดพ้นพวกเขา ลู่หยวนจึงแน่ใจว่าอีกฝ่ายจะต้องเป็นนักท่องเวลา”

แถมเป็นนักท่องเวลาที่มีความสามารถต่อต้านการสะกดรอยอันแข็งแกร่ง

เสี่ยวอิงตะลึงงันอยู่บ้าน เขาเพิ่งจะได้ยินเรื่องนี้ครั้งแรก หัวหน้าทีมลู่ดูประมาท แต่ก็เป็นยอดฝีมือด้านการสะกดรอยผู้ร้ายตัวเก๋า   

หัวหน้าทีมลู่บวกหูลู่สองคนติดตามแบบคาบเกี่ยวด้วยกัน จะทำนักเรียนมัธยมปลายคนหนึ่งหายไปได้อย่างไร

เจิ้งหย่วนตงกล่าวว่า “ลู่หยวนเสียหน้าเลยไม่ได้บอกพวกคุณเรื่องนี้ แต่ในภายหลังเขาไปแอบเช็คกล้องวงจรปิดอยู่หลายวัน ในที่สุดเจอร่างของอีกฝ่าย หายตัวไปที่โรงเรียนสอนภาษาต่างประเทศเมืองลั่ว ถนนสิงสู่เขตนี้แหละ”

นี่เป็นเบาะแสที่หนึ่ง

เจิ้งหย่วนตงกล่าวต่อว่า “ภายหลัง นักท่องเวลาชื่อเจียงเสวี่ยคนหนึ่งถูกโจมตีในบ้าน คนร้ายสองคนคนหนึ่งตกบันไดหมดสติคาที่เกิดเหตุ คนหนึ่งหนีไป แต่ว่าคนร้ายคนนั้นในระหว่างการหลบหนีถูกคนใช้ของไม่มีคมตีขาหัก สิ่งที่ประหลาดที่สุดคือคนร้ายคนนี้ถึงกับไม่ได้เห็นชัดด้วยซ้ำว่าคนที่เป็นผู้กล้าผดุงคุณธรรมเป็นใคร”

อีกฝ่ายระมัดระวังอย่างยิ่ง หลังโจมตีสำเร็จในทีเดียวก็หายลับไปในเงามืดอย่างว่องไว ถึงขนาดที่ว่าตอนที่พวกเพื่อนบ้านเปิดหน้าต่างมาดูความครึกครื้นก็เห็นแค่คนร้ายที่ขาหัก         

ราวกับว่าคนร้ายนั่นขาหักไปเอง

เสี่ยวอิงกล่าวว่า “ผมรู้เรื่องนี้”

เจิ้งหย่วนตงกล่าวว่า “ชิ่งเฉินเป็นเพื่อนบ้านของเจียงเสวี่ย พักอยู่ชั้นล่างของบ้านเธอ มีเพื่อนบ้านบอกว่าเขากับลูกสาวของเจียงเสวี่ยมีความสัมพันธ์ที่ดีมาก”

นี่เป็นเบาะแสที่สอง

เจิ้งหย่วนตงกล่าวว่า “ตอนที่หูเสี่ยวหนิง, จางเทียนเจินกับนักเรียนถูกลักพาตัวที่บ้านเจียงเสวี่ย หลิวเต๋อจู้ชักนำพวกคุณไปที่ถนนสิงสู่ ก็เป็นหลังจากที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเองที่ผมกับลู่หยวนตระหนักได้ว่ามีคนที่ซ่อนอยู่หลังฉากหนึ่งคน ชักใยทำราวกับทุกคนเป็นหุ่นเชิด แสดงละครออกมา”

อันที่จริงจนกระทั่งบัดนี้ เจิ้งหย่วนตงจึงสังเกตเห็นคนที่ปรากฏตัวขึ้นในเบาะแสที่เกี่ยวข้องอยู่บ่อยครั้ง: ชิ่งเฉิน 

ในเหตุการณ์ทั้งหมดมีชื่อนี้ปรากฏเป็นเบาะแส แต่ราวกับเหตุการณ์ทุก ๆ อย่างล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเขา 

นี่เป็นเบาะแสที่สาม         

เจิ้งหย่วนตงกล่าวว่า “ในเหตุการณ์เขาเหล่าจวิน ไฟไหม้รีสอร์ทสิบกว่าหลัง แม้แต่บันทึกลงทะเบียนเข้าพักก็ไหม้หมด เพราะว่าไม่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ต พวกเราไม่มีบันทึกเช็คอิน”

เสี่ยวอิงกล่าวว่า “ครับ ภายหลังหัวหน้าทีมลู่ยังไปขุดซากปรักหักพังด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่เจอเลย”

เจิ้งหย่วนตงกล่าวว่า “พวกคุณทั้งหมดมองข้ามเรื่องหนึ่งอย่าง ตอนนี้ทุกคนชอบจองโรงแรมล่วงหน้าผ่าน APP ผมเจอบันทึกการจองของเจียงเสวี่ยบนเหม่ยถวน”

“เจียงเสวี่ยไม่มีรถส่วนตัว ดังนั้นผมไปหาบันทึกผู้โดยสารสถานีขนส่งในช่วงวันนั้น ทุกวันนี้จะโดยสารรถบัสประจำทางต้องใช้บัตรประชาชนซื้อตั๋ว ดังนั้นผมค้นพบว่าชิ่งเฉินก็อยู่บนรถคันนั้น”

ดังนี้ คืนนั้นชิ่งเฉินก็อยู่บนเขาเหล่าจวิน 

นี่เป็นเบาะแสที่สี่

ภายหลังเจิ้งหย่วนตงยังได้รับทราบว่าชิ่งเฉินเป็นเพื่อนนักเรียนของหนานเกิงเฉินแล้วก็เป็นพี่น้องที่ดี 

นี่ก็สามารถอธิบายได้ว่าเพราะอะไรชิ่งเฉินหลังจากเข่นฆ่ามาจากด้านหลังรีสอร์ทถึงได้ขึ้นชั้นสองไปช่วยชีวิตหนานเกิงเฉินก่อน 

แล้วก็สามารถอธิบายว่าเพราะอะไรหวังอวิ๋นบอกว่ามือสังหารน่าจะหนุ่มมาก หนานเกิงเฉินกลับบอกว่ามือสังหารเป็นชายกลางคนอายุสามสิบกว่าปี 

จากนั้นเจิ้งหย่วนตงค้นพบในบันทึกผู้โดยสารของรถบัสว่า หลังคดีลักพาตัว เจียงเสวี่ย, ชิ่งเฉิน, หลี่ถงอวิ๋นสามคนออกจากเขาเหล่าจวินเช้าวันที่ 8 เดือนตุลาคม

ในช่วงเวลานี้ ชิ่งเฉินน่าจะซ่อนตัวพักฟื้นบาดแผลอยู่ตลอด         

อย่างรวดเร็ว เจิ้งหย่วนตงค้นพบอีกว่า บิดาของชิ่งเฉินก่อนและหลังเหตุการณ์ทะลุมิติมักจะติดคุก ทั้งสองครั้งล้วนถูกคนรายงานการซ่องสุมเล่นพนัน 

เขาไปตรวจสอบข้อมูลการรายงาน ไฟล์หนึ่งในนั้นเขียนว่าคนรายงาน: คุณชิ่งพลเมืองผู้กระตือรือร้น

ณ ตอนนี้ เจิ้งหย่วนตงมีการประเมินอันชัดเจนต่อชิ่งเฉินแล้ว: ใจเหี้ยมฝีมืออำมหิต……

นี่เป็นเบาะแสที่ห้า 

ตอนที่เบาะแสห้าอย่างนี้เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ไม่ว่าเจิ้งหย่วนตงจะประหลาดใจอีกแค่ไหนก็จะทำการประเมินอันถูกต้องออกมา: นักเรียนมัธยมปลายชื่อชิ่งเฉินคนนั้นปิดบังตัวตนมาตลอด ในเหตุการณ์ทุกอย่างล้วนมีบทบาทอย่างใหญ่หลวง   

อีกฝ่ายอาจจะไม่ใช่คนหลังฉากคนนั้นจริง ๆ แต่ตัวตนมือสังหารของเขาเหล่าจวินอย่างน้อยยืนยันได้อย่างไร้ข้อกังขาแล้ว 

ในห้องสำนักงาน ปากของเสี่ยวอิงอ้ากว้างขึ้นเรื่อย ๆ “บอสครับ เขาเป็นแค่นักเรียน ม.ปลายนะ……”

จากที่เสี่ยวอิงเห็น ถึงแม้เบาะแสทุกอย่างที่บอสพูดล้วนน่าเชื่อถือมาก แต่เขาเชื่อได้ยากมากว่านักเรียนมัธยมปลายคนหนึ่งจะถึงกับสามารถโหดร้ายได้ขนาดนี้ 

ในเหตุการณ์แต่ละอย่างนั่น ถ้าเปลี่ยนให้เขาเสี่ยวอิงไปทำ เกรงว่าจะถูกคนร้ายฆ่าตายแต่แรกแล้วปะ 

อีกอย่าง อีกฝ่ายไม่เพียงมีความตระหนักถึงการต่อต้านการสะกดรอยที่แข็งแกร่ง สามารถสลัดการตามรอยของลู่หยวน ยังสามารถใช้หนึ่งสู้คนหมู่มาก ฆ่าคนอย่างเยือกเย็น   

ประเด็นสำคัญที่สุดคือ ถึงกับยังสามารถเห็นคุณธรรมสำคัญกว่าญาติมิตรส่งญาติเข้าคุก……

หมอนี่เป็นคนเหี้ยมที่ยากจะจินตนาการถึงเลย 

“งั้นบอสวางแผนจะทำยังไงกับเด็กหนุ่มคนนี้ล่ะครับ” เสี่ยวอิงคิดแล้วกล่าวว่า “คุนหลุนเราต้องการคนที่แข็งกร้าวประเภทนี้จริง ๆ ปะครับ”

“อืม” เจิ้งหย่วนตงคิดแล้วกล่าวว่า “ถึงพวกเราจะสามารถหาคนหลังฉาก แต่หากสามารถขุดชิ่งเฉินคนนี้มาได้ก็นับว่าเป็นผลรับที่ไม่เลว”

เสี่ยวอิงหัวเราะอย่างเริงร่า “จริงครับ เสร็จโจรแน่!”

เจิ้งหย่วนตง “……”

เสี่ยวอิงเก็บเสียงหัวเราะ “บอส ผมผิดไปแล้วครับ”

เจิ้งหย่วนตงกล่าวอย่างหนักแน่นจริงใจว่า “เสี่ยวอิง รถชนหลายครั้งก่อนสมองเกิดปัญหาอะไรรึเปล่า ผมให้วันลาคุณสองวัน คุณไปเช็คให้ดี ๆ อีกทีนะ”

“ไม่ต้องครับบอส ผมไม่เป็นไร ผมแค่ชอบพูดเล่น” เสี่ยวอิงกล่าวอย่างจริงจังและจริงใจ 

……

……

6 โมงเย็น         

ประตูของศูนย์พิสูจน์หลักฐานทางนิติเวช แพทย์นิติเวชคนหนึ่งเดินออกมาเสมือนไร้เรื่องราว 

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยิ้มและทักทายเขาว่า “หัวหน้าฝ่ายฉิน เลิกงานกลับบ้านเหรอครับ”

หัวหน้าฝ่ายฉินยิ้มแล้วตอบว่า “อืม เหนื่อยมาทั้งวันจะรีบกลับไปพักผ่อน”

พูดจบ หัวหน้าฝ่ายฉินก็ไปขึ้นรถประจำทางที่หน้าประตู 

เขาไปที่ตลาดสดก่อน ซื้อต้นหอมหนึ่งกำ ขึ้นฉ่ายหนึ่งกำ เนื้อวัวสองจิน แล้วไปร้านของชำซื้อซีอิ๊วหนึ่งขวด 

แล้วจึงเดินกลับบ้าน         

ปลายฤดูใบไม้ร่วง ท้องฟ้ามืดเร็วหน่อย

เพียงแต่หลังกลับถึงบ้าน หัวหน้าฝ่ายฉินไม่ได้เปิดไฟในห้องนั่งเล่นเลย ทว่าเดินไปที่ผนังติดโทรทัศน์ในความมืด         

เขาหยิบจดหมายหนึ่งฉบับออกมาจากหลังโทรทัศน์ อาศัยแสงจากโทรศัพท์มือถือเขียนตัวหนังสือไม่กี่ตัวลงบนจดหมาย: DNA ไม่ตรง 

เขียนจบ หัวหน้าฝ่ายฉินดึงมีดเลาะกระดูกหนึ่งเล่มออกมาจากครัว กรีดไปบนท้องแขนของตนเองเบา ๆ อย่างนี้ มีเสื้อผ้าคลุมไว้ก็จะไม่มีคนสามารถมองเห็นบอดแผลของเขาแล้ว 

เขาหยดเลือดลงบนซองจดหมาย เห็นเลือดไหลวนกลายเป็นตราประทับไปรษณีย์กับตา 

หัวหน้าฝ่ายฉินหยิบไฟแช็กออกมาจุดเผาจดหมาย

เปลวไฟสีส้มแดงขยายจากเล็กไปใหญ่ ส่องให้ห้องนั่งเล่นสว่างขึ้นมา

ถัดจากนั้นหัวหน้าฝ่ายฉินมองไปฝั่งตรงข้ามและกรีดร้องอย่างหวาดผวา!   

และถอยไปข้างหลังอย่างไม่ตั้งใจ!         

จนกระทั่งพริบตาที่แสงไฟส่องสว่างห้องนั่งเล่น เขาจึงค้นพบว่าบนโซฟาที่อยู่ตรงข้ามตนเองถึงกับมีอดีตเพื่อนร่วมงานของตนเองนั่งอยู่ ลู่หยวน! 

ลู่หยวนก็เหมือนกับไม่มีความตั้งใจจะดับไฟบนซองจดหมายนั้น ปล่อยให้มันมอดไหม้อยู่ในมือของหัวหน้าฝ่ายฉิน

แสงในห้องนั่งเล่นสลัวลงไปอีกครั้ง

ลู่หยวนถอนหายใจ “เหล่าฉิน เพราะอะไร แต่ก่อนตอนที่ผมยังอยู่แผนกสืบสวนคดีอาญา คุณไม่ได้เป็นแบบนี้ คุณยังสอนผมว่าจะต้องประพฤติตนซื่อสัตย์”

หัวหน้าหน่วยฉินเอนพิงโทรทัศน์ กล่าวอย่างสั่นเทาเล็กน้อยว่า “เสี่ยวลู่ ฉันเป็นมะเร็ง อีกฝ่ายมียาเฉพาะทางที่ฉันต้องการ ของนี้โลกภายนอกไม่มี ฉันก็เช็คราคาบนเว็บมืดเมืองนอกแล้ว เงินเดือนของฉันนี่ซื้อไม่ได้เลย จ่ายหมดเนื้อหมดตัวก็ได้ยาปริมาณแค่พอหนึ่งเดือน”

ลู่หยวนอึ้งไป เขาคิดไม่ถึงว่าเหล่าฉินถึงกับจะทรยศเพราะเรื่องนี้ 

แต่ว่าเขาคิดเรื่องหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว คนที่ป่วยเป็นโรครักษาไม่หายอย่างเหล่าฉินนี่มีเยอะเกินไปแล้วจริง ๆ         

แต่ก่อนทุกคนรู้สึกเสมอว่ามะเร็งคล้ายจะอยู่ห่างไกลมาก แต่ตอนนี้ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงข้างตัวใครบ้างที่ไม่เคยเป็นมะเร็งเลย 

อย่างไรก็ตาย ผู้ครอบครองแสตมป์มารร้ายคนนั้นใช้ประโยชน์จากความปรารถนาจะมีชีวิตของทุกคนหรือว่าความปรารถนาที่ตรงกว่านั้น ล่อลวงให้พวกเขาแลกเปลี่ยนกับมารร้าย

อีกฝ่ายไม่ได้บังคับใคร

ในตำนานเทพปกรณัม มารร้ายก็ไม่เคยบังคับใคร พวกมันแค่ใช้ความปรารถนาชักจูงมนุษย์แลกเปลี่ยนวิญญาณ 

หัวหน้าฝ่ายฉินเอ่ยอย่างสั่นเทาว่า “เสี่ยวลู่ ปล่อยฉันเถอะ ยังไงฉันก็เหลือชีวิตอีกไม่นานแล้ว”

ลู่หยวนนั่งบนโซฟา สีหน้าของเขาก็ถูกปกคลุมในเงามืด มองเห็นคลื่นอารมณ์ไม่ชัดเจน 

เนิ่นนานให้หลัง ลู่หยวนถอนหายใจหนึ่งคำกล่าวว่า “เหล่าฉิน ขอโทษนะ”

คำพูดเพิ่งจะเปล่งออกมา หัวหน้าฝ่ายฉินก็หมุนตัววิ่งออกไปข้างนอก แต่ลู่หยวนมาถึงข้างตัวเขาก่อนหนึ่งก้าวแล้ว ตีเขาจนสลบ   

ลู่หยวนมองดูเพื่อนร่วมงานเก่าแก่คนนี้เงียบ ๆ ในช่วงเวลานี้ เขากำลังไล่สืบเหตุการณ์ความลับรั่วไหลครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้ 

แต่เขาคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นผลสรุปอย่างนี้ 

…………………………………………………..

 

*เบอร์ 120 เป็นเบอร์แพทย์ฉุกเฉินของจีน ของไทยเป็น 1669

 

น่ามสารเสี่ยวอิงเหมือนกัน ปล่อยมุกเท่าไหร่ก็แป้กหมด

 

ตอนที่ 170 – การแก้แค้นของสกุลหวัง