ตอนที่ 143 พบเจอ ช่างเป็นความคิดที่ดี (4)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 143 พบเจอ ช่างเป็นความคิดที่ดี (4)

วันที่เจ็ด มั่วเชียนเสวี่ยให้คำแนะนำที่โรงงานแกะสลัก นางพบว่าเกาฉีหวามีผลงานหนึ่งที่ทำได้ดี ขอเพียงนางให้คำแนะนำเล็กน้อย แก้ไขจุดเล็กจุดน้อยอีกสักนิด ก็ผ่านเกณฑ์นำออกไปขายได้ ทำเอาเกาฉีหวาดีใจยิ่งนัก มั่วเชียนเสวี่ยเคยบอกว่า ขอเพียงผลงานของพวกเขาสามารถขายได้ เช่นนั้นพวกเขาก็จะสามารถรับค่าแรงได้แล้ว อีกทั้งนอกจากค่าแรง ยังมีเงินพิเศษต่างหากอีกด้วย

รูปปั้นแกะสลักยิ่งทำได้ดีราคาก็ยิ่งสูง เงินพิเศษที่จะให้ต่างหากก็ยิ่งมาก

ไม่รู้ว่าตอนนี้จี้ซวี่เหยาใช้วิธีการอะไร ตอนนี้ถงจื่อจิ้งยิ่งอยู่ก็ยิ่งมาตอแยกับนางน้อยลงแล้ว

แต่ว่า วันนี้นางเป็นคนสอนแกะสลัก ถงจื่อจิ้งย่อมมา

วันนี้แววตาของถงจื่อจิ้งที่มองนางในตอนนี้แปลกพิลึกมาก เป็นแววตาที่ซุกซนยิ่ง คล้ายทำเรื่องไม่ดีบางอย่างที่น่าภาคภูมิใจอย่างไรอย่างนั้น เขายิ้มด้วยความสดใส ใบหน้าของเขาตอนยิ้มจนตาหยีน่ารักยิ่งนัก

ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยมองแล้วมองอีก หน้าตาแบบนี้ของถงจื่อจิ้ง ทำให้นางคิดถึงน้องชายในยุคปัจจุบันอยู่ร่ำไป ตอนเด็กๆ พ่อและแม่งานยุ่งมาก นางและน้องชายอายุห่างกันหกปี พ่อไปสอนหนังสือที่โรงเรียนประถมในชนบท แม่ยุ่งกับการทำนา ดังนั้นเวลาส่วนมากจึงมีแค่นางและน้องชายอยู่บ้านด้วยกันสองคน พูดได้ว่านางเป็นคนเลี้ยงน้องจนโต

เห็นถงจื่อจิ้งยิ้มตาหยีเช่นนี้ หลังจากมั่วเชียนเสวี่ยสอนเสร็จอดไม่ได้ที่จะไปหยอกเขา “จื้อจิ้ง บอกพี่มา ช่วงนี้เจ้าทำเรื่องไม่ดีอะไรอีกแล้ว”

ถงจื่อจิ้งมองซ้ายมองขวา ยื่นปากเข้าไปใกล้ใบหูของมั่วเชียนเสวี่ยแล้วพูด “จื่อจิ้งไม่บอกพี่เชียนเสวี่ยหรอกขอรับ… แหะๆ จื้อจิ้งใส่สลอดเข้าไปในถ้วยน้ำชาของอาจารย์จี้”

ใครใช้ให้ตอนนี้อาจารย์จี้จับตาดูตนตลอดเวลา แม้เขาจะหวังดี ทั้งยังทำให้เขามีความรู้มากมาย แต่ว่า จี้ซวี่เหยาคิดหาทุกวิถีทางขวางทางเขาไม่ให้มาหาพี่เชียนเสวี่ย นี่คือความผิดของจี้ซวี่เหยา

สลอด? เช่นนั้น…อาจารย์จี้ วันนี้ก็ต้องถ่ายหนักเลยล่ะสิ ช่างน่าสงสารยิ่งนัก

หลังจากที่สงสารอาจารย์จี้เสร็จแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกว่าตนมีหน้าที่ ต้องสอนถงจื่อจิ้งให้ดี “จื้อจิ่ง เจ้าทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง อาจารย์จี้…”

ถงจื่อจิ้งพูดแย้งขึ้น “ถึงอย่างไรจื่อจิ้งก็ไม่มีวันบอกพี่เชียนเสวี่ย วันนี้อาจารย์จี้วิ่งเข้าห้องปลดทุกข์ ไม่มีเวลามาสนใจจื่อจิ้ง”

มองใบหน้าใสซื่อของถงจื่อจิ้ง และรอยยิ้มไร้เดียงสาที่แสนน่ารักนั่น มั่วเชียนเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ นางไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆ

พูดได้คำเดียวว่าถงจื่อจิ้งโตแล้ว จี้ซวี่เหยาเอ๋ย อธิษฐานเอาเถิด

……

ในที่สุดก็ถึงวันที่แปด นี่คือวันที่ทำให้คนคาดหวัง และเป็นวันที่ตึงเครียด

อวิ๋นอิ๋น จวี๋เหนียง อวิ๋นเหนียงจื่อ เสี่ยวเหลยต่างง่วนอยู่กับการทำงานทั้งในและนอก ทำความสะอาดและเก็บกวาดไม่หยุด เพื่อเตรียมเปิดร้าน ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยกลับเอาแต่มองออกไปนอกประตูไม่หยุด

ในที่สุดซินอี้หมิงก็มาแล้ว ร่างสะอาดสะอ้านนั่น ขลุ่ยหยกหนึ่งเหลา อาภรณ์สีขาว

มั่วเชียนเสวี่ยเชิญให้เขาขึ้นไปชั้นบน เขากวาดตามองโถงที่มีเพียงโต๊ะเก้าอี้ ถามด้วยความสงสัย “หนิงเหนียงจื่อ งานแกะสลักวางไว้ชั้นบนหรือ”

มั่วเชียนเสวี่ยเพียงแค่ยิ้ม “คุณชายซินขึ้นไปชั้นบน เชียนเสวี่ยย่อมอธิบายคลายความข้องใจ”

พาซินอี้หมิงเข้าไปนั่งในห้องไม้ไผ่ มั่วเชียนเสวี่ยสั่งให้อวิ๋นอิ๋นชงชาร้อนหนึ่งเหยือก ไอน้ำในแก้วลอยอยู่บนอากาศ

เห็นมั่วเชียนเสวี่ยไม่รีบร้อน มุมปากของซินอี้หมิงยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย เพียงนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวตรงข้ามและหลับตา

ความเป็นจริงมั่วเชียนเสวี่ยชื่นชมเขามาโดยตลอด เห็นเขาสามารถข่มอารมณ์ได้ นางมองดูเวลาที่เริ่มสายแล้ว อีกครู่หนึ่ง เจี่ยนชิงโยวน่าจะมาถึง ด้วยเหตุนี้จึงผายมือบอกให้เกาหลั่งที่อยู่ด้านหลังซินอี้หมิงออกไป

เกาหลั่งเห็นนายหลับตาไม่ได้พูดสิ่งใด ครุ่นคิดในใจ นายของตนเป็นบุรุษ ทั้งยังมีวรยุทธ์ ไม่มีทางโดนสตรีคนนี้เขมือบแน่นอน ด้วยเหตุนี้จึงเดินออกไป

“ตอนนี้พูดได้แล้ว?” พอเกาหลั่งออกไป ซินอี้หมิงค่อยลืมตาขึ้น ยกแก้วน้ำชาตรงหน้าขึ้นมา

“เชียนเสวี่ยเพียงอยากให้คุณชายซินเจอคนๆ หนึ่ง ช่วยนางตัดสินใจเรื่องบางเรื่องก็เท่านั้น”

“เจอผู้ใด”

“คุณชายซินรอที่นี่ ประเดี๋ยวเจอก็ย่อมรู้เอง เพียงแต่ ไม่ว่าจะเจอผู้ใด คุณชายซินต้องรับปากว่าจะไม่ให้คนนอกรู้

ซินอี้หมิงจิบน้ำชา คลายยิ้มบางๆ “ได้…”

เพิ่งพูดถึงตรงนี้ อวิ๋นอิ๋นที่อยู่ด้านล่างร้องเรียก “เถ้าแก่เนี้ย มีแขกมาเจ้าค่ะ”

คราวนี้ แน่นอนว่าคือเจี่ยนชิงโยวมาถึงแล้ว

เหยียดตัวลุกขึ้นเตรียมออกไป เห็นเกาหลั่งยืนเป็นตอไม้อยู่ที่หน้าประตู มั่วเชียนเสวี่ยขมวดคิ้วเป็นปม พูด “ให้เกาหลั่งยืนไกลหน่อยสิ อย่าทำให้แขกของข้าตกใจ”

ซินอี้หมิงพูดอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย “เกาหลั่ง เจ้าออกไป” ตามด้วยเสียงของเขา ร่างของเกาหลั่งกระโดดออกไปจากหน้าต่างบริเวณทางเดิน

มั่วเชียนเสวี่ยเดินลงไปต้อนรับเจี่ยนชิงโยวชั้นล่าง นายบ่าวทั้งสี่คนเดินเข้ามาด้านใน มั่วเชียนเสวี่ยบอกให้หยวนหมัวมัวและสองใช้ทั้งสองไปฝึกทำขนมกับจวี๋เหนียงในห้องครัว บอกว่านางสอนวิธีการทำขนมทั้งหมดให้จวี๋เหนียงแล้ว

ตอนแรกหยวนหมัวมัวไม่ยอมไป มั่วเชียนเสวี่ยพูดด้วยรอยยิ้ม หรือว่าข้าจะกินคุณหนูของพวกเจ้าหรืออย่างไร หรือว่าตอนนี้หยวนหมัวมัวแก่ชราแล้ว ไม่อาจทำขนมได้อีก

ความจริงหยวนหมัวมัวอายุประมาณสี่สิบเท่านั้น จะแก่ชราได้อย่างไร หยวนหมัวมั่วย่อมไม่อาจยอมรับว่าตนแก่ ครุ่นคิดเพียงครู่…ถึงอย่างไรคุณหนูใหญ่ก็สนิทสนมกับมั่วเชียนเสวี่ย ไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน ด้วยเหตุนี้จึงเข้าไปในห้องครัวพร้อมกับสาวใช้ทั้งสองคน

มั่วเชียนเสวี่ยส่งสายตาให้กับอวิ๋นอิ๋น พูดไปด้วยยิ้มไปด้วยพร้อมกับพาเจี่ยนชิงโยวขึ้นไปชั้นบน

เดินไปถึงประตูห้องไม้ไผ่ มั่วเชียนเสวี่ยเปิดประตู เห็นคนที่นั่งอยู่ด้านใน เจี่ยนชิงโยวยืนตะลึงอยู่ที่หน้าประตู

ดวงตาทั้งคู่สบตากัน!

เมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างมั่วเชียนเสวี่ยชัดเจน ซินอี้หมิงเองก็ตกตะลึงเล็กน้อย

“พวกท่านทั้งสองเสวนากันเถอะ” มั่วเชียนเสวี่ยพักเจี่ยนชิงโยวเข้าไป จากนั้นปิดประตู

“เชียนเสวี่ย เจ้า…เจ้า…” นางอยากเจอเขา ถวิลหาเขา แต่ในสถานการณ์ที่ไม่ได้เตรียมใจแม้แต่น้อย ชายหญิงอยู่ด้วยกันตามลำพัง ในห้องเดียวกัน เจี่ยนชิงโยวดึงสติกลับมาจากความว้าวุ่น เพียงแต่รอให้นางดึงสติกลับมา มั่วเชียนเสวี่ยปิดประตูลงเสียแล้ว เจี่ยนชิงโยวหันหลังทันทีอย่างทำตัวไม่ถูก อยากจะเปิดประตูห้องออกไป ตอนนี้นางรู้สึก…กลัว

ทั้งที่นางคิดถึงเขา แต่เมื่อได้เจอกัน นางกลับหวาดกลัว นางไม่รู้ว่าตนกลัวสิ่งใด นางรู้เพียงว่าหัวใจของนางคล้ายจะกระดอนออกมาจากปาก

ซินอี้หมิงที่อยู่ด้านหลังเดินเข้ามาโอบกอดนางจากด้านหลัง

ร่างอรชรของเจี่ยนชิงโยวแข็งทื่อ มือที่จะเปิดประตูหยุดลง

เมื่อครู่ตอนที่นางเดินอยู่ที่บันได ซินอี้หมิงก็ได้ยินเสียงของนางแล้ว หัวใจของเขาเต้นเป็นจังหวะรวดเร็วที่ไม่ได้เต้นมานานแล้ว

ลูบผมของเจี่ยนชิงโยว ซินอี้หมิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “คือเจ้าจริงๆ หรือ”

รอคำตอบจากเจี่ยนชิงโยว ดวงตาทอประกายของซินอี้หมิงมองดูแล้วนิ่งสงบยิ่งนัก ทว่าภายในใจกลับกลัวเหลือเกินว่านี่จะเป็นเพียงความฝัน

เจี่ยนชิงโยวหมุนตัวหันหลัง จ้องมองซินอี้หมิง รู้สึกเพียงว่าแววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความรัก เต็มเปี่ยมจนแทบจะล้นออกมา นางพูดขึ้นอย่างไม่อาจหักห้ามใจตนเอง “คือข้าเอง”

“เจ้ามาแล้ว” ถ้อยคำนี้สนิทสนมคล้ายกับทั้งสองอยู่ด้วยกันมาทั้งชีวิต

“ข้ามาแล้ว” เสียงของเจี่ยนชิงโยวอ่อนโยนเสมือนขลุ่ย

บทสนทนาของทั้งสอง โง่เขลายิ่งนัก สั้นและเรียบง่ายอย่างมาก ทว่าคล้ายโอบล้อมไปด้วยความรักที่ไม่สิ้นสุด เหนือกว่าความรักของคนทั่วไป