ตอนที่ 168 เจอนักเรียนย้ายเข้าอีก

นิยามแห่งราตรี (Night’s Nomenclature )

ตอนที่ 168 – เจอนักเรียนย้ายเข้าอีก

 

กลางดึก 

ชิ่งเฉินกลับไปในห้องของตัวเองหยิบอุปกรณ์สื่อสารออกมา “อยู่ไหม”

ครั้งนี้ ถึงจะเป็นเวลาตี 3 หลิวเต๋อจู้ก็ตอบข้อความกลับมาทันทีว่า “บอส! ผมอยู่! ตอนที่ผมนอนจะวางอุปกรณ์สื่อสารไว้ข้างหมอน พอสั่นผมก็ตื่นแล้ว รอสายเรียกของท่านทุกเมื่อ! บอสครับ ผมทำงี้เป็นไง”

ชิ่งเฉินนั่งบนเตียงที่ห้องนอนตัวเอง สีหน้าพิลึกอยู่บ้าง หลิวเต๋อจู้นี่ทำไมจู่ ๆ เปลี่ยนนิสัยล่ะ 

ความภักดีที่มาอย่างกะทันหันทำให้เขาปรับตัวไม่ค่อยจะได้นิดหน่อย 

ชิ่งเฉินส่งข้อความว่า “โทรศัพท์หาคุนหลุน มีเรื่องสำคัญมากอย่างหนึ่ง จะต้องแจ้งพวกเขาโดยเร็วที่สุด”

ไม่กี่นาทีต่อมา หลิวเต๋อจู้ตอบข้อความให้ชิ่งเฉินว่า “บอส มือถือของลู่หยวนกำลังไม่ว่างตลอดเลย ไม่รู้ว่าโทรกับใครอยู่อะ แต่คุณวางใจ ผมรู้ว่าจะหาคุนหลุนยังไง”

ณ ขณะนี้เอง

ในชุมชนซิงหลง เสี่ยวอิงแห่งคุนหลุนยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมาสังเกตการณ์รอบด้านอย่างกระฉับกระเฉง ปิงถังถือถ้วยกาแฟ นั่งอย่างเบื่อหน่ายแทบตาย 

จะว่าไป สมาชิกขององค์กรอื่น ๆ นามแฝงแต่ละคนอย่างเท่ เรียกว่าเฮยหลางเอย เรียกว่าจูเชวี่ยเอย* ฟังอย่างไรก็มีพลังสภาวะ 

ในทางกลับกันที่คุนหลุน เสี่ยวอิง, ซานจา, ปันโส่ว, ปิงถัง, หูลู่** ฟังแล้วติดดินมาก 

“คุณว่าพวกเราปกป้องเขาทำไรอะ” ปิงถังเอ่ยอย่างจนใจ “ผมไม่รู้สึกเลยว่าเขามีค่าอะไรให้ปกป้อง”

เสี่ยวอิงกวาดมองรอบด้านพลางตอบพลางว่า “อันนี้คุณผิดแล้ว พวกเราไม่ได้กำลังปกป้องเขา หัวหน้าทีมลู่ให้พวกเราเฝ้าที่นี่เพื่อใช้เขาตกพวกทำผิดกฎหมาย  คุณค่าของหลิวเต๋อจู้คนนี้สูงเกินไปแล้ว คนเยอะแยะจับสังเกตเขา นักท่องเวลาตั้งมากมายซ่อนตัวในที่มืด พวกเราก็หาไม่เจอ หลังจากมีหลิวเต๋อจู้ เขาก็เหมือนกับเป็นตะเกียงในตอนกลางคืน ยุงจะโถมเข้ามาเอง”

“นี่ก็จริง” ปิงถังคิดแล้วกล่าว         

ณ ขณะนี้เอง เสี่ยวอิงจู่ ๆ กล่าวว่า “เฮ้ย หลิวเต๋อจู้ทำไมจู่ ๆ ออกมา……เขากำลังทำอะไร”

ปิงถังเปิดหน้าต่างลงแล้วมองไปชั้นล่าง ถึงกับเป็นหลิวเต๋อจู้กำลังเดินวนโบกมืออย่างบ้าคลั่งไปรอบ ๆ ดูราวกับคนสติฟั่นเฟือน 

ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะนึกถึงฉากแบะ ๆ ในคืนวันนั้น 

เวลานี้ หลิวเต๋อจู้ก็ไม่โบกมือแล้ว ตรงมาที่ประตูของชุมชน ที่ประตูมีรถแท็กซี่จอดอยู่สองคัน

เขาอยากจะนั่งบนคันหนึ่งในนั้น เพราะว่าคนขับของคันนี้ดูแล้วอายุน้อยกว่า สอดคล้องกับลักษณะของคุนหลุนกว่า 

หลังขึ้นรถหลิวเต๋อจู้จ้องคนขับเขม็ง

คนขับรถยามดึกประหม่าในใจอยู่บ้าง ตอนที่เขาคิดจะถามหลิวเต๋อจู๋ว่าอยากไปไหน หลิวเต๋อจู้อ้าปากกล่าวว่า “ผมคือหลิวเต๋อจู้”

คนขับ “……หือ?”

ทันใดนั้น อารมณ์ของคนขับปั่นป่วนไปหมด ทั้งสองคนนั่งประสานสายตา จู่ ๆ ชะงักงันขึ้นมา……

ในกล้องส่องทางไกล เสี่ยวอิงเห็นหลิวเต๋อจู้ขึ้นรถแท็กซี่คันหนึ่ง แต่รถแท็กซี่คันนั้นตั้งครึ่งค่อนวันแล้วยังไม่สตาร์ทเครื่อง……

เสี่ยวอิงสูดลมหายใจหนาวเย็น หมุนตัวพุ่งลงชั้นล่าง         

ปิงถังถามไล่หลังเขาว่า “คุณไปไหน”

เสี่ยวอิงรีบกล่าวว่า “หมอนี่มันหาพวกเรา เขานึกว่าคนขับบนรถแท็กซี่เป็นคนของพวกเรา แต่รถแท็กซี่ของผมยังอยู่ที่อู่ซ่อม ที่ประตูไม่ใช่คนของพวกเราเลย!”

เวลานี้ หลิวเต๋อจู้ในรถมองคนขับกล่าวว่า “ปลอมตัวก็ยังเหมือนของจริงอยู่ แล้วยังมีคิวอาร์โค้ดรับชำระด้วย แต่คุณมีข้อบกพร่อง”

คนขับรถแท็กซี่สับสน “ข้อบกพร่องอะไร”

“คนขับรถแท็กซี่ดึกดื่นจะฟังละครในวิทยุกันทั้งนั้น แต่คุณไม่ฟัง” หลิวเต๋อจู้กล่าว 

คนขับมึนแล้ว “วิทยุผมเสีย……”

หลิวเต๋อจู้ลดน้ำเสียงโน้มตัวไปกล่าวว่า “ไม่ต้องอธิบาย ผมรู้ความลับของคุณ”

ตยชับรถแท็กซี่สมองตื้อไป เขาถามอย่างสั่นเทาว่า “พี่น้อง คุณเป็นแฟนของเสี่ยวฮวาเหรอ คุณหาผมเจอได้ไง ผมกับเธอเป็นเพื่อนกันธรรมดา……”

หลิวเต๋อจู้ลดน้ำเสียงลงกล่าวว่า “เลิกเสแสร้งได้แล้ว ผมรู้ว่าคุณทำอะไร ผมมีเรื่องด่วนสำคัญมาหาบอสของคุณ!”

ขณะนี้คนขับรถแท็กซี่หัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้แล้ว “พี่น้อง คุณอย่าเป็นอย่างนี้เลย ตอนนี้ผมกลัวนิดหน่อยแล้วนะ!”

ทันใดนั้น ประตูรถแท็กซี่ถูกดึงเปิด

เสี่ยวอิงลากหลิวเต๋อจู้ออกมาจากที่นั่งข้างคนขับ จากนั้นยังอธิบายกับคนขับว่า “ขอโทษด้วยครับ เพื่อนผมคนนี้สมองมีปัญหานิดหน่อย!”

หลิวเต๋อจู้จำเสี่ยวอิงได้ “เฮ้! คุณคือคนขับที่พาผมไปถนนสิงสู่คืนวันนั้น ผมจำคุณได้!”

เขาคว้าแขนของเสี่ยวอิง “ผมต้องหาบอสของพวกคุณ มีเรื่องที่สำคัญเป็นพิเศษจะแจ้งกับเขา เร็ว เสียเวลาไม่ได้สักวิ ตอนนี้ผมต้องบอกเขาต่อหน้า!”

เสี่ยวอิงตะลึง “บอสพวกผมไม่อยู่เมืองลั่ว คุณพูดกับผมก็เหมือนกัน!”

……

……

ณ ขณะนี้ เครื่องบินลำหนึ่งเพิ่งจะบินมาถึงสนามบินต้าซิงเมืองจิง

สนามบินในยามราตรีถูกแสงไฟสีเหลืองส้มปกคลุม ดูอบอุ่นเป็นที่สุด

พวกผู้โดยสารทยอยลงจากเครื่องบิน คนทั้งหมดล้วนมองดูรถออฟโร้ดขนาดใหญ่สีดำคันหนึ่งที่จอดอยู่ไม่ไกลอย่างอยากรู้อยากเห็น 

ข้างรถออฟโร้ดคันนั้นยังมีชายชุดสูทสีดำสองคนเฝ้าอยู่

ดูแล้วราวกับฉากต้อนรับคนใหญ่คนโตในภาพยนตร์ เคร่งขรึม ลึกลับ 

ไม่กี่นาทีต่อมา เจิ้งหย่วนตงที่สวมชุดจงซานสีดำเดินออกมาจากเครื่องบินช้า ๆ  

เขามาถึงข้างรถออฟโร้ดสีดำอย่างสงบนิ่ง เหอจินชิวเปิดประตูรถกระโดดลงมากล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “หัวหน้าหน่วยช่างให้เกียรตินัก ถึงกับนั่งเครื่องบินพลเรือน สิ่งที่ยิ่งทำให้คนตะลึงคือ ผมให้คนตรวจสอบ ที่หัวหน้าหน่วยคุณนั่งถึงกับยังเป็นชั้นประหยัด คุนหลุนยากจนถึงขนาดนี้แล้วเหรอครับ”

เจิ้งหย่วนตงมองเหอจินชิวอย่างสงบนิ่ง “เหล็กดีย่อมต้องใช้ไปที่คมมีด คุนหลุนไม่มีนิสัยฟุ่มเฟือยสิ้นเปลือง มีเงินนั่นไม่สู้เอาไปซื้อประกันธุรกิจให้สมาชิกมาก ๆ ให้พวกเขาไม่มีเรื่องพะวงภายภาคหน้า”

“หัวหน้าหน่วยยังเห็นอกเห็นใจลูกน้องเหมือนในอดีตเลย” เหอจินชิวที่สวมชุดสูทหรูหราทั้งตัวอุทานชื่นชม “แต่ผมอยากรู้มากว่าสรุปแล้วเป็นเรื่องอะไรที่สามารถทำให้คุณตระหนกจนบินมาเมืองจิงกลางดึก”

“มีเรื่องสำคัญ” เจิ้งหย่วนตงกล่าว “คนของพวกเราจับได้ว่ากลุ่มการเงินมีความเคลื่อนไหวใหม่ นักท่องเวลาไม่น้อยถูกกลุ่มอำนาจของกลุ่มการเงินจับขังแล้ว”

“สมาชิกสองคนของจิ่วโจวผมก็ความแตกแล้ว ขณะนี้ถูกตระกูลชิ่งขังในสถานที่ที่ไม่รู้ชื่อ” เหอจินชิวค่อย ๆ เก็บรอยยิ้ม กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “แต่หัวหน้าหน่วยในเมื่อบินมาเมืองจิงกลางดึก งั้นก็บอกข้อมูลที่ผมไม่รู้มาจะดีที่สุด”

เจิ้งหย่วนตงกล่าวอย่างสงบนิ่งว่า “ก่อนหน้านี้ไม่นาน คนของผมถูกตระกูลหลี่แยกขังเดี่ยว เขาเดาว่าคนที่ถูกขังร่วมกับเขายังมีหลายร้อยคน ผมระแวงว่าไม่นานหลังจากนี้ตระกูลหลี่จะมีความเคลื่อนไหวใหญ่ ไม่ใช่แค่ตระกูลหลี่ ตระกูลชิ่ง, ตระกูลเฉินก็จะต้องมีความเคลื่อนไหวเหมือนกัน”

เหอจินชิวตอบว่า “ผมคิดเหมือนกับหัวหน้าหน่วย แถมความเคลื่อนไหวนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับโลกภายนอกของพวกเรา พวกอสุรกายของโลกภายในโดนคุกคาม จะไม่นั่งรอความตาย”

เวลานี้ เจิ้งหย่วนตงจู่ ๆ กล่าวว่า “คนของผมอาจจะเปิดเผยฐานะสมาชิกองค์กรโลกภายนอกได้ทุกเมื่อ คุณก็น่าจะทราบชัดมากว่ากลุ่มการเงินจะไม่หวังให้แผนความเคลื่อนไหวของตัวเองถูกพวกเราล่วงรู้ อย่างนั้นจะถูกพวกเราดำเนินการตอบโต้อย่างมีระบบมีแบบแผน ดังนั้นก่อนที่จะดำเนินการแผนจริง พวกเขาจะต้องคิดหนทางเคลียร์ทีม คนของผมก็เตรียมพร้อมที่จะตายในหน้าที่แล้ว”

เหอจินชิวคิดแล้วกล่าวว่า “หัวหน้าหน่วยครับ ถ้าคุณอยากให้ผมไปช่วยชีวิตพวกเขาด้วยกัน งั้นผมปฏิเสธคุณตอนนี้ได้เลย ราคาสูงเกินไป คุนหลุนและจิ่วโจวในขณะนี้ล้วนไม่มีคุณสมบัติจะแข่งขันกับโลกภายใน พวกเราจะต้องพัฒนาการอย่างอดทน รอจังหวะเวลา”

“ผมไม่เคยมีความคิดจะช่วยชีวิตพวกเขา” เจิ้งหย่วนตงสีหน้าจริงจัง ถึงเขาจะเจ็บปวดใจมาก ถึงขนาดที่พยากรณ์ได้ถึงผลลัพธ์ของลูกน้องในอนาคต แต่เขายังคงไม่สามารถทำอะไรที่โลกภายใน         

“งั้นหัวหน้าหน่วยคิดจะทำอะไรล่ะครับ” เหอจินชิวล้วงวัตถุต้องห้าม ACE-099 ‘เหรียญทองสัจจา’ เหรียญนั้นออกมาจากในอกเสื้อ

เหรียญทองพลิกหมุนไม่หยุดบนหลังมือเขา เด้งกระดอนอย่างปราดเปรียว ราวกับเป็นภูตที่เต้นระบำ

สนามบินยามราตรี ชายหนุ่มที่แต่งตัวหรูหราบนรถออฟโร้ด เหรียญทองอันเร้นลับ ทำให้เหอจินชิวมีบรรยากาศอันเป็นเอกลักษณ์ชนิดหนึ่ง   

เจิ้งหย่วนตงมองดูเหรียญทองเหรียญนั้น กล่าวว่า “เหอจินชิว คุณไม่อาจไว้ใจคนอื่นแล้วหรือ ต้องใช้วัตถุต้องห้ามชิ้นหนึ่งมาแยกแยะความจริงและคำโกหกเหรอ”

เหอจินชิวยิ้ม “บอสเจิ้ง บนโลกนี้มีใครที่สมควรได้รับการไว้วางใจเหรอครับ”

เจิ้งหย่วนตงกล่าวว่า “ไม่มีสหายศึกที่สามารถไว้ใจกันและกันสนับสนุนกันและกัน จะเดินไปสู่เป้าหมายที่ไกลยิ่งกว่านี้ได้อย่างไร”

เหอจินชิวไม่ออกความเห็น “พูดมาก่อนเถอะครับบอสเจิ้งว่าคุณอยากให้ผมทำอะไร จำไว้ว่าให้พูดความจริงนะครับ”

เจิ้งหย่วนตงเอ่ยด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ว่า “ตอนที่โลกภายในโต้กลับ สิ่งของที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ชีวิตของคุณกับผม ทว่าเป็นชีวิตของนักท่องเวลาทั้งหมด แต่มีสิ่งของอย่างหนึ่งที่ไม่สามารถถูกกลุ่มการเงินได้ไป นั่นก็คือฐานข้อมูลทะเบียนบ้าน นี่เป็นสิ่งของที่อันตรายที่สุด พอถูกพวกเขาได้ไป นักท่องเวลาทั้งหมดล้วนจะถูกตรวจสอบใหม่อีกรอบ”

ประเด็นสำคัญที่สุดคือ ฐานข้อมูลทะเบียนบ้านเชื่อมต่อกับเครือข่ายทั้งประเทศ คอมพิวเตอร์อินทราเน็ตใด ๆ ของสำนักงานความมั่นคงสาธารณะก็สามารถเข้าถึงฐานข้อมูลได้ มันง่ายเกินไปที่จะถูกเจาะ! 

พวกเขาไม่สามารถส่งคนไปดูอาคารสำนักงานของสำนักงานความมั่นคงสาธารณะนับพันนับหมื่นแห่งทุก ๆ วันใช่ไหมล่ะ

เหอจินชิวคิดแล้วกล่าวว่า “ถ้าคุณอยากให้ผมไปปิดฐานข้อมูลทะเบียนบ้าน ดำเนินการแยกส่วนทางกายภาพ นั่นผมทำไม่ได้ บอสเจิ้ง คุณกับผมล้วนไม่มีอำนาจยิ่งใหญ่ขนาดนั้น  แถมนี่เกี่ยวพันมากเกินไป ส่งคำร้อง, รายงาน, ตรวจสอบอนุมัติ เกรงว่าต้องหลายเดือนถึงจะผ่าน”

เจิ้งหย่วนตงกล่าวว่า “ผมรู้ว่าป้อมปราการข้อมูล 12 แห่งของคุณสร้างเสร็จแล้ว ไม่กี่วันนี้วางแผนจะเปิดตัวแพลตฟอร์มแชทกลุ่ม ดึงนักท่องเวลาทั้งหมดเข้าในในการดูแลของตัวเอง แต่ผมหวังว่าคุณจะช้าลงไปก่อน ใช้ป้อมปราการข้อมูลปกป้องฐานข้อมูลข้อมูลทะเบียนบ้านก่อน!”

เหอจินชิวขมวดคิ้ว “บอสเจิ้ง ผมมีแผนการของผม คุณคงไม่ได้วิ่งมานี่เป็นพิเศษเพื่อถ่วงความก้าวหน้าของผมหรอกนะ”

“ไหนหนักไหนเบาตัวคุณเองอันที่จริงก็ทราบชัดมาก ผมหวังว่าคุณจะถือสถานการณ์โดยรวมเป็นสำคัญ” เจิ้งหย่วนตงพูดจบก็ก้าวยาว ๆ ไปยังอาคารผู้โดยสาร         

ขณะนี้ เหรียญทองเหรียญนั้นบนหลังมือเหอจินชิวหยุดลงดื้อ ๆ 

เขาถามเสียงเบาว่า “สิ่งที่บอสเจิ้งพูดเป็นความจริงไหม”

บนเหรียญทองจู่ ๆ ก็กระเพื่อมราวกับน้ำในลำธาร ตอนที่มันแข็งตัวอีกครั้ง ด้านบนถึงกับเป็นลายมาลารวงข้าว 

เป็นความจริง 

เขาหยิบทองแท่งออกมาหลอมลงไปในเหรียญทอง แล้วกล่าวเสียงแผ่วว่า “ข้าชำระหนี้แล้ว”

เหอจินชิวเก็บเหรียญทองสัจจา จากนั้นมองแผ่นหลังอันเปล่าเปลี่ยวเล็กน้อยของเจิ้งหย่วนตง 

คนที่กำลังเดินไปไกลผู้นั้นไม่มีผู้ร่วมทาง แล้วก็ดูเหมือนไม่ต้องการผู้ร่วมทาง คล้ายกับเป็นผู้บุกเบิกที่มีจิตศรัทธา ไม่แยแสว่าตนเองจะเปล่าเปลี่ยวหรือไม่ 

เขาตะโกนว่า “ผมรับปากคุณ ป้อมปราการข้อมูลผมจะใช้มาปกป้องฐานข้อมูลทะเบียนบ้านก่อน”

เจิ้งหย่วนตงโบกมือแสดงออกว่าตนเองรู้แล้ว

เหอจินชิวตะโกนอีกว่า “หัวหน้าหน่วย อย่าไปรอเครื่องเลย เครื่องบินส่วนตัวของจิ่วโจวอยู่ข้าง ๆ นี่ ผมให้คนส่งคุณกลับไปนะ เวลาเป็นทรัพยากรที่ล้ำค่าที่สุดในตอนนี้ของคุณกับผมแล้ว”

เวลานี้ โทรศัพท์มือถือของเจิ้งหย่วนตงจู่ ๆ ดังขึ้นมา 

เขารับสายโทรศัพท์แล้วสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา ราวกับว่าปลายสายพูดเรื่องที่สำคัญมาก

หลังจากวางโทรศัพท์ เขาหมุนตัวมากล่าวกับเหอจินชิวว่า “มีคนได้รับข้อมูลที่แน่ชัดกว่าพวกเรา กลุ่มการเงินตั้งแผนกวาดล้างแล้ว อยากจะดำเนินการโจมตีกลับต่อโลกภายนอก! แถมการโจมตีกลับของพวกเขาจะมาแล้ว ครั้งนี้คุณกับผมจะต้องร่วมมือกัน! นักท่องเวลาที่กลุ่มการเงินสักกลุ่มหนึ่งควบคุมก็มีเป็นหลายร้อยคน พวกเขาวางแผนที่จะยกระดับความแข็งแกร่งของนักท่องเวลาชุดนี้ทั้งหมดไปถึงระดับหนึ่ง และให้พวกเขาได้รับการฝึกอบรมอย่างมืออาชีพมากที่สุด”

เหอจินชิวตะลึง เขาคิดไม่ถึงว่าจะถึงกับมีคนได้รับข้อมูลที่ละเอียดยิ่งกว่าคุนหลุนและจิ่วโจว! 

เขาคิดแล้วถามว่า “บอสเจิ้งไม่กลัวผมอาศัยครั้งนี้แทรกแซงกิจการในประเทศเหรอครับ”

เจิ้งหย่วนตงมองไปทางเขากล่าวว่า “ถือสถานการณ์โดยรวมเป็นสำคัญ นี่เป็นภารกิจร่วมของคุณกับผม มีความเห็นต่าง อนาคตค่อยถกกันใหม่ก็ยังไม่สาย”

เหอจินชิวตอบรับอย่างยิ้มแย้มว่า “ดี ผมเคยจินตนาการว่าจะมีสักวันที่ได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับหัวหน้าหน่วยอีกครั้ง แต่คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะมาถึงเร็วขนาดนี้”

แต่ทว่าขณะนี้เหอจินชิวมีข้อสงสัยหนึ่งอย่าง: คนที่แจ้งข่าวสารคนนี้ ข่าวสารที่มอบให้แม่นยำเกินไป อย่างน้อยแม่นยำกว่าข้อมูลของจิ่วโจวและคุนหลุน         

พวกเขาได้แต่อาศัยการคาดเดา อีกฝ่ายกลับราวกับมีส่วนเกี่ยวข้อง

เหอจินชิวตระหนักว่า ปัจจุบันนี้เกรงว่าจะมีนักท่องเวลาที่ซ่อนตัวอยู่หลังฉากคนหนึ่ง ในเกมที่แข่งกับเวลานี้ นำอยู่หน้าทุกคน 

เขาจะต้องหานักท่องเวลาคนนี้ให้เจอ 

……

……

นับถอยหลัง 161:00:00

7 โมงเช้า         

ชิ่งเฉินยังนอนหลับได้ไม่นานก็ต้องตะกายขึ้นจากเตียงไปเข้าเรียน เขาอ่านเวยป๋อแวบหนึ่ง โพสต์อันนั้นของฉ่วงหวางไต่ขึ้นเป็นฮอตเสิร์ชอันดับหนึ่งอย่างรวดเร็วแล้ว 

คนหนึ่งในสามของช่องคอมเมนต์กำลังถกเรื่องสังเวียนแห่งเงา คนทั้งหมดล้วนถูกดราม่าของเก้ามังกรชิงบัลลังก์ดึงดูด ราวกับว่ากำลังดูละครการต่อสู้ในวังฉากหนึ่ง         

แล้วยังมีคนรวบรวมชิ้นส่วนคำพูดที่นักท่องเวลาบางคนปล่อยออกมาสรุปเป็นโปรไฟล์ของผู้ท้าชิงเงา 

ชิ่งเฉินอ่านดู ข้อมูลพวกนั้นถึงกับมากกว่าที่เขารู้……

อย่างเช่นชิ่งไฮวเป็นลูกชายคนโตของรุ่นสามบ้านสี่ตระกูลชิ่ง เป็นผู้ท้าชิงที่ได้รับความนิยมที่สุดของสังเวียนแห่งเงา 

อย่างเช่นชิ่งเหวินขอบดูสัตว์ต่อสู้ ในสนามต่อสู้สัตว์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองหมายเลข 12 ห้องส่วนตัวที่หรูหราที่สุดจะถูกสงวนไว้ให้เขาเสมอ แล้วตัวเขาเองยังเลี้ยงเสือขาวที่จับกลับมาจากสถานที่ต้องห้ามหนึ่งตัว ดุร้ายเป็นพิเศษ 

อย่างเช่นชิ่งซือเป็นเด็กสาวเพียงหนึ่งเดียวในสังเวียนแห่งเงา โผล่หน้าต่อสาธารณะน้อยมาก

อย่างเช่นชิ่งอีเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในผู้ท้าชิง ว่ากันว่ายังอยู่ชั้นมัธยมต้น 

แน่นอนว่าล้วนเป็นข้อมูลที่สาธารณชนสามารถรู้ได้ ไม่นับว่าสำคัญเลย         

แต่ว่า ก็เป็นสิ่งที่ค้นพบเฉพาะตอนที่ทุกคนจัดระเบียบโปรไฟล์

พวกเขาถึงกับสรุปข้อมูลของผู้ท้าชิงออกมาได้เพียงแปดคน ผู้ท้าชิงเงาคนสุดท้ายอยู่ในตารางว่าง ๆ ทุกคนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาสักอย่าง 

ในตาราง ด้านหลังชื่อของผู้ท้าชิงคนอื่นล้วนตามด้วยข่าวซุบซิบเป็นชุด 

มีแค่คนที่เก้าคนเดียวที่ทุกคนแม้แต่ชื่อยังไม่รู้ นี่มันขาดตอนเกินไปแล้ว   

ในเวลานี้ อุปกรณ์สื่อสารข้างกายเขาสั่นขึ้นมา         

ชิ่งเฉินหยิบขึ้นมาดู ถึงกับเป็นหลิวเต๋อจู้ส่งข้อความมาว่า “บอสครับ ผมได้รับจดหมายแปลก ๆ อีกแล้ว พอตื่นตอนเช้า มันก็อยู่ข้างหมอนของผมแล้วครับ บอส ผมกลัวจังเลย”

ผู้ที่ถือครองแสตมป์มารร้ายคนนั้นปรากฏตัวอย่างกะทันหันอีกแล้ว

“ไม่ต้องกลัว เป้าหมายของเขาไม่ใช่คุณ” ชิ่งเฉินตอบ “บนจดหมายมีเนื้อหาอะไร”

หลิวเต๋อจู้ส่งเนื้อหาแบบคำต่อคำลงในอุปกรณ์สื่อสาร “ข้อมูลที่คุณกุมเอาไว้ถึงกับยังมากกว่าผม ผมรู้สึกสนใจคุณมากขึ้นแล้วสิ ฮี่ฮี่”

ชิ่งเฉินอ่านข้อความนี้แล้วขมวดคิ้ว ข้อมูลที่อีกฝ่ายพูดถึงเห็นได้ชัดว่าเกี่ยวกับ “แผนกวาดล้าง”         

เพราะว่าจดหมายมา “ทันเวลา” เป็นพิเศษ         

เมื่อคืนเขาอธิบายต่อหลิวเต๋อจู้เป็นพิเศษว่าเรื่องนี้ต้องเก็บเป็นความลับ อีกทั้งจะต้องพูดกับผู้รับผิดชอบคนนั้นของคุนหลุนโดยตรง   

เพราะไม่มีใครรู้ว่าในคุนหลุนและจิ่วโจวมี “จารชน” ของโลกภายในหรือไม่

โลกภายนอกกับในทุกวันนี้ต่อกันเป็นจิ๊กซอว์ ระหว่างกันคล้ายจะกำลังเริ่มสงคราม “จารชน” ข้างกายแต่ละฝ่ายล้วนมีสายลับของอีกฝ่าย 

ใครเปิดเผยตัวก่อนก็แพ้ 

ชิ่งเฉินไม่อาจยืนยันว่าผู้ถือครองแสตมป์มารร้ายคนนี้ทราบข้อมูลได้อย่างไร แต่นี่เป็นสัญญาณที่อันตรายมาก:

ไม่ใช่คุนหลุน, จิ่วโจวทำงานรักษาความลับได้ไม่ดี 

ก็ผู้ถือครองคนนี้ยังร้ายกาจกว่าที่จินตนาการเอาไว้ 

สรุปแล้วล้วนแต่อันตรายมาก 

ในขณะนี้ หลิวเต๋อจู้ส่งข้อความมาอีกว่า “บอสครับ มีจดหมายอีกสองฉบับปรากฏขึ้นกลางอากาศข้างหมอนผมอีกแล้ว คำพูดเขาคือ: กำลังคิดอยู่รึเปล่าว่าผมได้ข้อมูลมาได้ยังไง ฮี่ฮี่ ไม่สู้พวกเรามาแข่งกันว่าใครหาจารชนโลกภายในออกมาได้มากกว่าปะ ฮี่ฮี่”

ชิ่งเฉินอ่านฮี่ฮี่ที่มาเรื่อย ๆ นี้แล้วปวดศีรษะ 

จากนั้นเขาคิดได้ว่า ฝั่งตรงข้ามอาจจะมีชายฉกรรจ์ตัวใหญ่แคะเล็บเท้ากำลังฮี่ฮี่ ศีรษะของชิ่งเฉินยิ่งปวดหนัก

แต่ข่าวดีคือ: คนคนนี้ก็เหมือนกับจะต่อต้านโลกภายใน อีกฝ่ายน่าจะไม่แฉความลับให้โลกภายใน

ชิ่งเฉินไม่มั่นใจจุดยืนของผู้เล่นหลังฉากคนนี้สำหรับในตอนนี้

เดี๋ยวนะ ครั้งนี้อีกฝ่ายส่งจดหมายสองฉบับเหรอ

นั่นแสดงว่าจำนวนตัวอักษรเนื้อหาของแสตมป์มารร้ายมีขีดจำกัดจริง ๆ ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายก็ใช้จดหมายฉบับเดียวพูดให้จบไปแล้ว   

เวลานี้ หลิวเต๋อจู้กล่าวว่า “บอสครับ จดหมายอีกฉบับ: ให้ทาสของคุณหยดเลือดลงบนแสตมป์จากนั้นเผาทิ้งได้ ผมจะได้รับจดหมายตอบของคุณ”

ชิ่งเฉินประหลาดใจ หลินเสี่ยวเสี้ยวไม่ได้บอกว่าวัตถุต้องห้าม ACE-017 แสตมป์มารร้ายถึงกับยังสามารถตอบจดหมายด้วย!

เขาพิจารณาครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ถามเขา หาผมทำไร”

หลิวเต๋อจู้หยิบมีดหั่นผลไม้ออกมาจากที่บ้าน กัดฟันจิ้มนิ้ว บีบเลือดลงบนแสตมป์ 

พริบตาที่เลือดหยดลงไป หยดเลือดสีแดงคล้ำถึงกับเลื้อยขึ้นมาเองอย่างช้า ๆ บนแสตมป์ก่อตัวเป็นตราประทับทรงกลมแปลก ๆ วงด้านในตราประทับเป็นอักขระที่อ่านไม่ออกแถวหนึ่ง         

หลิวเต๋อจู้เขียนลงบนจดหมายว่า: หาผมทำไร 

จากนั้นไปที่ห้องครัวหยิบจานสแตนเลสมาหนึ่งใบ วางจดหมายลงไปข้างในแล้วจุดไฟเผา         

อีกฝ่ายตอบจดหมายว่า “ย่อมหาคุณเพื่อให้คุณมาเป็นทาสของผมสิ ฮี่ฮี่”

ชิ่งเฉินกล่าวกับหลิวเต๋อจู้ว่า “เขียนจดหมาย: คุณไม่กลัวว่าสุดท้ายจะกลายเป็นทาสของผมเหรอ”

หลิวเต๋อจู้บีบเลือดออกมาอีกสองสามหยดอีกครั้งด้วยใบหน้าเศร้าหมอง 

อีกฝ่ายตอบจดหมายว่า “เหมือนกับว่าก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลวนะ ฮี่ฮี่”

ชิ่งเฉินตะลึง นี่สรุปว่าเป็นคนยังไงเนี่ย ถึงกับรู้สึกว่าเป็นทาสให้ตัวเองก็ไม่เลว?! 

หลังจากที่หลิวเต๋อจู้ส่งข้อความคำต่อคำให้ชิ่งเฉินแล้ว จู่ ๆ ก็เสริมคำขอร้องมาหนึ่งประโยคว่า “บอสครับ พวกเราพูดให้จบในครั้งเดียวไม่ได้เหรอครับ คุยกันทีละประโยคอย่างนี้ ผมกลัวว่าผมจะทนไม่ไหวนะ……”

เขาตอบกลับมาว่า “ในจดหมายที่แสตมป์มารร้ายส่งออกมามีได้แค่ประโยคเเดียว ทองแท่งที่หูเสี่ยวหนิวจ่ายมาครั้งหน้าคุณเก็บไว้เองสองแท่ง ไปซื้อของบำรุงสักหน่อย นี่เป็นค่าชดเชยของคุณ”

บนโลกนี้ไม่มีคนที่จะให้บริการคนอื่นโดยไร้สิ่งตอบแทนไปตลอด ชิ่งเฉินก็ไม่ได้จะให้หลิวเต๋อจู้ทำธุระฟรี ๆ 

อีกอย่าง ค่าชดเชยที่เขาพูดตรงนี้อันที่จริงแล้วยังมีค่าชดเชยเรื่องของยาแปลงพันธุกรรม ถึงอย่างไรก็ไม่ทันระวังทำคนเขาเป็นหมันไปแล้ว จุดนี้ทำให้ชิ่งเฉินรู้สึกผิดจริง ๆ 

ไม่ว่าจะพูดอย่างไรหลิวเต๋อจู้ก็เป็นแค่นักเรียนมัธยมปลาย โทษทัณฑ์ไม่ถึงกับต้องเป็นหมัน……

ก็ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะมีหนทางกอบกู้หรือไม่นะ? 

แต่ว่า หลิวเต๋อจู้ผู้ที่ไม่รู้เรื่องนี้สักนิดได้ยินว่าสามารถเก็บทองคำสองแท่งก็ยิ้มแฉ่งทันที “ขอบคุณครับบอส! บอสเจ๋งเป้ง! บอสมอบโชค! เทียบกับงานการของบอสแล้ว เลือดนิดเดียวของผมหลิวเต๋อจู้นับเป็นอะไร”

ชิ่งเฉินคิดแล้วกล่าวว่า “คุณตอบจดหมายถามเขาว่า เรื่องของเขาเหล่าจวิน เขาเป็นตัวการหลักใช่หรือไม่”

อีกฝ่ายตอบจดหมายว่า: ผมเอง ฮี่ฮี่         

ชิ่งเฉินส่งข้อความว่า “คุณถามเขาว่า ทำเรื่องเลวทรามไม่กลัวนอนไม่หลับ ไม่กลัวตกนรกเหรอ”

อีกฝ่ายตอบจดหมายว่า “พวกเราไม่ใช่กำลังอยู่ในนรกเหรอ”

ยังไม่ทันรอให้ชิ่งเฉินตอบจดหมาย อีกฝ่ายส่งจดหมายมาอีกฉบับว่า “น้องชายผมจะตื่นแล้ว คุยกันใหม่ครั้งหน้า ฮี่ฮี่”

ชิ่งเฉินถอนหายใจโล่งอก ในที่สุดก็จบแล้ว   

ตอนนี้ปรากฏนักท่องเวลาอย่างนี้ออกมา เขามีความรู้สึกปลอดภัยได้ยากมาก อีกฝ่ายเป็นเหมือนกับผีร้ายที่จับจ้องตนเองอยู่ในความมืด พร้อมจะดูดเลือดและไขกระดูกของเขาทุกเมื่อ   

ยึดวิญญาณของเขาไป         

แต่ว่า ในการต่อสู้ด้วยอุบายของทั้งสองฝ่ายรอบนี้ ชิ่งเฉินเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบอยู่นิดหน่อย: อย่างน้อยเขาไม่ต้องจิ้มนิ้วตัวเองมาบีบเลือด……

อีกด้านหนึ่งในบ้านของหลิวเต๋อจู้ พ่อแม่ของเขาได้กลิ่นกระดาษไหม้ในบ้านก็สืบเสาะมา         

ตั้งแต่ที่หลิวเต๋อจู้กลายเป็นนักท่องเวลา พ่อแม่ของเขาก็ให้ความสนใจกับความเห็นสาธารณะ ดังนั้นพ่อแม่ก็รู้ว่าลูกชายตนเองเป็นหนึ่งในคนที่ร้ายกาจที่สุดในหมู่นักท่องเวลา 

ถึงแม้พวกเขายังทำความเข้าใจเรื่องอันแปลกประหลาดของโลกภายในพวกนั้นได้ยากมาก แต่ในเมื่อลูกชายเป็นคนที่ร้ายกาจที่สุด งั้นพวกเขาก็พยายามจะไปทำความเข้าใจ กล้ำกลืนอดทน   

พยายามจะหาหัวข้อสนทนาร่วมกับหลิวเต๋อจู้         

ณ ตอนนี้ คุณพ่อของหลิวเต๋อจู้ผลักเปิดประตูห้องนอนอย่างระแวดระวัง เขามองดูในห้องที่ควันไฟลอยฟุ้ง มองดูนิ้วที่เป็นแผลของหลิวเต๋อจู้ แล้วมองดูขี้เถ้าที่เผาหมดแล้วในจานสแตนเลส   

คุณพ่อหลิวเต๋อจู้อั้นอยู่ครึ่งค่อนวันจึงถามว่า “เอ่อ……กำลังทำพิธีกรรมเหรอ”

หลิวเต๋อจู้ “???”

คุณพ่อเขารีบกล่าวว่า “ทำพิธีกรรมเสร็จแล้วรีบมากินข้าวเถอะ……”

……

……

เจียงเสวี่ยทำอาหารเช้าเสร็จแล้ว เธอสวมผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลพับแขนเสื้อขึ้นไปที่ต้นแขนลวก ๆ   

ตอนที่นำจานมาวางบนโต๊ะ ในปากเธอยังฮัมเพลงด้วย 

ไม่เหมือนกับวันวานที่เคยเลวร้าย เธอในปัจจุบันนี้ไม่มีความกดดันแล้ว ร่างกายจิตใจผ่อนคลายอย่างสิ้นเชิง 

บรรยากาศทั้งหมดก็เปลี่ยนไป เหมือนกับไข่มุกที่เปื้อนฝุ่นหนึ่งเม็ด จู่ ๆ เช็ดถูจนสะอาดเอี่ยม 

เจียงเสวี่ยเห็นชิ่งเฉินเดินออกมาจากในห้องจึงยิ้มเอ่ยว่า “เสี่ยวเฉิน ครั้งนี้ที่โลกภายในไม่มีอันตรายอะไรสินะ”

“ไม่มีครับ” ชิ่งเฉินยิ้ม “น้าเจียงเสวี่ย รู้สึกว่าวันนี้คุณมีความสุขเป็นพิเศษนะครับ”

“อืม” เจียงเสวี่ยกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “ฉันซื้อยาทาพิเศษมาอีกสองขวดเล็กจากตลาดมืด ชนิดที่รักษาบาดแผลภายนอกน่ะ วันหลังถ้าคุณฝึกอีกก็หยิบไปใช้ไม่ต้องลังเล ทีหลังทุกครั้งที่ไปกลับโลกภายในน้าจะเอามาให้คุณ”

เด็กหญิงหลี่ถงอวิ๋นที่อยู่ด้านข้างเงยหน้าขึ้นมา “แม่หนูเมื่อคืนตอนที่กลับจากโลกภายใน แก้มสองข้างบวมตุ่ยอย่างกับหนูแฮมสเตอร์”

เจียงเสวี่ยยิ้มแล้วตบศีรษะของหลี่ถงอวิ๋น “กินข้าวของลูกไปเถอะ”

เวลานี้ เจียงเสวี่ยกล่าวกับชิ่งเฉินอีกว่า “ตอนที่ฉันไปซื้อกับข้าวตอนเช้า ค้นพบว่าห้องข้าง ๆ เหมือนจะมีคนอยู่แล้วนะ ฉันยังนึกว่าต้องผ่านไปอีกสักระยะถึงจะมีคนเข้าอาศัย อย่างน้อยก็รีโนเวทใหม่สักหน่อย”

ชิ่งเฉินคิดดู “รีบเข้าอาศัยขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าเป็นนักท่องเวลาด้วยปะครับ น้าเจียงเสวี่ย คุณเห็นว่าเจ้าของห้องใหม่หน้าตาเป็นยังไงไหมครับ”

บ้านนั้นของเขาก่อนที่จะขายไปก็เก่าทรุดโทรมแล้ว ผนังหลุดลอก มุมห้องมีเชื้อรา หลอดไฟในบ้านเสียไปหนึ่งดวง ชิ่งเฉินขี้เกียจจะซ่อม 

อีกฝ่ายถึงกับไม่รีโนเวทก็เข้าพักอาศัยตรง ๆ เลย

อีกฝ่ายพวกเขาไม่ว่าใครก็ไม่ได้ยินเสียงการย้ายบ้าน อีกฝ่ายคงจะไม่ได้นอนลงบนเตียงของชิ่งเฉินตรง ๆ เลยหรอกนะ 

ตอนที่ถึงโรงเรียน เขาค้นพบด้วยความตื่นตะลึงว่าที่ประตูจอดไว้ด้วยรถหรูหลายคัน ไม่ว่าคันไหนล้วนมูลค่าเป็นล้านขึ้นไป ที่จอดรถของพวกคุณครูเต็มหมดแล้ว   

ชิ่งเฉินสับสนอยู่บ้าง ในโรงเรียนเกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ         

ข้าง ๆ เขามีคนไม่น้อยคุยกันขณะที่เดินผ่านข้างกายเขาว่า “ในโรงเรียนมีนักเรียนย้ายเข้ามาใหม่เยอะเลยนะ ก่อนหน้านี้พวกเราเคยเดาว่าจะมีนักเรียนย้ายเข้ามา แต่คิดไม่ถึงว่าจะมารวดเดียวเยอะขนาดนี้!”

มีคนกล่าวว่า “ลุงเขยฉันเป็นบอร์ดโรงเรียน เขาพูดว่าจู่ ๆ มีนักเรียนเยอะมากย้ายโรงเรียนมา แถมในบ้านล้วนเป็นข้าราชการระดับสูง ถึงขนาดเป็นมหาเศรษฐี รถหรูที่ประตูทั้งหมดเป็นของนักเรียนย้ายเข้าพวกนั้น แถมส่วนใหญ่ล้วนขับมาเรียนเองด้วยล่ะ”

“ฉันก็ได้ยินมา ห้องเอ็กเซ็กคูทีฟสวีทที่โรงแรม Yading Peninsula ถูกเหมาไปหมดแล้ว แถมเหมาทีก็หนึ่งปี!”

“จริงสิ อาเขยฉันพูดว่าพวกเขาทั้งหมดล้วนย้ายไปที่ม.ห้าห้อง 4 ข้าง ๆ……”

ในเมืองเล็ก ๆ ขั้นสามอย่างเมืองลั่วนี้ ในบ้านมีบริษัทที่มีทรัพย์สินหลายสิบล้านก็เป็นคนรวยรุ่นสองอันดับต้น ๆ แล้ว 

แต่คนรวยรุ่นสองของสถานที่ประเภทนี้ตอนอยู่โรงเรียนดูไปแล้วไม่มีอะไรแตกต่างกับนักเรียนทั่วไปจนเกินไป ก็แค่สวมเสื้อผ้าดีหน่อย ใส่รองเท้าผ้าใบแพงหน่อย บุหรี่ที่สูบแพงหน่อย นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว

ทุกคนเคยเห็นรถหรูมารวมตัวกันอย่างนี้เมื่อไหร่กัน 

มีนักเรียนสงสัยว่า “ไหงนักเรียนย้ายเข้าทั้งหมดถึงร่ำรวยขนาดนี้ เว่อร์เกินไปแล้ว”

แต่ทว่าชิ่งเฉินรู้สึกว่านี่ไม่ได้เว่อร์ ทว่าเป็นแนวโน้มของผู้รอดชีวิตชนิดหนึ่ง: มีแค่คนรวยจึงสามารถย้ายโรงเรียนได้ตามใจชอบอย่างนี้ นักเรียนของครอบครัวทั่วไปถึงจะกลายเป็นนักท่องเวลาก็ไม่จำเป็นว่าจะสามารถย้ายโรงเรียนมายังข้างกาย “บอสใหญ่” ได้ตามใจชอบ

ดังนั้นนักเรียนย้ายเข้าที่ทุกคนเห็นจึงมีเพียง “คนรวย”   

เหล่านักเรียนเดินเข้าโรงเรียนอย่างคึกคักและมีชีวิตชีวา         

ในกลุ่มคน เหมือนจะมีเพียงชิ่งเฉินที่เดินอย่างสงบนิ่ง ราวกับว่าทุกสิ่งล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเขา 

แต่ทว่าตอนที่เขาเดินผ่านประตูของม.ห้าห้อง 4 แม้แต่นักท่องเวลาที่เคยเห็นโลกกว้างมาแล้วอย่างชิ่งเฉินก็ยังตะลึงงันไปหน่อย 

เห็นเพียงว่าในห้องเรียนที่ไม่ใหญ่ห้องนั้นกำลังมีเบียดกันจนดำพรืด แถมในนักเรียนกลุ่มนั้นมีคนที่สวมเสื้อผ้าล้ำสมัยแปลกประหลาด แล้วยังมีคนที่ถึงกับไว้ผมทรงเดรดล็อค 

ประเด็นสำคัญที่สุดคือ ในห้องเรียนห้องเดียวถึงกับมีคนอัดกันอยู่หนึ่งร้อยกว่าคน!   

นักเรียนย้ายเข้าพวกนั้นทุก ๆ คนล้อมหลิวเต๋อจู้เอาไว้จนหยดน้ำไม่กระเซ็น ประกาศคำขอร้องกันจอแจ “ท่าน……บอสใหญ่ ผมอยู่ที่โลกภายในมีศัตรูสองคนอะ คุณให้หลี่ตงเจ๋อช่วยผมฆ่าได้ไหม ผมให้ที่อยู่คุณนะ”

“บอสใหญ่ค้าบ ผมอยากได้ยาแปลงพันธุกรรมสองเข็ม คุณมีของไหม”

“บอสใหญ่ ข้อขอร้องของฝั่งผมคือ……”

ในกลุ่มคนมีเสียงอันไร้เรี่ยวแรงของหลิวเต๋อจู้ดังขึ้นมาว่า “ทุกคนไม่ต้องรีบร้อน พูดทีละคน แถมผมก็ไม่ได้เก่งกล้ารอบด้านอย่างที่ทุกคนจินตนาการ……”

ชิ่งเฉินแอบครุ่นคิดกับตัวเองว่า ห้องเรียนนี้ยังจะสามารถรักษาระเบียบการเรียนการสอนได้เหรอ         

นี่มันม.ห้าห้อง 4 ที่ไหน เห็นชัด ๆ ว่าเป็นตลาดมืดซื้อขายในตำนาน ส่วนหลิวเต๋อจู้ถูกพวกเขาเห็นเป็น NPC อย่าง “พ่อค้าตลาดมืด” ไปแล้ว   

แต่ว่า ตอนที่เขาได้ยินคำขอที่ให้หลี่ตงเจ๋อช่วยฆ่าคนอันนั้น จู่ ๆ ก็ตระหนักว่าเหตุใดมีนักเรียนย้ายเข้ามารวมตัวกันอย่างกะทันหัน 

เพราะการตายของหวังอวิ๋น 

เรื่องที่หลี่ตงเจ๋อลงมือสังหารหวังอวิ๋นแพร่ออกไปแล้ว ในความเห็นของทุกคนนี่ล้วนเป็นภาพสะท้อนความสามารถและสถานะของหลิวเต๋อจู้   

คนรวยรุ่นสองอันดับต้น ๆ คนหนึ่งตายลงไปในโลกภายในอย่างง่ายดายขนาดนี้ 

สิ่งที่คนธรรมดารู้สึกถึงความหวาดกลัว แต่คนพวกนี้กลับคิดว่าน่าตื่นเต้น         

นั่นเป็นโลกที่สามารถกระตุ้นอะดรีนาลีนอย่างแท้จริง!         

เวลานี้ ชิ่งเฉินบังเอิญชนเข้ากับหนานเกิงเฉิน 

อีกฝ่ายเข้ามาอยู่ข้างกายเขา ลดเสียงลงกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “พี่เฉิน พวกเขาทั้งหมดพุ่งมาหาหลิวเต๋อจู้ล่ะ แต่พวกเขาเกรงว่าจะคิดไม่ถึงว่าเทพตัวจริงไม่ได้อยู่ม.ห้าห้อง 4 เลย ทว่าอยู่ที่ห้องข้าง ๆ!”

หนานเกิงเฉินหน้าตาตื่นเต้นดีใจ ความรู้สึกที่ว่าผู้คนเมามายข้ามีสติอยู่คนเดียวชนิดนี้ยากจะเอ่ยเป็นคำพูด 

ชิ่งเฉินมองเขาแวบหนึ่ง “หยุดปากพล่อย อันตรายมาก”

“พี่เฉินวางใจ ฉันจะไม่ทำความลับรั่ว!” หนานเกิงเฉินมองห้องเรียนของม.ห้าห้อง 4 อีกที พูดในใจว่าตนเองจึงเป็นคนที่ได้กอดขาใหญ่จริง ๆ   

ตอนที่กลับถึงห้องเรียนตัวเอง         

หูเสี่ยวหนิวและจางเทียนเจินในห้องเรียนจู่ ๆ หันหน้าไปยิ้มพูดกับชิ่งเฉินว่า “สวัสดีเพื่อนนักเรียน วันหลังพวกเราจะมีเวลาได้พูดคุยกันมากขึ้นแล้วนะ”

ชิ่งเฉินเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง “พวกนายสองคนควรจะอยู่ห้องเรียนข้าง ๆ ไม่ใช่เหรอ”

หูเสี่ยวหนิวยิ้ม “นายก็น่าจะเห็นสภาพห้องเรียนข้าง ๆ นั่นแล้ว สภาพแวดล้อมอย่างนั้นมันวุ่นวายเกินไป ดังนั้นเราสองคนเลยทำเรื่องเมื่อคืน ย้ายมาห้องพวกนาย นายก็เดาได้ว่าพวกเราเป็นนักท่องเวลา เดิมทีก็มาเพื่อหลิวเต๋อจู้ แต่ตอนนี้คนที่ล้อมอยู่ข้างตัวเขามันเยอะเกินไปแล้ว พวกเรารั้งอยู่ด้านนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่สู้ปล่อยวางความคิดพึ่งพาคนอื่นไปให้หมด เสาะหาทางออกในโลกภายในดี ๆ”

หูเสี่ยวหนิวพูดอย่างใจเย็นมาก แล้วก็ตรงไปตรงมามาก 

หูเสี่ยวหนิวเคยประเมินตรรกะด้านพฤติกรรมของบอสใหญ่หลังฉากคนนั้น อีกฝ่ายไม่ทำตัวเด่นและรอบคอบ ฉลาดมองการณ์ไกลและสุขุมแต่กลับมีความใจเด็ด 

คนประเภทนี้น่าจะไม่เห็นลูกหลานล้างผลาญกลุ่มนั้นในสายตา         

ถ้าตนเองขลุกอยู่กับลูกหลานล้างผลาญเศรษฐีใหม่กลุ่มนั้น เกรงว่ากลับจะถูกบอสใหญ่ดูแคลน สิ่งที่พวกเขาต้องทำตอนนี้คือให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นมา มีคุณค่าให้ใช้ประโยชน์เพียงพอ

เวลานี้ จางเทียนเจินเอ่ยเสริมว่า “อีกอย่าง ห้องเรียนข้าง ๆ ตอนนี้ก็เบียดกันเกินไปแล้วจริง ๆ……”

หนานเกิงเฉินสีหน้าแปลกพิกล พูดในใจว่าก้าวนี้ของพวกนางบังเอิญเดินมาถึงข้างกายเทพตัวจริงแล้วอะ……เก่งสัส

สองคนนี้เคลียร์โต๊ะของตัวเอง พอดีเป็นสองตัวที่หวังอวิ๋นกับไป๋หว่านเอ๋อร์ปล่อยว่าง ไม่ต้องย้ายโต๊ะมาใหม่ 

สุดท้ายโต๊ะสี่ตัวแถวนี้เรียงลำดับเป็นหนานเกิงเฉิน, ชิ่งเฉิน, จางเทียนเจิน, หูเสี่ยวหนิว 

ถัดจากนั้น ครูประจำชั้นเถียนไห่หลงเดินเข้าห้องเรียน ข้างหลังเขายังตามมาด้วยเด็กสาวที่ตัวสูงชะลูด มือทั้งคู่ของอีกฝ่ายซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อสเวตเตอร์ สีหน้าสงบนิ่งเป็นพิเศษ 

อีกฝ่ายเดิมสวมหมวกฮู้ด หลังเข้าห้องเรียนจึงถอดหมวกเสมือนไร้เรื่องราว เส้นผมสีดำเรียบลื่นกระจายไปทั่วแผ่นหลัง

บนใบหน้ารูปแตงตามมาตรฐานนั้นกลับซ่อนพลังอันลึกลับเอาไว้ 

เถียนไห่หลงยืนอยู่บนโพเดี้ยมกล่าวว่า “นักเรียนครับ นี่เป็นเพื่อนนักเรียนที่ย้ายมาใหม่ของห้องเรา เพื่อนนักเรียนคนนี้……”

ครูที่อยู่บนโพเดี้ยมกำลังทำการแนะนำ ชิ่งเฉินที่อยู่ใต้โพเดี้ยมจ้องมองเด็กสาวคนนั้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ คำพูดของครูเขาไม่สนใจสักคำ เพราะว่าเขาเคยเห็นเด็กสาวคนนี้ 

นี่คือคนที่เคยช่วยเขาจัดการคนร้ายบนเขาเหล่าจวิน 

ชิ่งเฉินราวกับจะกลับไปสู่ลานจอดรถในค่ำคืนนั้น ความทรงจำทุกอย่างล้วนทับซ้อนกับขณะนี้

เขาถึงขนาดสามารถจินตนาการถึงชั่วขณะนั้นที่อีกฝ่ายยกฝ่ามือขึ้น ใช้แรงโน้มถ่วงอันไร้ผู้ต้านกดคนร้ายคุกเข่าลง สีหน้าในเงามืดใต้ฮู้ดนั้นก็สงบนิ่งเยี่ยงนี้ 

แต่ทว่า ตอนที่ชิ่งเฉินกำลังมองเด็กสาว สายตาของเด็กสาวก็กวาดผ่านชิ่งเฉิน 

สายตาของเด็กสาวลากผ่านร่างของชิ่งเฉิน ตกลงบนตัวของจางเทียนเจิน จากนั้นวกกลับไปที่ชิ่งเฉินอย่างรวดเร็ว         

เธอจับจ้องชิ่งเฉินอย่างจริงจัง

ไม่ แทนที่จะพูดว่าเป็นการจับจ้อง

ไม่สู้พูดว่าเป็นการตรวบสอบอย่างไร้อารมณ์สักนิด 

จนกระทั่งเถียนไห่หลงบนโพเดี้ยมกล่าวว่า “เชิญเพื่อนนักเรียนที่มาใหม่แนะนำตัวหน่อยครับ”

เด็กสาวคนนั้นมองชิ่งเฉินกล่าวว่า “เรียกฉันว่ายางยางก็ได้ ขอบคุณ”

ชิ่งเฉินค้นพบจากหางตาว่าหูเสี่ยวหนิวและจางเทียนเจินล้วนมองเด็กสาวอย่างเหม่อลอย เขาหันหน้าไปถามว่า “พวกนายรู้จักเหรอ”

จางเทียนเจินอธิบายว่า “ครอบครัวพวกเราเป็นเพื่อนกัน รู้จักกันมานานแล้ว แล้วเธอก็เป็นตำนานของม.ปลายเมืองไห่ของพวกเรา พวกนายเคยเห็นคลิปอันหนึ่งรึเปล่า……ก็คือเด็กสาวต่างชาติอายุสิบขวบอยู่ในป่าเคลื่อนไหวถือปืนยิง เปลี่ยนปืนเปลี่ยนแม็กกาซีนอย่างมีประสิทธิภาพ ยิงเข้ากลางเป้า……ตอนพวกเราเด็ก ๆ ตอนที่ตามพ่อแม่ไปสนามยิงปืนกลางแจ้งที่เมืองนอก เธอยังดุร้ายกว่าเด็กสาวคนนั้นอีก……”

ชิ่งเฉินตะลึง เขาเคยเห็นคลิปนั่น แต่เขาคิดไม่ถึงว่าในประเทศก็มีเด็กสาวที่ดุร้ายขนาดนั้น         

หูเสี่ยวหนิวเอ่ยเสริมว่า “ตอนที่ยางยางอายุ 16 ก็ล่องเรือยอช์ตข้ามมหาสมุทรอินเดียด้วยล่ะ อยู่บนทะเลยังเจอกับโจรสลัดกลุ่มเล็กที่ปล้นชาวประมง พ่อฉันบอกว่าครั้งนั้นเธอใช้ปืนไรเฟิลอัตโนมัติฆ่าโจรสลัดสามคนที่อยู่ห่างออกไปเป็นร้อยเมตร ถึงกับขับไล่โจรสลัดล่าถอย”

ชิ่งเฉินกับหนานเกิงเฉินมองกันอย่างเลิกลั่ก สำหรับนักเรียนเมืองเล็ก ๆ สองคนอย่างพวกเขา เรื่องประเภทนี้ฟังแล้วอย่างกับนิทานแฟนตาซี   

ขณะนี้ ยางยางเดินลงมาจากโพเดี้ยม เธอยืนอยู่หน้าโต๊ะของจางเทียนเจิน มองอีกฝ่ายอย่างไร้เสียง 

หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที……

จางเทียนเจินเก็บหนังสืออย่างขี้ขลาดแล้วลุกขึ้น ยกที่ให้เธอ 

………………………………………..

*เฮยหลาง แปลว่า สุนัขป่าดำ , จูเชวี่ย แปลว่าฟินิกซ์

**เสี่ยวอิง แปลว่า เหยี่ยวน้อย, ซานจา เป็นชื่อผลไม้, ปันโส่ว แปลว่าประแจ, ปิงถัง แปลว่าลูกอม, หูลู่ แปลว่ามะระ

 

ขอเปลี่ยนชื่อเหรียญทองจริงแท้เป็นเหรียญทองสัจจานะคะ แล้วก็เปลี่ยนคำพูดนิดหน่อย

และในที่สุดก็หาคำแปลเหมาะ ๆ ของ 血性 เจอแล้ว เป็นคำว่าใจเด็ด แต่ก่อนแปลเป็นนิสัยเลือดเดือดมั้ง……

โรงแรม Yading Peninsula มีอยู่จริงนะคะ เป็นโรงแรมหรูอันดับสามของลั่วหยาง

พ่อแม่ของหลิวเต๋อจู้บทน้อยก็จริงแต่น่ารักมาก ๆ ตรงข้ามกับพ่อแม่ชิ่งเฉินเลย

 

 

ตอนที่ 169 – คนที่อยู่หลังฉากคนนั้น