หลังจากที่พวกเขารู้ว่ากำลังถูกล้อม พวกเขาก็หยุดและมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง

พวกเขาทุกคนค่อนข้างมีประสบการณ์ในการถูกล้อม เนื่องจากพวกเขาได้สำรวจหุบเขาแห่งความตายมานานแล้ว และสัตว์ประหลาดส่วนใหญ่ในนั้นก็มักจะส่งกองทัพโครงกระดูกหรือสัตว์ประหลาดลูกสมุนมาล้อมกรอบผู้เล่นอยู่บ่อยครั้ง

แน่นอนว่าสถานการณ์ในตอนนี้แตกต่างออกไป เพราะพวกเรเวแนนท์มักจะทำไปตามสัญชาตญาณหรือภายใต้คำสั่งของเรเวแนนท์ขั้นสูงกว่า และการที่พวกมันล้อมเหยื่อก็เป็นเพราะมีพวกมันจำนวนมากกว่า แต่ตอนนี้ศัตรูที่กำลังปิดล้อมพวกเขาเหมือนว่าจะมีการวางแผนมาแล้วเป็นอย่างดี

เมื่อวงล้อมถูกปิดลง พวกเขาก็ได้เห็นว่าใครที่กำลังโจมตีพวกเขาอยู่

มันคือสิ่งมีชีวิตที่สูงเพียง 1.1-1.2 เมตร เมื่อมองแวบแรกมันดูเหมือนกบตัวใหญ่ที่ยืนสองขา พวกมันไม่มีคอ ผิวหนังก็ชุ่มชื้นและเรียบเนียน บางตัวมีผิวสีเขียวบางตัวก็สีน้ำตาลและมีลวดลายสีดำบนตัว

คนพวกนี้สวมเสื้อผ้าที่ทำจากเปลือกหอยที่ปิดเพียงส่วนสำคัญเท่านั้น และถืออาวุธง่าย ๆ ที่ทำจากเปลือกหอยแหลมยาวขนาดใหญ่ติดกับปลายแท่งไม้ แก้มของพวกมันปูดเป็นลูกบอลแสดงให้เห็นว่าพวกมันกำลังโกรธ

“ทำไมเจ้ามาที่นี่ คนผิวแห้ง!” กบตัวใหญ่ที่มีสร้อยเปลือกหอยพูกรอบคอตะโกนออกมา ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นหัวหน้า มันพูดภาษาชูโมเนียน (ภาษากลางของมนุษย์) ด้วยสำเนียงที่ชัดแจ่ว “ออกไปจากที่นี่ ชายฝั่งทะเลเป็นของพวกเราคนผิวเปียก!”

คนที่เรียกตัวเองว่าคนผิวเปียกนั้นเป็นเผ่ามนุษย์กบที่วีลาต้องการพบ

สำหรับคำเรียก ‘คนผิวแห้ง’ เป็นคำหยาบเล็กน้อยที่มนุษย์กบใช้เรียกทุกคนที่ไม่ใช่เผ่าของตนและเผ่าสัตว์น้ำ

“ว้าว พวกเขามีชื่อสีเหลืองหมดเลยและไม่มีแถบ HP ด้วย…นี่พวกเขาเป็นเพื่อนหรือศัตรูกันแน่” โกวต้านพึมพำเบา ๆ

“ไม่รู้สิ อาจจะเป็นกลางมั้ง?” เอ็ดเวิร์ดยักไหล่

“เราไม่ต้องการสู้กับพวกเจ้า อันที่จริงเรามาที่นี่เพื่อช่วย!” วีลาตะโกนออกมา และเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือเธอจึงโยนธนูกับกริชลงกับพื้น และยกแขนทั้งสองข้างขึ้นยอมจำนน “เราแค่อยากคุยกับหัวหน้าเผ่าของเจ้า”

หลังจากที่เธอพูด เธอก็มองไปที่คนอื่น ๆ ในปาร์ตี้และส่งสัญญาณให้พวกเขาทิ้งอาวุธด้วย

เอ็ดเวิร์ดและสมาชิกคนอื่น ๆ ถอนหายใจและวางอาวุธลงกับพื้น

พวกเขาแตกต่างจากนักรบและผู้วิเศษทั่วไปในโลก ผู้เล่นยังคงสามารถใช้พลังส่วนใหญ่ของพวกเขาได้โดยที่ไม่ต้องใช้อาวุธ

แต่พวกมนุษย์กบไม่รู้เรื่องนี้ ดังนั้นเมื่อเห็นว่าผู้เล่นโยนอาวุธของพวกเขาลง ความเป็นปรปักษ์ของพวกเขาจึงลดลงอย่างมาก

“เราไม่มีอะไรต้องพูดกับเจ้า พวกคนผิวแห้ง! จับให้หมด! จำไว้ ว่าคนที่จับเจ้าได้คือข้า คล็อกกาโตว์(Croakatoa)ฮีโร่ของคนผิวเปียก!”

มนุษย์กบคนนั้นเยาะเย้ยวีล่าและพรรคพวก เขาสั่งให้ลูกน้องพองลมแบ่งด้วยความภาคภูมิใจ

“เฮ้ นั่นดาบใหญ่ T2 ของข้าที่ได้มาจากหุบเขาแห่งความตายเลยนะ อย่าลากมันไปกับพื้น! จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเจ้าทำมันพัง…” โจบ่น แต่พวกมนุษย์กบก็เพิกเฉย

อาวุธนี้หนักเกินไปสำหรับพวกเขา ดังนั้นการลากไปกับพื้นจึงเป็นสิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้

ภายใต้ความร่วมมือของผู้เล่น พวกเขาก็ถูกนำตัวกลับไปที่หมู่บ้านมนุษย์กบโดยมีสาหร่ายทะเลพันรอบข้อมือ

ขณะที่พวกเขากำลังเดินอยู่ วีลาก็พยายามสื่อสารกับมนุษย์กบคนอื่น ๆ แต่พวกเขากลับไม่รู้วิธีพูดภาษาชูโมเนียน

หมู่บ้านนี้สร้างขึ้นตามแนวชายหาดและมีบ้านไม่มากนัก บ้านส่วนใหญ่มีขนาดสูง 2 เมตรในขณะที่ส่วนน้อยเป็นบ้านที่สร้างจากหินและเปลือกหอย

แม้ว่ามันจะดูแปลกใหม่ แต่มาตรฐานความงามของเผ่ามนุษย์กบนั้นแตกต่างจากมนุษย์มาก และการที่พวกเขาต้องยืนอยู่ในหมู่บ้านมนุษย์กบ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ามันแย่มาก…

แม้ว่าตอนนี้จะเป็นช่วงน้ำลง แต่น้ำทะเลก็ยังขึ้นมาถึงข้อเท้าของพวกเขาอยู่ดี

“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นบ้านของมนุษย์กบ…” โกวต้านมองไปรอบ ๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น

“ก็เป็นเหมือนกันทุกคนนั่นแหละ หากมีการจัดอันดับเผ่าพันธุ์ที่ลึกลับที่สุดในโลก มนุษย์กบก็จะติดอันดับ 1 ใน 10 แน่นอน!” วีลากระซิบกลับ

นอกเหนือจากพวกกะลาสีเรือแล้ว มนุษย์ยังไม่มีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์กบมากนัก

โดยส่วนใหญ่มนุษย์กบจะหลีกเลี่ยงมนุษย์ พวกเขาอยู่ในสถานที่ห่างไกลและโดดเดี่ยวจึงไม่ค่อยมีใครได้เห็นพวกเขา

ในขณะเดียวกัน มนุษย์กบก็ไม่เป็นที่สนใจของมนุษย์ เนื้อของพวกมันรสชาติแย่ อวัยวะของพวกมันก็ไม่มีคุณสมบัติทางยา และพวกมันก็ไม่มีผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่นที่มีคุณค่าเช่นไข่มุก สิ่งที่มีค่าที่สุดที่พวกมนุษย์กบผลิตได้ก็น่าจะเป็นปลาเค็มที่ตากบนหลังคาบ้าน…

หลังจากสงครามอารยธรรมจบลง มนุษย์ก็ไม่ได้มีความขัดแย้งใด ๆ กับมนุษย์กบ

นี่คือสาเหตุที่แองโกร่าสงสัยว่าทำไมสมาคมลับแห่งดวงตาจึงมีปัญหากับเผ่ามนุษย์กบ และทำไมเผ่ามนุษย์กบจึงอยากสู้กับพวกเขาแทนที่จะออกจากชายฝั่งทะเลนี้…นอกจากนี้เขาก็ต้องการช่วยเหลือมนุษย์กบด้วย การที่สมาคมลับแห่งดวงตาไม่ได้โจมตีเมืองไร้ชื่อทันทีก็เพราะพวกเขากำลังมีปัญหาเรื่องชายฝั่งทะเลกับเหล่ามนุษย์กบ

“ที่นี่คือที่ที่หัวหน้าหมู่บ้านอาศัยอยู่ หากเจ้ามีอะไรจะพูดก็พูดกับเขา!” คล็อกกาโตว์เลี้ยวและนำปาร์ตี้ผู้เล่นไปที่หอยสังข์ที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน

“เจ้าบอกว่าเจ้าไม่มีอะไรจะพูดกับเรา แต่เจ้าก็ยังพาพวกเรามาที่นี่? เจ้าเป็นคนดีนะ คล็อกกาโตว์!” โจเป็นคนตรง ๆ เพราะงั้นเขาจึงหัวเราะและชมมนุษย์กบตนนี้อย่างจริงใจ

“ข้าก็แค่อยากเห็นว่าเจ้าจะพูดอะไร!”

ด้านในหอยสังข์นั้นกว้างขวางอย่างไม่น่าเชื่อ และหัวหน้าหมู่บ้านก็รอพบพวกเขาอยู่แล้ว

หัวหน้าหมู่บ้านมีผิวสีส้มอมเหลืองซึ่งแตกต่างจากมนุษย์กบคนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน และขนาดตัวของเขาก็ใหญ่กว่ามาก และเขายังมีหูดที่หลังของเขา

“ข้าได้ยินจากคล็อกกาโตว์แล้ว พวกเจ้ามีอะไรจะพูดกับข้า” มนุษย์กบถามออกมาด้วยภาษาชูโมเนียน “ข้าไม่คิดว่าข้าจะช่วยพวกเจ้าได้…”

“ได้โปรดอย่าถือว่าเราเป็นศัตรู เราพร้อมที่จะช่วยเหลือพวกท่าน!” วีลาพยายามทำหน้าที่นักการทูต “ข้ารู้มาว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ท่านถูกมนุษย์กลุ่มหนึ่งทำร้าย…”

“พวกเจ้าผิวแห้งนั่นแหละที่ทำ!” วีลายังไม่พูดจบประโยค คล็อกกาโตว์ก็กระโดดออกมาและตะโกนใส่เธอ

“คล็อกกาโตว์เจ้าออกไปก่อน!” หัวหน้าหมู่บ้านบอกให้คล็อกกาโตว์ออกไป ก่อนที่จะหันกลับไปมองวีลา “ข้าขอโทษสำหรับความหยาบคายของเขาด้วย แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจ สำหรับเราคนผิวแห้งก็ดูเหมือนกันไปหมด และมันยากมากที่จะแยกความแตกต่างระหว่างเจ้ากับคนอื่น ๆ ในหมู่พวกเจ้า…”

“แต่พวกเรา คนผิวเปียกมีสีผิวและลวดลายที่แตกต่างกัน! ดูดอกเบญจมาศดอกนี้ที่ด้านหลังของข้า…อ่า ขอโทษ พี่ก็รู้ว่าข้าภูมิใจในดอกเบญจมาศน้อยน่ารักของข้ามาตลอด”

คล็อกกาโตว์กำลังคุยโวเกี่ยวกับดอกเบญจมาศของเขา ก่อนที่เขาจะตระหนักว่าทุกคนในห้องกำลังจ้องเขา เขาก็เลยหดตัวไปอยู่ที่มุมหนึ่ง