ตอนที่ 120 เหตุเกิดจากโดนเอ้อร์หนิวดูแคลน

ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ

ตอนที่ 120 เหตุเกิดจากโดนเอ้อร์หนิวดูแคลน
หากเป็นไปอย่างราบรื่น พฤติกรรมความร้ายกาจของซื่อจื่อฉังซิงโหวก็จะกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ดุเดือดต่อไปของชาวเมืองหลวง เมื่อถึงตอนนั้นเจียงลี่และเจียงเพ่ยที่พำนักอยู่ในจวนฉางซิงโหวอยู่ระยะหนึ่งก็จะโดนวิพากษ์วิจารณ์มากน้อยเพียงใด

ถึงอย่างไรก็เพราะว่ามีพี่เขยเป็นคนเช่นนั้น คนที่ซุบซิบก็คงคิดว่าเกี่ยวข้องกัน

น่าเสียดายที่เจียงเพ่ยกลับไม่เข้าใจความหมายแฝงในคําพูดของเจียงซื่อ ยังคงแสดงออกว่า “พี่รองให้ปิ่นปักผมหยกดอกไม้สีแดงเลื่อมทองกับข้าอันหนึ่ง พี่สี่ ท่านดูสิว่าข้าใส่แล้วเป็นอย่างไรบ้าง งามหรือไม่”

“งามนัก ข้าอิจฉาจนอยากจะร้องไห้เลย น้องหกพอใจแล้วใช่ไหม” เจียงซื่อกล่าวอย่างจนปัญญา

ในที่สุดเจียงเพ่ยก็ได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยจากเจียงซื่อ ใบหน้าก็ตึงเครียดขึ้นทันที “พี่สี่ ทำไมท่านถึงพูดเช่นนี้ ต่อให้ที่อิจฉาที่พี่รองให้ของล้ำค่าแก่พวกเราจริง ท่านก็อย่าทำพูดจาพิกลเช่นนี้ ที่นี่ไม่ใช่จวนฉังซิงโหว ข้าไม่กลัวท่านหรอก…”

เจียงจั้นทนไม่ไหว จึงยกมือขึ้นเคาะหน้าผากของเจียงเพ่ย

เจียงเพ่ยเจ็บปวด เอามือกุมหน้าผากพร้อมกับมองไปที่เจียงจั้น “พี่รอง ท่านทำอะไร”

เจียงจั้นกลอกตา “น้องหก สมองเจ้ามีปัญหาใช่ไหม ใส่ปิ่นปักผมก็ราวมันเป็นขนหงส์? พิลึกจริงเชียว น้องสี่ เราไปกันเถอะ”

เจียงซื่อที่กลั้นหัวเราะถูกเจียงจั้นลากเดินไปข้างหน้า เจียงจั้นบ่นว่า “เจ้ายังจะหัวเราะอีก ไปพูดพร่ำกับคนที่สมองมีปัญหาทำไมกัน”

“เจ้าค่ะ ข้าผิดไปแล้ว” รอยยิ้มของเจียงซื่อลึกซึ้งขึ้น

พี่รองมักจะเรียบง่ายและหยาบกระด้างเช่นนี้เสมอมา แต่กลับทำให้คนจนปัญญา

เจียงเพ่ยเอามือกุมหน้าผากแล้วกระทืบเท้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า “พี่รองทำเกินไปแล้ว ข้าจะฟ้องท่านลุงใหญ่!”

บุตรีอนุที่ประจบประแจงต่อหน้าท่านแม่ใหญ่ย่อมรู้ว่าหากเกิดเรื่องขึ้นท่านแม่ใหญ่ไม่มีทางออกหน้าแทนนาง ถ้าจะจัดการเจียงจั้นได้ต้องอาศัยเจียงอันเฉิง

เจียงลี่รีบดึงเจียงเพ่ยไว้ “น้องหก ก่อเรื่องเพิ่มมิสู้ทำให้เรื่องน้อยลงดีกว่า ช่างมันเถอะนะ”

“ทำไมต้องปล่อยไป ข้าไม่ได้พูดอะไรเสียหน่อย แต่พี่รองกลับปกป้องพี่สี่มาก จนรังแกคนอื่น”

เมื่อเห็นเจียงเพ่ยไม่ยอม เจียงลี่ที่ไม่อยากมีเรื่องก็เอ่ยเตือนว่า “น้องหกเจ้าลืมไปแล้วหรือ พี่รองบอกว่าอีกไม่กี่วันจะเชิญพวกเราไปที่จวนโหวอีก ถึงตอนนั้นพี่สี่ก็จะไปด้วย”

เจียงเพ่ยคลายความโมโหลงทันที

ไม่รู้ว่าพี่รองถูกมนตร์ดำอะไรครอบงำ เป็นพี่น้องเหมือนกันแต่กลับเอาอกเอาใจแต่เจียงซื่อ

พี่รองบอกว่าคราวหน้าจะไปจัดงานชมดอกไม้อีกสักครา ถึงตอนนั้นจะเชิญสตรีผู้สูงศักดิ์ไปด้วย นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากที่จะสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเหล่าสตรีผู้สูงศักดิ์เหล่านั้น นางไม่ควรอดไปเพียงเพราะคําพูดของเจียงซื่อๆ คำเดียว

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เจียงเพ่ยจึงเลือกที่จะอดทนอดกลั้นและคิดในใจว่า คอยดูเถอะ จะทำให้เจียงซื่อได้เห็นดีสักวัน!

เจียงซื่อและพี่ชายเดินเข้าไปในเรือนฉือซิน เฝิงเหล่าฮูหยินกําลังหลับตาพริ้มฟังงิ้วอยู่

เอ้อร์ไท่ไท่เซียวซื่อที่มารายงานเรื่องกิจการภายในบ้านกําลังรออยู่ด้านข้าง ทั้งสองคนได้แต่ยืนอยู่นิ่งๆ

เด็กหญิงสองคนที่กำลังร้องงิ้วอยู่มีรูปร่างอรชร เสียงร้องเล็กแหลม ยามกรีดกรายเคลื่อนไหวช่างงดงามจนน่าหลงไหล

เจียงจั้นกลับมีสีหน้ารําคาญ

อิอิอะอะร้องจนเขาปวดหัว ยังไม่จบอีก

ผ่านไปครู่หนึ่ง เด็กหญิงสองคนก็ร้องคำสุดท้ายออกมา เฝิงเหล่าฮูหยินเพิ่งจะลืมตาขึ้นและส่งสัญญาณให้พวกนางถอยออกไป

“คารวะท่านย่าขอรับ/เจ้าค่ะ”

“กลับมาก็ดีแล้ว หลังจากนี้อากาศจะร้อนขึ้น หนูสี่ โดยเฉพาะคุณหนูอย่างเช่นเจ้า อย่าออกไปเตร็ดเตร่ข้างนอกบ่อยนัก”

“หลานทราบแล้วเจ้าค่ะ” เวลานี้เจียงซื่อย่อมไม่ปะทะกับเฝิงเหล่าฮูหยินเป็นธรรมดา

เซียวซื่อโกรธที่เจียงซื่อไปจวนฉังซิงโหวแล้วทำให้ภายในจวนเกิดความวุ่นวาย ทำลายหน้าตาของบุตรสาว ฉวยโอกาสเอ่ยว่า “หลายวันมานี้ที่คุณหนูสี่ไม่อยู่ในจวนเหล่าฮูหยินคิดถึงมากนัก ลูกเดินทางพันลี้มารดาเป็นห่วง คําพูดนี้ก็เช่นเดียวกันกับท่านย่า หลังจากนี้คุณหนูสี่ก็อย่าออกไปไหนอีกล่ะ ถ้าอยากออกไปเที่ยวก็ไปหาพี่รองของเจ้า พี่รองของเจ้าบอกว่า รอเจ้ากลับมาจัดงานเลี้ยงดอกไม้ที่จวนโหว ให้พี่น้องมารวมตัวกันอย่างครึกครื้น”

“พี่รองจัดงานเลี้ยงดอกไม้ยังต้องรอข้าอยู่อีกหรือเจ้าคะ”

เซียวซื่อถูกเจียงซื่อถามจนชะงักไป “ใช่แล้ว ในบรรดาพี่น้องของเจ้า พี่รองของเจ้ารักเจ้ามากที่สุด พวกเจ้ารักใคร่สนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็กมิใช่หรือ”

เจียงซื่อยิ้มบางๆ “อาสะใภ้รองพูดผิดไปแล้ว ข้าปฏิบัติต่อพี่น้องอย่างเท่าเทียมกัน ไม่มีความลำเอียงเจ้าค่ะ”

หัวใจของเซียวซื่อลุกเป็นไฟ แต่พอนึกถึงคําวิงวอนในจดหมายของเจียงเชี่ยนก็ไม่อยากแตกหักกับเจียงซื่อ จึงได้แต่หัวเราะแห้งๆ สองคําเพื่อเฉไฉ

เหตุใดเชี่ยนเอ๋อร์ถึงปฏิบัติต่อหนูสี่ด้วยท่าที่ที่แปลกไปเช่นนี้ ประเดี๋ยวค่อยหาโอกาสถามเชี่ยนเอ๋อร์

“เอาล่ะ พวกเจ้าออกไปเถอะ เซียวซื่อ เจ้าพูดมาสิ” เฝิงเหล่าฮูหยินฟังแล้วรําคาญ จึงไล่เจียงซื่อและพี่ชายออกไป

หลังจากออกมาเจียงจั้นก็ตบหน้าอกเบาๆ “อยู่ข้างนอกยังสบายกว่า ถ้ารู้แต่แรกว่าจะอยู่ต่ออีกหลายๆ วัน”

“หืม? อยู่ต่ออีกหลายๆ วัน? “เสียงเย็นๆ ดังมาจากด้านหลัง

ร่างกายของเจียงจั้นแข็งทื่อค่อยๆ หมุนกายไป ฝืนยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มที่น่าเกลียดยิ่งกว่าร่ำไห้ “ท่านพ่อ…”

สีหน้าของเจียงอันเฉิงดุดัน ในใจรู้สึกโกรธ

หลายวันมานี้บุตรชายและบุตรสาวสองออกไปอยู่ข้างนอก แม้เขาจะไม่ได้ว่าอะไร แต่ก็กินข้าวไม่ลง พอได้ยินว่ากลับมาแล้วก็รอพวกเขามาคารวะไม่ไหว จนต้องมุ่งหน้ามายังเรือนฉือซิน คิดไม่ถึงว่าเจ้าลูกเต่าจะพูดเช่นนี้

ไม่ตีไปสามวันเนื้อด้านขึ้นแล้ว

เจียงซื่อยกชายกระโปรงย่อกายคารวะ ยิ้มพร้อมกับทักทายเจียงอันเฉิง “ท่านพ่อ พวกเรานำของพิเศษมาให้ท่านมากมาย ลูกเคยลองกินมาแล้ว รสชาติดีเยี่ยมเลยเจ้าค่ะ”

เจียงอันเฉิงฟังแล้วก็ดีใจ หายโกรธทันที ทว่ายังคงตีหน้าเคร่งขรึมอยู่ “กลับมาก็ดีแล้ว แล้วจะลำบากเอาของพวกนั้นมาทำไม”

“ข้ากับพี่รองได้ลิ้มรสแล้วก็รู้สึกว่าอร่อย จึงนำมาแสดงความกตัญญูกับท่านพ่อเจ้าค่ะ ของพวกนั้นพี่รองซื้อมาทั้งหมดเลยนะเจ้าคะ”

เจียงอันเฉิงชําเลืองมองเจียงจั้นแวบหนึ่ง ก่อนจะจดบัญชีนี้ไว้ชั่วคราว “ในเมื่อพวกเจ้ากตัญญู เดี๋ยวข้าจะลองชิมดู”

เจียงซื่อเดินตามเจียงอันเฉิงกลับไป เจียงจั้นเดินถอยหลังไปสองก้าว เห็นเจียงซื่อหันกลับไปมองเขาก็แอบยื่นนิ้วโป้งออกมา

เมื่อเทียบกับน้องสาวแล้ว เขามักจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นบุตรที่พายุพัดมาให้บิดาเลี้ยงเท่านั้น

ทางด้านนี้พ่อใจดีลูกกตัญญู เป็นครอบครัวที่กลมเกลียวกัน ส่วนอวี้จิ่นกลับเข้าไปในตรอกซอยเชวี่ยจื่ออย่างเฉยชา เขานั่งลงบนม้านั่งหินใต้ต้นไม้ในลานบ้าน แล้วเริ่มเหม่อลอย

เห็นได้ชัดว่าเขาเพิ่งแยกจากกัน ทำไมในใจของเขาถึงว่างเปล่าขนาดนี้

โฮ่งๆ… เอ้อร์หนิวกระดิกหางขยับเข้ามาใกล้ พอเห็นเจ้านายไม่สนใจกรงเล็บหน้าสองข้างก็แนบกับไหล่อวี้จิ่น แล้วแลบลิ้นออกมาเลียใบหน้าหล่อเหลาของเขา

อวี้จิ่นเช็ดหน้าแล้วยื่นมือไปจับใบหูของสุนัขตัวใหญ่แล้วดุ “เจ้าบ้า ใครใช้ให้เจ้าทำแบบนี้กัน”

เอ้อร์หนิวทำหน้าตาเหมือนไม่แยแส มันกระดิกหางแล้วหันหน้าไปเห่าใส่ประตู

“มีอะไรหรือ” อวี้จิ่นไม่ได้หันมาสนใจมันเลย

เอ้อร์หนิวมองอวี้จิ่นอย่างดูแคลน หางใหญ่เกือบกวาดไปบนใบหน้าของเขา รีบวิ่งออกไปนอกประตูแล้วกลับมา ส่ายหัวจนเขาตัวสั่น

อวี้จิ่นอดมองไม่ได้ สังเกตถึงเจตนาของเอ้อร์หนิว

หลายวันมานี้ออกไปไม่ได้พาเอ้อร์หนิวออกไปด้วย เกิดอะไรขึ้นกับมันนะ

โฮ่งโฮ่ง! เมื่อเห็นว่าเจ้านายไม่เข้าใจมัน เอ้อร์หนิวก็ใช้หางขนาดใหญ่ตบพื้น ฝุ่นฟุ้งกระจายทันที

ในที่สุดหลงต้านก็ทนดูไม่ได้ จึงคาดเดาอย่างกล้าหาญว่า “นายท่าน เอ้อร์หนิวคงไม่ได้รังเกียจที่ท่านไม่ได้พาแม่นางผู้นั้นกลับมาหรอกนะขอรับ”

มุมปากของอวี้จิ่นแข็งค้าง จ้องมองเอ้อร์หนิว

เอ้อร์หนิวเห่าใส่หลงต้านอย่างร่าเริง เป็นสัญญาณบอกว่าเขาตอบถูกแล้ว

อวี้จิ่นรู้สึกปวดหัวใจ

ออกไปตั้งนานแต่ยังไม่พาสะใภ้กลับมาอีก นี่เขาโดนหมาดูแคลนงั้นหรือ