บทที่ 206 การไล่ล่าที่บ้าคลั่ง

สุดยอดชาวประมง

บทที่ 206 การไล่ล่าที่บ้าคลั่ง

บทที่ 206 การไล่ล่าที่บ้าคลั่ง

โบตั๋นไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้เธอเล่นกับไฟเข้าให้แล้ว สวนดอกไม้ของเธอโดนระเบิดจนกระจุยกระจาย เธอโกรธฉู่เหินจนอยากจะฉีกเขาให้เป็นชิ้นๆ!!

ทางด้านฉู่เหินเองก็พูดออกมาว่า “หึหึ กล้าคิดจะฆ่าฉัน ฉันไม่ออมมือให้หรอกนะ” นี่ถ้าเกิดว่าเขารู้สึกตัวช้ากว่านี้อีกนิดเดียวเขาคงตายไปแล้วหลังจากผ่านดอกไม้นรกพวกนี้มาได้ จิตใจของฉู่เหินก็พัฒนาขึ้นมาก ทำให้ความสามารถในการต่อสู้ของเขาสูงขึ้นตาม ตอนนี้เขามั่นใจว่าเขาสามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้อย่างแน่นอน

หลังจากนั้น ฉู่เหินก็สื่อสารกับสัตว์ที่อยู่ในแหวนมิติอย่างรวดเร็วทั้งหมดถูกปล่อยออกมาแล้วพุ่งเข้าใส่ผู้ใช้ดอกโบตั๋นอย่างบ้าคลั่งทันที

เนื่องจากวิชาสวนดอกไม้ของเธอถูกทำลาย ทำให้หญิงสาวได้รับบาดเจ็บไม่น้อย กว่าเธอจะรู้ตัวฉู่เหินก็วิ่งเข้ามาหาเธอแล้ว เมื่อเห็นแบบนั้นโบตั๋นก็รีบหนีแม้จะยังบาดเจ็บอยู่ เธอคิดว่าตอนนี้เธอคงไม่สามารถต่อกรกับอีกฝ่ายได้

ทางฝั่งโซ้วโหเลียริมฝีปากตัวเองแววตาก็ดุร้ายขึ้นมาเขาก็ยกมือขึ้นในมือปรากฏปืนพกสีดำและยิงออกไป 3 นัด

ฉู่เหินส่ายหัวอย่างเบื่อหน่อยที่เห็นอีกฝ่ายใช้ปืน ซึ่งเขาหลบกระสุนได้อย่างง่ายดาย เสี่ยวหงส่งเสียงแหลมๆขณะที่ยืนข้างไหล่ของฉู่เหิน ทว่าต่อจากนั้นเขาก็เห็นแสงสว่างเจิดจ้าปรากฏขึ้น และคำสาปนั้นก็ปะทะเข้ากับร่างของโซ้วโหวเต็มๆ

แมวนพเวทย์เองก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน ลำแสงปรากฏออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของเสี่ยวจิ่ว ซึ่งเป็นทักษะที่มันเพิ่งได้เรียนรู้เมื่อกี้นี้เอง

โซ้วโหวกำลังจะยิงอีกครั้งแต่ก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศรอบข้างที่เปลี่ยนแปลงไป โซ้วโหวพบว่าที่ๆเขายืนอยู่กลับสลายหายไป กลายเป็นโลกที่มืดมิดโลกหนึ่ง บางทีก็เหมือนเป็นตอนพลบค่ำ บาททีก็เหมือนเป็นภพยมโลก

เมื่อเขามองไปรอบๆ ทันใดนั้นเสียงอันเย็นยะเยือกก็ดังแว่วเข้ามาในหู “เอาคืนชีวิตฉันมา!” แล้วเขาก็ได้พบกับฉากที่น่าเหลือเชื่อ เขาพบกับเงาร่างของเหล่าคนที่ถูกเขาสังหารไปในภารกิจของเขาทั้งหมด

มือของทุกร่างนั้นก็เหยียดออกมาพร้อมพร่ำบอกซ้ำๆ ว่า “เอาชีวิตของฉันคืนมา!”

หลังจากที่เห็นอย่างนั้นโซ้วโหวก็ไม่อาจยอมรับต่อสิ่งที่เห็นได้ เขาหน้าซีดสติแตก แล้วหันหลังวิ่งในทันที เขาได้แต่ภาวนาให้มันเป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น เพียงแต่ว่าภาพตรงหน้ามันช่างเหมือนจริง จนทำให้เขาไม่อยากจะเชื่อว่านี้คือภาพลวงตา

ในขณะที่วิ่งหนี โซ้วโหวก็ทำกระบอกปืนหลุดมือ ตอนนี้อีกไม่กี่ก้าวข้างหน้าเขามันก็เป็นหน้าผาแล้ว ทว่าไม่ทันไรชายที่ถูกภาพลวงตาของแมวนพเวทย์ก็เสียสติจากภาพลวงตา แล้วก็กระโดดลงไปในหน้าผา

โบตั๋นที่โดนทิ้งเอาไว้ให้อยู่คนเดียวตกใจกับภาพที่เห็นจนตัวสั่น เธอหยิบบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อมันมีหน้าตาที่คล้ายกับพลุไฟ พลุไฟที่มีขนาดสามสิบเซนติเมตร ถูกเธอเหนี่ยวไกยิงขึ้นไปบนฟ้า

ถึงตอนนี้จะเป็นเวลากลางวัน แต่แสงจากปืนนั้นยังชัดเจน มันเป็นแสงของพลุไฟ ฉู่เหินรู้สึกไม่ดีมากๆ กับการกระทำนั้น มันจะต้องเป็นการเรียกกำลังเสริมอย่างแน่นอน

ตัวต่อตัวหรือ 2 รุม 1 ยังพอไหว แต่ถ้าคนมากกว่านั้น เขาก็ไม่แน่ใจเท่าไรนัก มองด้วยสายตาเขาวิ่งห่างออกมาไกลจากโบตั๋นนานแล้ว ฉู่เหินถอนหายใจ จากนั้นก็วิ่งหนีไปยังอีกทางหนึ่งต่อทันที ในเวลานี้สิ่งสำคัญที่สุดคือการเอาตัวเองให้รอดไว้ก่อน ถ้าถูกคนเหล่านั้นจับไปปั้นเป็นเกี๊ยวมันคงจะอนาถน่าดู

เป็นไปตามคาดเมื่อฉู่เหินที่หนีออกไปไกลแล้ว ก็มีร่างจำนวนมากปรากฏขึ้นมาจากทุกทิศทาง มุ่งหน้ามาไปยังจุดที่เกิดพลุสัญญาณ

ทุกคนสวมหน้ากากสีดำปกปิดใบหน้า พวกเขาคือกลุ่มนักฆ่าสวรรค์ แต่ละย่างก้าวนั้นไม่มีสักก้าวให้ลังเลเลยแม้แต่น้อย เพื่อที่จะกำจัดเป้าหมายแล้วพวกเขาจะไม่เลือกวิธีการ

เมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขาแล้ว แม้แต่โบตั๋นก็ยังตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว เมื่อพวกเขาปรากฏตัว คนพวกนี้ล้วนแต่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี แม้ว่าด้านวรยุทธจะไม่ถือว่าทรงพลังมากนักแต่ก็ยากที่จะต่อกร เพราะพวกเขาไม่รู้จักความกลัว พวกเขายอมทำทุกอย่างเพื่อสังหารเป้าหมาย นับเป็นเครื่องจักรสังหารโดยแท้

แต่เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่โบตั๋น ทำให้เธอยังรู้สึกดีอยู่บ้าง เธอรายงานสถานการณ์ให้กับคนกลุ่มนี้ พวกเขาก็แยกย้ายออกตามหาร่องรอยของฉู่เหินในทันที

เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ฉู่เหินจึงเรียกแรดออกมาแล้วให้มันพาเขาออกจากภูเขาลูกนี้ให้เร็วที่สุด ซึ่งนี่จะช่วยกลบเกลื่อนร่องรอยของเขาไปได้อย่างดี

แต่แผนการของเขาก็ไม่ได้เป็นไปตามที่คิดเอาไว้ ขณะที่เดินทางไปจนถึงเชิงเขา ทันใดนั้นฉู่เหินก็สัมผัสได้ถึงสายลมวูบหนึ่ง เขามองไปยังทิศทางที่สายลมนั้นพัดผ่านอย่างละเอียด ซึ่งเขาสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวสายหนึ่ง เหมือนกับอันตรายบางอย่างกำลังใกล้เข้ามา

“นี่เราวิ่งออกมานานแล้วนะ ยังมีคนไล่ตามเรามาอีกเหรอ?” หลังจากคิดสักพักมันก็เป็นไปไม่ได้เท่าไหร่นัก แม้ฝ่ายตรงข้ามจะเก่งเรื่องการตามล่าแต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไล่ตามมาขนาดนี้หรอก แต่เขาต้องระวังตัวเองเอาไว้ตลอดเวลาไม่กล้าประมาท

หลังจากรอสักพักก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉู่เหินจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วรีบเดินทางต่อในทันที จนมาถึงแม่น้ำที่กว้างใหญ่ แม่น้ำแห่งนี้ลึกซะจนแทบไม่เห็นก้นแม่น้ำ ทำให้ฉู่เหินนึกคำๆ หนึ่งออกมาได้ว่าภูเขายิ่งสูงเท่าไหร่ น้ำก็ยิ่งลึกมากเท่านั้น

ดูท่าแล้วคงไม่เป็นไปไม่ได้ที่จะว่ายน้ำผ่านไปคงต้องสร้างแพแล้วข้ามไปเท่านั้น ซึ่งฉู่เหินต้องออกไปหาพวกไม้แล้วก็ไม้ไผ่ ที่จะเอามาสร้างแพ

ฉู่เหินใช้ดาบวงพระจันทร์ล้มไผ่ทีละกอๆ แล้วยังเก็บเถาวัลย์มาเพื่อที่จะมันผูกเข้าด้วยกันเป็นแพ

จากนั้นฉู่เหินก็เอาไม้ไผ่ยาวอีกอันมาใช้เป็นพายเพื่อที่จะได้ข้ามแม่น้ำไปได้อย่างรวดเร็ว

เมื่อมองดูกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวใต้ฝ่าเท้า ฉู่เหินในตอนนี้รู้สึกได้ถึงอารมณ์กลอนแห่งสายน้ำขึ้นมา ขณะกำลังเตรียมแต่งกลอนอยู่นั้นอยู่ๆ ฉู่เหินรู้สึกถึงความอันตรายขึ้นมา

แม่น้ำนี้มีอันตรายงั้นเหรอ? ฉู่เหินมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อเพราะเมื่อเขามองไปทางต้นน้ำเขาก็ต้องประหลาดใจ เขาเห็นว่าต้นน้ำของแม่น้ำนั้นมันกำลังม้วนตัวเป็นคลื่นใหญ่

ทำไมจู่ๆ เขาซวยขนาดมีพายุมาต้อนรับแบบนี้? แต่เขารู้นี้คือพลังของธรรมชาติ ความสามารถของเขายังอ่อนแออยู่มาก เขาไม่สามารถต่อต้านมันได้ ดังนั้นเขาเลยไม่ลังเลรีบพายแพไม้ไผ่หนีไปด้านตรงข้ามอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาเข้าใกล้ฝั่งเขาก็จะปลอดภัย